พ่อท่านคล้ายวาจาสิทธิ์

พ่อท่านคล้ายวาจาสิทธิ์

กษัตริย์ชาวพุทธตัวอย่าง - พระบรมธาตุแบบลังกา

กษัตริย์ชาวพุทธตัวอย่าง -  พระบรมธาตุแบบลังกา

เสด็จในกรมหลวงชุมพร เขตอุดมศักดิ์ ..คลิกตรงรูป อ่านพระประวัติโดยย่อ..

Sunday 28 October 2012

ขออนุโมทนาบุญแก่กัลยาณมิตรที่ร่วมก่อสร้าง "บ้านพักใจ"



เริ่มก่อสร้างเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2555
และเริ่มเปิดให้ผู้ใฝ่ธรรมในบริเวณใกล้เคียง ได้เข้ามาปฏิบัติธรรมในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2555

อย่างไรก็ตามยังคงต้องสร้างทัศนียภาพให้ดีมากยิ่งขึ้นต่อไป เพื่อต้อนรับกัลยาณมิตรในอนาคต
ในโอกาสนี้ทางผู้ก่อตั้งบ้านพักใจ ต้องขอกราบอนุโมทนาบุญแด่ทุก ๆ ท่านไว้ ณ โอกาสนี้

ด้วยความเคารพอย่างสูง

ทีมผู้ก่อตั้งบ้านพักใจ
28 ตุลาคม พ.ศ. 2555






 

พระอริยบุคคล 4 ประเภท

พระอริยบุคคล 4

พระโสดาบัน
พระสกทาคามี
พระอนาคามี
พระอรหันต์



" พระอริยบุคคล " ได้แก่บุคคลผู้ประเสริฐสูงสุดในพระพุทธศาสนาหรือในโลกนี้ ความประเสริฐสูงสุดของท่านเหล่านั้น ขึ้นอยู่กับการกระทำให้สมบูรณ์ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา ดังนั้นท่านจึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ประเสริฐสูงสุดในด้านปัญญา ในด้านความบริสุทธิ์และในด้านความกรุณา อันเป็นคุณลักษณะของพระพุทธเจ้า เป็นต้น การจำแนกพระอริยบุคคลออกเป็น 4 ประเภทนั้น ท่านจำแนกโดยการที่พระอริยบุคคลเหล่านั้นสามารถละกิเลสทั้ง 3 ระดับ คืออย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด ได้แตกต่างกันออกไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เครื่องกำหนดความแตกต่างของพระอริยบุคคล ท่านกำหนดที่การละสังโยชน์ 10 ประการได้ไม่เท่ากัน คือ
1. พระโสดาบัน แปลว่า ผู้ถึงกระแสแห่งพระนิพพาน เป็นพระอริยบุคคลชั้นแรก ท่านละสังโยชน์คือกิเลสผูกใจสัตว์ไว้ได้ 3 ประการ
1.1 สักกายทิฐิ ความเห็นเป็นเหตุถือตัว ถือเรา ถือเขา จนมีความเป็นเราเป็นเขา เป็นพวกเราพวกเขากัน ตลอดจนถึงความยึดมั่น ถือมั่นว่าเราเป็นขันธ์ 5   ขันธ์ 5 คือเรา   เรามีในขันธ์ 5 และขันธ์ 5 มีในเรา
1.2 วิจิกิจฉา คือความแคลบแคลงสงสัย ไม่แน่ใจในพระคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ในไตรสิกขา ในเรื่องอดีต ในเรื่องอนาคต ทั้งในอดีต และอนาคตกับในกฎของปฏิจสมุปบาท
1.3 สีลัพพตปรามาส คือ การถือมั่นด้วยศีล ด้วยวัตร ด้วยข้อปฏิบัติต่าง ๆ ด้วยความปักใจฝังใจกัน ว่าสิ่งนั้นเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ว่าสิ่งนี้เท่านั้นเป็นจริง สิ่งอื่นไม่เป็นจริง

 

                    2. พระสกทาคามี แปลว่า ผู้จะเกิดอีกครั้งเดียว หรือผู้จะมาสู่โลกนี้อีกเพียงครั้งเดียวแล้วก็บรรลุอรหัต เป็นพระอรหันต์ การละสังโยชน์ของพระสกทาคามีนั้น ไม่ได้บอกไว้เด่นชัดเพียงแต่ว่า ท่านสามารถลดความรุนแรงของโลภะ โทสะ โมหะ ได้มากกว่าพระโสดาบัน ซึ่งหมายความว่า ปัญญา ความบริสุทธิ์ ความกรุณา ของท่านได้สูงขึ้นตามไปด้วย

                    
 
  3. พระอนาคามี แปลว่า ผู้ไม่มาสู่โลกนี้อีก หลังจากตายไปแล้ว ก็จะบังเกิดเป็นพรหมในพรหมโลกชั้นสุทธาวาส ที่แปลว่าเป็นที่อยู่ของผู้บริสุทธิ์ และจะบรรลุอรหัตนิพพานในพรหมโลกนั้น พระอนาคามีท่านละสังโยชน์เพิ่มขึ้นอีก 2 ข้อคือ
3.1 กามราคะ ความกำหนัดในวัตถุทั้งหลาย คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ซึ่งเกิดจากอำนาจของกิเลสกาม หมายความว่า ท่านละกิเลสกามได้เด็ดขาด
3.2 ปฏิฆะ คือ ความรู้สึกกระทบกระทั่งหงุดหงิดไม่พอใจ ไม่ชอบใจออกไปได้ จากจิตอย่างเด็ดขาด

             
 
        4. พระอรหันต์ แปลว่า ผู้ไกลจากกิเลส เป็นผู้หักกรรมแห่งสังสารจักร เป็นผู้ควร ไหว้ ควรบูชา ควรเคารพสักการะของบุคคลทั้งหลาย จัดเป็นพระอริยบุคคลระดับสูงสุดในโลก พระพุทธศาสนา บางครั้งเราก็เรียกท่านว่า อนุพุทธ แปลว่า ผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้าบางครั้งก็เรียกว่า สาวกพุทธ แปลว่าผู้รู้ในฐานะสาวก พระอรหันต์นั้น ละสังโยชน์เพิ่มขึ้นจากพระอนาคามี ได้อีก 5 ข้อคือ
4.1 รูปราคะ ความกำหนัด พอใจในโลกธรรมที่ประณีตจนถึงรูปฌาน
4.2 อรูปราคะ ความพอใจในนามธรรมต่าง ๆ มีปิติ ความสุข เป็นต้น จนถึงอรูปฌาน
4.3 มานะ ความถือตัวถือตน
4.4 อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน ซัดส่ายไปของจิต
4.5 อวิชชา ความไม่รู้ ซึ่งเป็นรากเง่าของกิเลสทั้งหลาย อันหมายความว่าในเชิง
เหตุพระโสดาบันและพระสกทาคามีได้ทำศีลให้สมบูรณ์ สมาธิให้สมบูรณ์ ปัญญาเกิดขึ้นพอประมาณ พระอรหันต์นั้นได้ทำศีล สมาธิ ปัญญา ให้สมบูรณ์ จึงก่อให้เกิดผล เป็นความสมบูรณ์แห่งปัญญา ความสมบูรณ์แห่งความบริสุทธิ์ และความสมบูรณ์แห่งกรุณา ภายในจิตของพระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านเหล่านี้จึงได้ชื่อว่าเป็นทักขิไณยบุคคลเป็นบุญเขตของโลกและเป็นพระสังฆรัตนะอย่างแท้จริง

 

Tuesday 23 October 2012

วันนี้พิเศษ วันพระ วันอังคาร(คล้ายวันประสูตร) วันปิยะมหาราช

วันปิยมหาราช



ปิยะ - เป็นที่รัก
มหาราช - พระมหากษัตริย์
ปิยมหาราช - พระมหากษัตริย์ผู้เป็นที่รักยิ่ง

ความสำคัญ/ความหมาย

วันปิยมหาราช หมายถึง วันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงพัฒนาการศึกษาการทหาร การสื่อสาร การรถไฟ และทรงโปรดให้มีการเลิกทาส โดยมิได้มีการเสียเลือดเนื้อ

ความเป็นมา
เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นที่รักใคร่อย่างล้นเหลือของพสกนิกรทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ตลอดทั่วขอบขัณฑสีมาปวงประชาราษฎร์ถือว่าพระองค์คือพระราชบิดาแห่งตนและประเทศชาติ รัฐบาลจึงประกาศให้วันที่ 23 ตุลาคม เป็นวัน "ปิยมหาราช"

พระราชกรณียกิจที่สำคัญ

1. การเลิกทาส พระราชกรณียกิจอันสำคัญยิ่ง ที่ทำให้พระองค์ทรงได้รับพระสมัญญาว่า "สมเด็จพระปิยมหาราช" ก็คือ "การเลิกทาส"

สมัยที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัตินั้น ประเทศไทยมีทาสเป็นจำนวนกว่าหนึ่งในสามของพลเมือง ของประเทศ เพราะเหตุว่าลูกทาสในเรือนเบี้ยได้มีสืบต่อกันเรื่อยมาไม่มีที่สิ้นสุด และเป็นทาสกันตลอดชีวิต พ่อแม่เป็นทาสแล้ว ลูกที่เกิดจากพ่อแม่ที่เป็นทาสก็ตกเป็นทาสอีกต่อ ๆ กันเรื่อยไป

กฎหมายที่ใช้กันอยู่ในเวลานั้น ตีราคาลูกทาสในเรือนเบี้ย ชาย 14 ตำลึง หญิง 12 ตำลึง แล้วไม่มีการลด ต้องเป็นทาสไปจนกระทั่ง ชายอายุ 40 หญิงอายุ 30 จึงมีการลดบ้าง คำนวณการลดนี้ อายุทาสถึง 100 ปี ก็ยังมีค่าตัวอยู่ คือชาย 1 ตำลึง หญิง 3 บาท แปลว่า ผู้ที่เกิดในเรือนเบี้ย ถ้าไม่มีเงินมาไถ่ตัวเองแล้ว ก็ต้องเป็นทาสไปตลอดชีวิต

ในการนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ได้ตราพระราชบัญญัติขึ้น เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ.2417 ให้มีผลย้อนหลังไปถึงปีที่ พระองค์เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติ จึงมีบัญญัติว่า ลูกทาสซึ่งเกิดเมื่อปีมะโรง พ.ศ.2411 ให้มีสิทธิได้ลดค่าตัวทุกปี โดยกำหนดว่า เมื่อแรกเกิด ชายมีค่าตัว 8 ตำลึง หญิงมีค่าตัว 7 ตำลึง เมื่อลดค่าตัวไปทุกปีแล้ว พอครบอายุ 21 ปีก็ให้ขาดจากความเป็นทาสทั้งชายและหญิง

พอถึงปี 2448 ก็ได้ออกพระราชบัญญัติเลิกทาสที่แท้จริงขึ้น เรียกว่า "พระราชบัญญัติทาส ร.ศ.124" (พ.ศ.2448) เลิกเรื่องลูกทาส ในเรือนเบี้ยอย่างเด็ดขาด เด็กที่เกิดจากทาส ไม่เป็นทาสอีกต่อไป การซื้อขายทาสเป็นโทษทางอาญา ส่วนผู้ที่เป็นทาสอยู่แล้ว ให้นายเงินลดค่าตัวให้เดือนละ 4 บาท จนกว่าจะหมด


2. การปฏิรูประเบียบบริหารราชการ การบริหารแผ่นดินในต้นรัตนโกสินทร์นั้น คงดำเนินตามแบบที่ได้ทำมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ผิดแต่ว่ามีกรมต่าง ๆ เพิ่มขึ้นบ้าง แต่หลักของการบริหารนั้น คงมีอัครมหาเสนาบดี 2 ตำแหน่ง คือ สมุหกลาโหม ว่าการฝ่ายทหาร สมุหนายก ว่าการพลเรือน ซึ่งแบ่งออกเป็นกรมเมืองหรือกรมนครบาล กรมวัง กรมคลัง และกรมนา

ครั้นถึงรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงบรรลุนิติภาวะเสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติด้วยพระองค์เองเมื่อ พ.ศ.2416 นั้น เนื่องจากพระองค์ได้เสด็จต่างประเทศดูแบบแผนการปกครองที่ชาวยุโรป นำมาใช้ในสิงคโปร์ ชวา และอินเดียแล้ว ทรงพระราชปรารภว่า สมควรจะได้วางระเบียบราชการ บริหารส่วนกลางเสียใหม่ตามแบบอย่างอารยประเทศ โดยจัดจำแนกราชการเป็นกรมกองต่าง ๆ มีหน้าที่เป็นหมวดเหล่า ไม่ก้าวก่ายกัน ดังนั้นใน พ.ศ.2418 พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้แยกกระทรวงพระคลังออกจากกรมท่า หรือต่างประเทศ และตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ทำหน้าที่เก็บรายได้ของแผ่นดินทุกแผนกขึ้นเป็นครั้งแรก

ต่อจากนั้น ก็ได้ทรงปรับปรุงหน้าที่ของกรมต่าง ๆ ที่มีอยู่แต่เดิมให้เป็นระเบียบเรียบร้อยโดยรวมกรมต่าง ๆ ที่มีอยู่มากมายเวลานั้นเข้าเป็นกระทรวง กระทรวงหนึ่ง ๆ ก็มีหน้าที่อย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างพอเหมาะสม

กระทรวงซึ่งมีอยู่ในตอนแรก ๆ เริ่มแถลงราชสมบัตินั้นเพียง 6 กระทรวง คือ
1. กระทรวงมหาดไทย มีหน้าที่ปกครองหัวเมืองฝ่ายเหนือ
2. กระทรวงกลาโหม มีหน้าที่ปกครองหัวเมืองฝ่ายใต้ และการทหารบก ทหารเรือ
3. กระทรวงนครบาล มีหน้าที่บังคับบัญชาการรักษาพระนคร คือปกครองมณฑลกรุงเทพ ฯ
4. กระทรวงวัง มีหน้าที่บังคับบัญชาการในพระบรมมหาราชวัง
5. กระทรวงการคลัง มีหน้าที่จัดการอันเกี่ยวข้องกับต่างประเทศ และการพระคลัง
6. กระทรวงเกษตราธิการ มีหน้าที่จัดการไร่นา


เพื่อให้เหมาะสมกับสมัย จึงได้เปลี่ยนแปลงหน้าที่ของกระทรวงบางกระทรวง และเพิ่มอีก 4 กระทรวง รวมเป็น 10 กระทรวง คือ

1. กระทรวงการต่างประเทศ แบ่งหน้าที่มาจากกระทรวงการคลังเก่า มีหน้าที่ตั้งราชทูตไปประจำสำนักต่างประเทศ เนื่องจากเวลานั้นชาวยุโรปได้ตั้งกงสุลเข้ามาประจำอยู่ในกรุงเทพ ฯ บ้างแล้ว สมเด็จกรมพระยาเทววงศ์วโรปการ เป็นเสนาบดีกระทรวงนี้เป็นพระองค์แรก และใช้พระราชวังสราญรมย์เป็นสำนักงาน เริ่มระเบียบร่างเขียนและเก็บจดหมายราชการ ตลอดจนมีข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยมาทำงานตามเวลา ซึ่งนับเป็นแบบแผนให้กระทรวงอื่น ๆ ทำตามต่อมา

2. กระทรวงยุติธรรม แต่ก่อนการพิจารณาพิพากษาคดีไม่ได้รวมอยู่ในกรมเดียวกัน และไม่ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาคนเดียวกัน เป็นเหตุให้วิธีพิจารณาพิพากษาไม่เหมือนกัน ต่างกระทรวงต่างตัดสิน จึงโปรด ฯ ให้รวมผู้พิพากษา ตั้งเป็นกระทรวงยุติธรรมขึ้น

3. กระทรวงโยธาธิการ รวบรวมการโยธาจากกระทรวงต่าง ๆ มาไว้ที่เดียวกัน และให้กรมไปรษณีย์โทรเลข และกรมรถไฟรวมอยู่ในกระทรวงนี้ด้วย

4. กระทรวงธรรมการ แยกกรมธรรมการและสังฆการีจากกระทรวงมหาดไทย เอามารวมกับกรมศึกษาธิการ ตั้งขึ้นเป็นกระทรวงธรรมการมีหน้าที่ตั้งโรงเรียนฝึกหัดอาจารย์ฝึกหัดบุคคลให้เป็นครู สอนวิชาตามวิธีของชาวยุโรป เรียบเรียงตำราเรียน และตั้งโรงเรียนขึ้นทั่วราชอาณาจักร

ทั้งนี้ได้ทรงเริ่มจัดการตำแหน่งหน้าที่ราชการดังกล่าวตั้งแต่ พ.ศ.2431 จัดให้มีเสนาบดีสภา มีสมาชิกเป็นหัวหน้ากระทรวง 10 นาย และหัวหน้ากรมยุทธนาธิการ กับกรมราชเลขาธิการ ซึ่งมีฐานะเท่ากระทรวงก็ได้เข้านั่งในสภาด้วย รวมเป็น 12 นาย พระองค์ทรงเป็นประธานมา 3 ปีเศษ

แต่เดิมเสนาบดีมีฐานะต่าง ๆ กัน แบ่งเป็น 3 คือ เสนาบดีมหาดไทยกับกลาโหมมีฐานะเป็นอัครมหาเสนาบดี เสนาบดีนครบาล พระคลังและเกษตราธิการ มีฐานะเป็นจตุสดมภ์ เสนาบดีการต่างประเทศ ยุติธรรม ธรรมการและโยธาธิการ เรียกกันว่า เสนาบดีตำแหน่งใหม่ ครั้นเมื่อมีประกาศ เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2435 จึงเรียกเสนาบดีเหมือนกันหมด ไม่เรียกอัครเสนาบดีและจตุสดมภ์อีกต่อไป


3. การศึกษา ในรัชกาลนี้ได้โปรดให้ขยายการศึกษาขึ้นเป็นอันมากใน พ.ศ.2414 ได้โปรดให้จัดตั้งโรงเรียนหลวงขึ้นในพระบรมมหาราชวัง แล้วมีหมายประกาศชักชวนพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการให้ส่งบุตรหลานเข้าเรียน โรงเรียนภาษาไทยนี้ โปรดให้พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจาริยางกูร) เป็นอาจารย์ใหญ่ ต่อมาตั้งโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษขึ้นอีกโรงเรียนหนึ่ง ให้นายยอช แปตเตอร์สัน เป็นอาจารย์ใหญ่ โรงเรียนทั้งสองนี้ขึ้นอยู่ในกรมทหารมหาดเล็ก

ต่อมาโปรดให้ตั้งโรงเรียนหลวงสำหรับราษฎรขึ้นและจัดตั้งขึ้นตามวัดต่างๆ ตามประเพณีนิยมของราษฎร โรงเรียนหลวงนี้ได้จัดตั้งขึ้นที่ "วัดมหรรณพาราม" เป็นแห่งแรก แล้วจึงแพร่หลายออกไปตามหัวเมืองทั่ว ๆ ไป โปรดให้ตั้งกรมศึกษาธิการ ขึ้นในปี พ.ศ.2428 และจัดให้มีการสอบไล่ครั้งแรกใน พ.ศ.2431 ต่อมาในปี พ.ศ.2433 ได้มีการปฏิวัติแบบเรียน โดยให้เลิกสอนตามแบบเรียน 6 กลุ่ม มีมูลบทบรรพกิจเป็นต้น ของพระยาศรีสุนทรโวหาร มาใช้แบบเรียนเร็วของกรมพระยาดำรงราชานุภาพแทน ในที่สุดได้โปรดให้จัดตั้งกระทรวงธรรมการขึ้น จัดการศึกษาและการศาสนาขึ้น เมื่อปี พ.ศ.2435 การศึกษาก็เจริญก้าวหน้าสืบมาโดยลำดับ


4. การศาล แต่เดิมมากรมต่าง ๆ ต่างมีศาลของตนเองสำหรับพิจารณาคดี ที่คนในกรมของตนเกิดกรณีพิพาทกันขึ้น แต่ศาลนี้ก็เป็นไปอย่างยุ่งเหยิง ไม่เป็นระเบียบ ใน พ.ศ.2434 จึงได้ตั้งกระทรวงยุติธรรมขึ้น เพื่อรวบรวมศาลต่าง ๆ ให้มาขึ้นอยู่ในกระทรวงเดียวกัน นอกจากนั้นในการพิจารณาสอบสวนคดี ก็ใช้วิธีจารีตนครบาล คือ ทำทารุณต่อผู้ต้องหา เพื่อให้รับสารภาพ เช่น บีบขมับ ตอกเล็บ เฆี่ยนหลัง และทรมานแบบอื่น ๆ เป็นธรรมดาอยู่เองที่ผู้ต้องหาทนไม่ไหว ก็จำต้องสารภาพ จึงได้ตราพระราชบัญญัติขึ้น ใช้วิธีพิจารณาหลักฐานจากพยานบุคคลหรือเอกสาร ส่วนการสอบสวนแบบจารีตนครบาลนั้นให้ยกเลิก

ได้จัดตั้งศาลโปริสภาขึ้นเมื่อ พ.ศ.2435 ต่อมาได้จัดตั้งศาลมณฑลขึ้น โดยตั้งที่มณฑลอยุธยาเป็นมณฑลแรก และขยายต่อไปครบทุกมณฑล


5. การคมนาคม ได้โปรดให้สร้างถนนและสะพานขึ้นเป็นอันมาก ได้โปรดเกล้า ฯ ให้ขยายถนนบำรุงเมือง ถนนที่ทรงสร้างใหม่ คือ ถนนเยาวราช ถนนราชดำเนินกลาง ถนนราชดำเนินนอก ถนนดินสอ ถนนบูรพา ถนนอุณากรรณ เป็นต้น ในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาปีหนึ่ง ๆ ทรงสละพระราชทรัพย์สร้างสะพานขึ้น ซึ่งมีคำว่า "เฉลิม" นำหน้า เช่น สะพานเฉลิมศรี สะพานเฉลิมสวรรค์ สะพานอื่น ๆ ที่สำคัญทรงสร้างขึ้น เช่น สะพานมัฆวานรังสรรค์ สะพานเทวกรมรังรักษ์ โปรดให้ขุดคลองต่าง ๆ เพื่อใช้เป็นแนวทางคมนาคม และส่งเสริมการเพาะปลูก

ใน พ.ศ.2433 โปรดให้สร้างทางรถไฟตั้งแต่กรุงเทพ ฯ ถึงจังหวัดนครราชสีมา ทรงเปิดทางตอนแรกตั้งแต่กรุงเทพ ฯ ถึงอยุธยาก่อน ใน พ.ศ.2439 สายต่อ ๆ ไปที่โปรดให้สร้างขึ้นในภายหลังคือ สายเพชรบุรี สายฉะเชิงเทรา สายเหนือเปิดใช้ถึงชุมทางบ้านดารา จังหวัดอุตรดิตถ์ ให้สัมปทานเดินรถรางและรถไฟในกรุงเทพ ฯ สมุทรปราการ กับรถไฟในแขวงพระพุทธบาท ตลอดจนจัดการเดินรถไฟระหว่างกรุงเทพ ฯ กับสมุทรสงคราม

การไปรษณีย์ โปรดให้เริ่มจัดขึ้นในปี พ.ศ.2424 รวมอยู่ในกรมโทรเลข ซึ่งได้จัดขึ้นตั้งแต่ พ.ศ.2412 โทรเลขสายแรกที่สุด คือ ระหว่างจังหวัดพระนครกับจังหวัดสมุทรปราการ


6. การสุขาภิบาล ในส่วนการบำรุงความสุขของพลเมืองนั้น ได้ทรงตั้งกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง เพื่อดูแลจัดตั้งโรงพยาบาลขึ้นหลายแห่ง เช่น ศิริราชพยาบาล โรงพยาบาลบางรัก โรงพยาบาลโรคจิต และโรงเลี้ยงเด็ก นอกจากนี้ได้ส่งแพทย์ออกเที่ยวปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษและป้องกันอหิวาตกโรค โดยไม่คิดมูลค่า ใน พ.ศ.2436 สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินี จัดสร้าง "สภาอุณาโลมแดง" ขึ้น ต่อมาได้เปลี่ยนเป็น "สภากาชาดไทย" ต่อมาสภาได้จัดตั้งโรงพยาบาลขึ้น แต่ยังไม่ทันเสร็จ มาเสร็จในรัชกาลที่ 6 พระราชทานนามว่า "โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์" ใน พ.ศ.2457

ใน พ.ศ.2446 ได้ทรงจ้างช่างฝรั่งเศสเป็นนายช่างสุขาภิบาล จัดหาน้ำสะอาดให้ชาวพระนครบริโภค แต่การนี้มาสำเร็จในรัชกาลที่ 6 พระราชทานนามว่า "การประปา" อนึ่งในปีเดียวกันนั้น โปรดเกล้า ฯ ให้จัดตั้ง "โอสถสภา" ขึ้น จัดทำยาตำราหลวงส่งไปจำหน่ายตามหัวเมืองในราคาถูก


7. การสงครามและการเสียดินแดน ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แม้จะได้ทรงเปลี่ยนแปลงการบริหารราชการประเทศในลักษณะที่เรียกกันว่า "พลิกแผ่นดิน" หรือ "ปฏิวัติ" ก็ตาม แต่ในด้านการเกี่ยวข้องกับชาวตะวันตกซึ่งได้ยื่นมือเข้ามาต้องการดินแดนของเรา ตั้งแต่ปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ นั้น ได้ทำให้เราต้องเสียดินแดนต่าง ๆ ไปในรัชกาลนี้อย่างมากมายและเป็นการเสียจนครั้งสุดท้าย ซึ่งการเสียแต่ละครั้งนั้น หากจะนำมากล่าวโดยยืดยาวก็เกินความจำเป็น ฉะนั้นจึงจะนำมากล่าวเฉพาะดินแดนที่เราเสียไปเท่านั้น ดินแดนที่เราเสียไปเพราะถูกข่มเหงรังแกจากฝรั่งเศส มีหลายคราวด้วยกัน คือ

1. พ.ศ.2431 เสียแคว้นสิบสองจุไทย และหัวพันทั้งห้าทั้งหก คิดเป็นเนื้อที่ประมาณ 87,000 ตารางกิโลเมตร

2. พ.ศ.2436 (ร.ศ.112) เสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ตลอดจนถึงเกาะต่าง ๆ ในลำน้ำโขง คิดเป็นเนื้อที่ประมาณ 143,000 ตารางกิโลเมตร ทั้งยังต้องเสียเงินค่าปรับเป็นเงิน 2 ล้านฟรังค์ (คิดตามอัตราแลกเปลี่ยนเงินในเวลานั้นประมาณ 1 ล้านบาท) และต้องถอนทหารจากชายแดนทั้งหมดและฝรั่งยึดจันทบุรีไว้เป็นการชำระหนี้

3. ในปี พ.ศ.2447 ไทยต้องเสียดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขง ตรงข้ามหลวงพระบาง และตรงข้ามปากเซให้แก่ฝรั่งเศสอีก คิดเป็นเนื้อที่ประมาณ 12,500 ตารางกิโลเมตร ทั้งนี้เนื่องจากฝรั่งเศสไม่ยอมถอนทหารจากจันทบุรี เมื่อเสียดินแดนนี้แล้วฝรั่งเศสก็ถอนทหารออกจากจันทบุรี แต่ไปยึดเมืองตราดไว้อีก โดยหาเหตุผลอันใดมิได้

4. เพื่อที่จะให้ฝรั่งเศสไปจากเมืองตราด ไทยต้องเสียสละ พระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ ซึ่งไทยได้มาอย่างเด็ดขาดตั้งแต่ พ.ศ.2352 ให้แก่ฝรั่งเศส โดยสัญญาลงวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ.2449 ฝรั่งเศสยอมคืนเมืองด่านซ้าย เมืองตราด และเกาะทั้งหลาย ซึ่งอยู่ใต้แหลมสิงห์ลงไปจนถึงเกาะกูดให้แก่ไทย รวมดินแดนที่เสียไปครั้งนี้เป็นเนื้อที่ประมาณ 51,000 ตารางกิโลเมตร

แต่การเสียดินแดนคราวสุดท้ายนี้ไทยก็ได้ประโยชน์อยู่บ้าง คือฝรั่งเศสยอมยกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ยอมให้ศาลไทยมีสิทธิที่จะชำระคดีใด ๆ ที่เกิดขึ้นแก่ชาวฝรั่งเศส และคนในบังคับฝรั่งเศสได้หาไปขึ้นศาลกงสุลเช่นแต่ก่อนไม่

ส่วนทางด้านอังกฤษนั้น ปรากฏว่าเขตแดนระหว่างมลายู ซึ่งเป็นของอังกฤษกับไทยยังหาปักปันกันโดยควรไม่ตลอดมาถึงปี พ.ศ.2441 ประเทศไทยได้เปิดการเจรจากับรัฐบาลอังกฤษ รวมถึงเรื่องสิทธิสภาพนอกอาณาเขตด้วย ใน พ.ศ.2454 อังกฤษจึงยอมตกลงให้ชาวอังกฤษ หรือคนในบังคับอังกฤษมาขึ้นศาลไทยและยอมให้ไทยกู้เงินจากอังกฤษทางรัฐบาลสหรัฐมลายู เพื่อนำมาใช้สร้างทางรถไฟสายใต้จากกรุงเทพฯ ถึงสิงคโปร์ เพื่อตอบแทนประโยชน์ที่อังกฤษเอื้อเฟื้อ ทางฝ่ายไทยยอมยกรัฐกลันตัน ตรังกานูและไทยบุรี ให้แก่สหรัฐมลายูของอังกฤษ


8. การเสด็จประพาส การเสด็จประพาสเป็นพระราชกรณียกิจที่สำคัญอันหนึ่งของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ดังที่กล่าวมาแล้วว่า ระหว่างที่ยังมีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์นั้นก็ได้เสด็จประพาสชวา และอินเดีย เพื่อดูแบบอย่างการปกครองที่ชาวยุโรป นำมาใช้ในเมืองขึ้น เพื่อนำมาแก้ไขดัดแปลงใช้ในประเทศของเราบ้าง และการก็เป็นไปสมดังที่พระองค์ได้ทรงคาดการณ์ไว้ เพราะได้นำเอาวิธีการปกครองในดินแดนนั้น ๆ มาใช้ปรับปรุงระเบียบการบริหารอันเก่าแก่ล้าสมัยของเรา ซึ่งใช้กันมาตั้ง 400 ปีเศษแล้ว

เมื่อได้เกิดกรณีพิพาทกับฝรั่งเศสแล้ว ก็ได้เสด็จประพาสยุโรป 2 ครั้ง ในปี พ.ศ.2440 ครั้งหนึ่ง และในปี พ.ศ.2450 อีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้เพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีกับประเทศต่าง ๆ ในยุโรป ตลอดจนประเทศฝรั่งเศสด้วย

ในการเสด็จประพาสทวีปยุโรปครั้งแรก เมื่อ พ.ศ.2440 ได้มีกระแสพระราชปรารภมีข้อความตอนหนึ่งว่า พระองค์ได้เสด็จไปนอกพระราชอาณาเขตหลายครั้งคือ เสด็จประพาสอินเดีย พม่ารามัญ ชวาและแหลมมลายู หลายครั้ง ได้ทรงเลือกสรรเอาแบบแผนขนบธรรมเนียมอันดีในดินแดนเหล่านั้นมาปรับปรุงในประเทศให้เจริญขึ้นแล้วหลายอย่าง แม้เมืองเหล่านั้นเป็นเพียงแต่เมืองขึ้นของมหาประเทศในทวีปยุโรป ถ้าได้เสด็จถึงมหาประเทศเหล่านั้นเองประโยชน์ย่อมจะมีขึ้นอีกหลายเท่า ทั้งจะได้ทรงวิสาสะคุ้นเคยกับพระมหากษัตริย์ และรัฐบาลของประเทศน้อยใหญ่ใน ยุโรปด้วย เป็นทางส่งเสริมทางไมตรีให้ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน จึงได้ทรงกำหนดเสด็จพระราชดำเนินในวันที่ 7 เมษายน ร.ศ.116 (พ.ศ.2440) มีกำหนดเวลาประมาณ 9 เดือน

การเสด็จประพาสต่างประเทศ ในขณะที่เสวยราชสมบัติระยะไกลเป็นเวลาเช่นนั้น นับเป็นครั้งแรกจึงได้ทรงออกพระราชกำหนด ตั้งผู้สำเร็จราชการแผ่นดินรักษาพระนคร ซึ่งผู้สำเร็จราชการแผ่นดินครั้งแรกนี้ ได้แก่สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรีพระบรมราชินีนาถ (ซึ่งต่อมาได้รับสถาปนาเป็น สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชเทวี) ซึ่งครั้งนั้นทรงเป็นพระราชชนนีของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมงกุฏราชกุมาร (พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6) กับทรงตั้งที่ปรึกษาล้วนแต่เป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอชั้นผู้ใหญ่ 4 พระองค์ คือพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงศ์ 1 สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุ-รังษีสว่างวงศ์ กรมพระภาณุพันธุวงศ์วรเดช 1 พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทวะวงศ์วโรปการ 1 พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ 1 กับมีข้าราชการชาวต่างประเทศ ซึ่งจ้างมารับราชการในประเทศไทยครั้งนั้น คือ โรลังยัคมินส์ ชาวเบลเยี่ยม ซึ่งได้บรรดาศักดิ์เป็น เจ้าพระยาอภัยราชา ร่วมด้วยอีก 1 ท่าน

ในการเสด็จประพาสครั้งแรกนี้ ได้ทรงมีพระราชหัตถเลขาถึงสมเด็จพระราชินีนาถ ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินตลอดระยะทาง พระราชหัตถเลขานี้ต่อมาได้รวมเป็นหนังสือเล่มชื่อ พระราชนิพนธ์เรื่องไกลบ้าน ให้ความรู้เกี่ยวแก่สถานที่ต่าง ๆ ที่เสด็จไปอย่างมากมาย

ส่วนการเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ 2 นั้น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเสด็จกลับแล้ว จึงทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

ส่วนภายในประเทศ ก็ทรงถือว่าการเสด็จประพาสในที่ต่าง ๆ เป็นเหตุให้รู้สารทุกข์สุขดิบของราษฎรเป็นอย่างดี พระองค์จึงได้ทรงปลอมแปลงพระองค์ไปกับเจ้านายและข้าราชการ ไปโดยเรือมาดแจวไปตามแม่น้ำลำคลองต่าง ๆ แวะเยี่ยมเยียนตามบ้านราษฎร ซึ่งเรียกกันว่า "ประพาสต้น" ประพาสต้นนี้ได้เสด็จ 2 ครั้ง คือในปี พ.ศ.2447 ครั้งหนึ่ง และในปี พ.ศ.2449 อีกครั้งหนึ่ง


9. การศาสนา ในด้านศาสนานั้นพระองค์มิได้ทรงละเลย ทรงเป็นองค์ศาสนูปถัมภกโดยแท้จริงในด้านพระพุทธศาสนานั้น นอกจากจะทรงบรรพชาเป็นสามเณรและทรงอุปสมบทด้วยแล้ว ยังให้ความอุปถัมภ์สงฆ์ 2 นิกาย ดังเช่น สมเด็จพระราชบิดา ในปี พ.ศ.2445 ให้ตราพระราชบัญญัติปกครองคณะสงฆ์ เป็นการวางระเบียบสงฆ์มณฑลให้เป็นระเบียบทั่วราชอาณาจักร ให้กระทรวงธรรมการมีหน้าที่ควบคุมการศาสนา ทรงอาราธนาพระราชาคณะให้สังคายนาพระไตรปิฎก แล้วพิมพ์เป็นอักษรไทยชุดละ 39 เล่ม จำนวน 1,000 ชุด แจกไปตามพระอารามต่าง ๆ ถึงต่างประเทศด้วย ใน พ.ศ.2442 ทรงปฏิสังขรณ์วัดเบญจมบพิตร แล้วจำลองพระพุทธชินราชที่จังหวัดพิษณุโลกมาประดิษฐานไว้ในวัดนี้ ทรงปฏิสังขรณ์วัดหลายวัด สร้างพระอารามหลายพระอาราม เช่น วัดราชบพิตร วัดเทพศิรินทราวาส วัดนิเวศน์ธรรมประวัติ (บางปะอิน) เป็นต้น

ส่วนศาสนาอื่น ก็ทรงให้ความอุปถัมภ์ตามสมควร เช่น สละพระราชทรัพย์สร้างสุเหร่าแขก พระราชทานเงินแก่คณะมิชชันนารี และพระราชทานที่ดินให้สร้างโบสถ์ที่ริมถนนสาธร


10. การวรรณคดี ในด้านวรรณคดีนั้น ในรัชกาลนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมราวกับปฏิวัติ คือ ประชาชนหันมานิยมการประพันธ์แบบร้อยแก้ว ส่วนคำประพันธ์แบบโคลงฉันท์กาพย์กลอนนั้น เสื่อมความนิยมลงไป หนังสือต่าง ๆ ก็ได้รับการเผยแพร่ยิ่งกว่าสมัยก่อน เพราะเนื่องจากมีโรงพิมพ์หนังสือเล่มหนึ่ง ๆ ได้จำนวนมาก ไม่ต้องคัดลอกเหมือนสมัยก่อน ๆ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ทรงเป็นนักประพันธ์ ซึ่งมีความชำนาญทั้งทางร้อยแก้วและร้อยกรอง เช่น ไกลบ้าน ลิลิตนิทราชาคริต เงาะป่า พระราชพิธีสิบสองเดือน เป็นต้น พระราชนิพนธ์เล่มหลังนี้ ได้รับการยกย่องจากวรรณคดีสโมสรว่า เป็นยอดความเรียงประเภทคำอธิบาย

ที่มา และ อ้างอิง
http://www.dek-d.com/board/view.php?id=967083

Saturday 13 October 2012

เทศกาลกินเจ (ถือศีล กินเจ) ทำให้ถูกต้อง ได้บุญมหาศาล

ถือศีล กินเจ (ข้อมูลจาก www.campus.sanook.com)

ตำนานเทศกาลกินเจ
เทศกาลเจ เริ่มขึ้นเมื่อประมาณ 400 ปีมาแล้ว ตามตำนานเล่าว่า เกิดมาในสมัยที่ชาวจีนถูกรุกรานโดยชนชาติแมนจู ซึ่งเข้าปกครองประเทศจีน และบังคับให้ชนชาติจีนยอมรับวัฒนธรรมของตน อาทิ การไว้ทรงผมเยี่ยงแมนจู คือ โกนศีรษะโล้นทางด้านหน้าและไว้ผมยาวทางด้านหลัง ซึ่งหลายคนคงจะชินตาในภาพยนตร์จีนที่นำมาฉายทางทีวี

ในสมัยนั้น มีคนจีนกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันต่อต้านชาวแมนจู โดยใช้หลักทางธรรมเข้ามาร่วมด้วย ชาวจีนกลุ่มนี้ นุ่งขาว ห่มขาวและไม่รับประทานเนื้อสัตว์ ซึ่งมีความเชื่อว่า การประพฤติปฏิบัติตามแนวทางนี้จะช่วยสร้างความเข้มแข็ง ให้กับกลุ่มของตนจนสามารถต้านทานชาวแมนจูได้ คนกลุ่มนี้เรียกตัวเองว่า "หงี่หั่วท้วง" ซึ่งแม้จะได้ต่อสู้อย่างอาจหาญ แต่ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถต้านทานการรุกรานของชาวแมนจูได้

เมื่อถึงวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 9 ชาวจีนที่ยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของชาวแมนจู จึงพากันถือศีลกินเจ เพื่อรำลึกถึงเหล่านักสู้ "หงี่หั่วท้วง" ที่ได้ต่อสู้พลีชีพในครั้งนั้น


ความเชื่อถืออีกกระแสหนึ่งของตำนานการกินเจนั้น เชื่อกันว่าเป็นการสักการะพระพุทธเจ้าในอดีต 7 พระองค์ และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ รวมเป็น 9 พระองค์ หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่า ดาวนพเคราะห์ทั้ง 9 ในพิธีกรรมนี้ สาธุชนจึงงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ตัดชีวิต หันมาบำเพ็ญศีล โดยการตั้งปณิธานในการกินเจ งดเว้นอาหารคาว เพื่อเป็นการสมาทานศีล 2 ประการ คือ

1. เว้นจากการเอาชีวิตของสัตว์มาบำรุงชีวิตของตน
2. เว้นจากการเอาชีวิตของสัตว์มาเพิ่มเลือดของตน
3. เว้นจากการเอาชีวิตของสัตว์มาเพิ่มเนื้อของตน




สำหรับเมืองไทยความเชื่อเรื่องการกินเจ เป็นไปในแนวทางของการละเว้นการเอาชีวิตของสัตว์ เพื่อเป็นสักการะบูชาแก่ พระพุทธเจ้า และมหาโพธิสัตว์กวนอิม อาจเนื่องจากการแพร่หลายของกการละเว้นการกินเนื้อวัว ในกลุ่มคนที่นับถือ "เจ้าแม่กวนอิม" การกินเจ จึงเป็นอีกหนึ่งพิธีกรรมเพื่อสักการะ

บรรยากาศเทศกาลกินเจของเมืองไทยในปัจจุบัน คนทั่วไปไม่เว้นแม้กระทั่งหนุ่มสาวยุคใหม่ต่างก็หันมากินเจกันมากขึ้นทั้งนี้ อาจจะมาจากกระแสเรื่องห่วงใยสุขภาพมากกว่าความเชื่อโบราณ เพราะการงดเนื้อสัตว์ทุกชนิดและหันมาบริโภคแต่ผัก ผลไม้นั้นจะช่วยชำระล้างของเสียออกจากร่างกาย หรือคนยุคนี้เรียกว่า "การล้างพิษ" ซึ่งจะช่วยให้สุขภาพดีขึ้น

ความหมายของ "เจ"
"เจ" ในภาษาจีนมีความหมายว่า "อุโบสถ" เป็นคำแปลทางพุทธสาสนา นิกายมหายาน

การกินเจนั้นแต่เดิมหมายความถึง "การรับประทานอาหารก่อนเที่ยงวัน" ตามแบบอย่างของพระพุทธศาสนา เราจะเห็นตัวอย่างชาวพุทธรักษาอุโบสถศีล หรือรักษาศีล 8 ด้วยการไม่รับประทานอาหารหลังจากเที่ยงไปแล้วเช่นเดียวกับพระภิกษุ แต่สำหรับพุทธนิกายมหายานนั้น การรักษาอุโบสถศีลจะรวมถึงการไม่รับประทานเนื้อสัตว์ด้วย จึงนิยมเรียกการไม่กินเนื้อสัตว์ไปรวมกับการกินเจ จนถึงปัจจุบัน ผู้ที่รับประทานอาหารครบ 3 มื้อ แต่ไม่กินเนื้อสัตว์ยังคงเรียกว่า "กินเจ"

ความหมายของการกินเจ จึงหมายถึงการรักษาศีล ปฏิบัติธรรมทั้งกาย วาจา และใจ ไม่ใช่หมายความเพียงการไม่รับประทานเนื้อสัตว์เท่านั้น การปฏิบัติธรรมร่วมไปด้วยจึงจะครบเป็น "การถือศีล-กินเจ" อย่างแท้จริง

ความหมายของ "ธงเจ"
อักษรแดง บนพื้นเหลือง เขียนว่า "ไจ" หรือ "เจ" มีความหมายว่า "ของไม่มีคาว" สีแดงเป็นตัวแทนของความเป็นสิริมงคลในชีวิต ส่วนสีเหลืองเป็นสีของพุทธศาสนา หรือผู้ทรงศีล ธงเจนอกจากจะเป็นสัญลักษณ์ของอาหารเจแล้ว ยังเป็นการเตือนให้พุทธศาสนิกชนที่ปฏิบัติตน "ถือศีล-กินเจ" ได้ตระหนักถึงการไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์และการตั้งอยู่ในศีลตลอดช่วงระยะเวลา 9 วัน 9 คืน



การปฏิบัติตัวในช่วงเทศกาลกินเจ
เมื่อตั้งมั่นที่จะปฏิบัติศีลและกินเจ ในช่วงเทศกาลกินเจ 9 วัน 9 คืนนี้แล้ว ก็ควรจะศึกษาข้อห้ามต่างๆ ที่บัญญัติไว้เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติตัว โดยทั่วไปแล้วจะมีข้อปฏิบัติดังนี้
  • งดเว้นเนื้อสัตว์ หรือทำอันตรายต่อสัตว์
  • งด นม เนย หรือน้ำมันที่มาจากสัตว์
  • งดอาหารรสจัด หมายถึง อาหารรสเผ็ดมาก เค็มมาก หวานมาก เปรี้ยวมาก
  • งดผักกลิ่นฉุน 5 ชนิด คือ กระเทียม หัวหอม หลักเกียว กุยช่าย ใบยาสูบ รวมทั้งเครื่องเทศที่มีกลิ่นฉุน
  • รักษาศีล 5
  • รักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ รักษาอารมณ์ให้คงที่
  • ทำบุญ ทำทาน บางคนที่เคร่งอาจนุ่งขาว ห่มขาว

สำหรับคนที่กินเจอย่างเคร่งครัด นอกจากจะ "ถือศีล-กินเจ" แล้วยังต้องเลือกผู้ปรุงอาหารเจที่กินเจด้วย เพื่อให้ "อาหารเจ" นั้นบริสุทธิ์จริงๆ บางคนจะมีการคัดแยกภาชนะที่บรรจุอาหารหรือใช้ปรุงอาหาร แยกจากที่ใช้ใส่อาหารที่มีเนื้อสัตว์อย่างเด็ดขาด และในบางแห่งอาจพบว่ามีการจุดตะเกียงเก้าดวง ไว้เป็นเวลา 9 วันตลอดระยะเวลาการกินเจ เพื่อเป็นการรำลึกถึงบุญคุณพ่อแม่ญาติพี่น้อง และเพื่อเป็นพุทธบูชา

อาหารเจ
ปัจจุบันมีการยอมรับกันโดยทั่วไปถึงคุณค่าของ "อาหารเจ" เนื่องจากการรับประทานพืชผักในปริมาณที่มากกว่าปกติ งดเว้นเนื้อสัตว์ ทำให้กระเพาะได้พักจากภารกิจการย่อยเนื้อสัตว์ที่ทำประจำอยู่ และได้รับวิตามินเข้าไปเสริมสร้าง ซ่อมแซมร่างกายส่วนที่สึกหรอ รวมทั้งได้โปรตีนจากถั่วชนิดต่างๆ ซึ่งแตกต่างจากโปรตีนที่เราได้รับจากเนื้อสัตว์ ช่วงเวลานี้จึงถือเป็นช่วงที่ร่างกายได้พักผ่อนจากการรับสารอาหารย่อยยากจากแหล่งอาหารต่างๆ รวมทั้งยังได้รับพลังใจจากการที่ปฏิบัติตัวอยู่ในศีล ทำให้จิตใจอิ่มเอิบ เบาสบาย

หลายคนคิดว่า การรับประทานแต่อาหารเจจะทำให้เกิดโรคขาดอาหาร ทั้งที่สาเหตุสำคัญของการเกิดโรคขาดอาหารนั้น มาจากการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกหลัก ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งกับผู้ที่กินเนื้อสัตว์และกินเจ ซึ่งมีนิสัยการบริโภคที่ไม่คำนึงถึงคุณค่าของสารอาหารที่ได้รับ

คนที่กินเจอย่างถูกหลักก็จะได้รับอาหารที่มีคุณค่า มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ การประกอบอาหารเจเพื่อรับประทานในช่วงนี้ จึงสามารถเลือกอาหารพวก ข้าวกล้อง (ใช้แทนข้าวขาว) โปรตีนเกษตร (แทนเนื้อสัตว์) ผักสด เห็ดหอม ถั่วนานาพันธุ์ เต้าหู้ แป้งหมี่กึง ทดแทน และผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำเป็นอาหารชนิดต่างๆ

"เจ" กับมังสวิรัติ
อาหารมังสวิรัติ คือ อาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์เป็นส่วนประกอบเช่นเดียวกับอาหารเจ แต่หากเป็นมังสวิรัตินั้น สามารถนำผักทุกชนิดมาประกอบอาหารได้ แต่อาหารเจ ต้องงดเว้นผักฉุน 5 ประเภท (ดังที่กล่าวมาแล้ว) รวมทั้งของเสพติดทุกชนิด และยังคงต้องประพฤติศีลร่วมด้วย จึงจะเป็นการ ถือศีล-กินเจ ที่แท้จริง ในขณะที่มังสวิรัติ หมายรวมถึงการไม่รับประทานเนื้อสัตว์เท่านั้น

การกินเจ นอกจากจะตั้งอยู่บนพื้นฐานของการสร้างบุญกุศลด้วยการละ เลิก เพื่อชีวิตแล้ว ในแง่ของสุขภาพร่างกายก็พลอยได้รับประโยชน์ร่วมด้วย เพราะถือเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่ร่างกายมีโอกาสพักผ่อน จากการย่อยอาหารประเภทที่ย่อยยากทั้งหลาย

กิน "เจ" ที่ภูเก็ต
"เจ" ที่ภูเก็ตมาจากรากฐานความเชื่อเดียวกัน คนจีนเรียก "เจเดือนเก้า" แต่ถ้านับตรงกับเดือนไทยก็จะได้ตรงกับเดือน 11 เทศกาลกินเจที่ภูเก็ตจึงมีขึ้นหลังเทศกาลกินเจทั่วๆ ไป บางครั้งเราจึงมักได้ยินเชื่อเรียกของเทศกาลกินเจที่ภูเก็ต ว่าเป็นเทศกาลกินผัก ซึ่งแท้จริงแล้วก็คือการกินเจในรูปแบบและระยะเวลา 9 วันเช่นเดียวกัน

ความเชื่อเกี่ยวกับการกินเจที่ชาวภูเก็ตเล่าสืบต่อกันมาว่า มีคณะงิ้วจากเมืองจีนมาเปิดการแสดงที่กะทู้ แล้วบังเอิญเกิดโรคระบาด คณะงิ้วจึงจัดให้มีพิธีกินเจ และสร้างศาลเจ้าขึ้น ปรากฏว่าโรคระบาดก็หายไปสิ้น ชาวบ้านเกิดความเลื่อมใสจึงปฏิบัติตาม นับเนื่องจากนั้นมีผู้ศรัทธามากขึ้นเรื่อยๆ ชาวกระทู้จึงอยากให้พิธี "กินเจ" ของตนสมบูรณ์แบบ ตามแบบพิธีในมณฑลกังไส จึงได้ส่งตัวแทนไปนำเอาควันธูปกลับมา โดยการตั้งมั่นที่แรงกล้า เพราะพิธีการนำควันธูปกลับมานั้น ต้องจุดธูปต่อกันมิให้มอดดับได้ ศาลเจ้ากระทู้จึงเป็นศูนย์กลางของเทศกาลการกินเจที่ภูเก็ตเรื่อยมา จนมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักทั้งในและต่างประเทศ

9 วันแห่งพิธีกรรมของการกินเจที่ภูเก็ต
กลางคืนวันที่หนึ่ง จะมีพิธียกเสา "โกเด้ง" ขึ้นที่หน้าศาลเจ้า หรืออ๊าม เพื่อใช้เป็นที่แขวนตะเกียงทั้ง 9 ดวง และอัญเชิญดวงวิญญาณของยกอ๋องฮ่องเต้ หรือ พระอิศวร และ กิวอ๋องไตเต หรือ ราชาผู้เป็นใหญ่ทั้งเก้า มาประทับ เช้าวันรุ่งขึ้นมีการจุดธูปขนาดใหญ่ ตั้งเครื่องเซ่นและเผาไม้หอม เพื่อบูชาเจ้าประจำอ๊าม

หลังพิธีการกินเจ หรือชาวภูเก็ตเรียก "การกินผัก" ผ่านไป 3 วัน จะถือว่าตัวเองมีความสะอาดแล้ว หรือเรียกว่า "เช้ง" ในตอนค่ำมีพิธีการเชิญเจ้าเข้าทรงอีก 2 องค์ คือ "ลำเต้า" เจ้าผู้สำรวจคนเกิด และ "ปักเต้า" เจ้าผู้สำรวจคนตาย และทำพิธี "ปั้งกุ้น" หรือพิธีปล่อยพระ หรือการจัดทหารของเจ้าไปรักษาศาลเจ้าทั้ง 5 ทิศ เพื่อป้องกันสิ่งชั่วร้าย และภูตผีมาทำลายพิธี ความสนุกสนานเริ่มขึ้นตรงนี้ เมื่อการเชิญทหารเต็มไปด้วยร่างทรงของตัวละคร อาทิ เห้งเจีย บู๊สง เป็นต้น

ในวันที่เจ็ด เริ่มพิธี บูชาดาว เพื่อขอความเป็นสิริมงคล รักษาโรคภัยไข้เจ็บ

สองวันสุดท้าย เป็นความตื่นเต้นท้าทาย เมื่อมีการจัดขบวนพิธีแห่อย่างมโหฬาร เพื่อนำเกี้ยวไปรับพระจำหลักที่สะพานหิน เป็นการระถึงวันที่ควันธูปจากมณฑลกังไสมาถึงภูเก็ต ในขบวนแห่จะมีการแสดงอิทธิฤทธิ์ของม้าทรง หรือ คนทรงเจ้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย จะเห็นภาพของการใช้ของมีคมต่างๆ ทิ่มแทงตามร่างกาย มีทั้งง้าว ลูกตุ้มเหล็กฟาดหน้าฟาดหลัง เอาขวานจามหลัง หรือเอาเหล็กแหลมทิ่มแทงร่างกาย หรือแทงลิ้น จนกระทั่งเฉือนลิ้นตัวเองออกมา โดยท้าทรงเหล่านั้นอ้างว่าไม่มีความเจ็บปวดใดๆ ขณะเป็นร่างทรง ม้าทรงจะเดินเต้น ไปทั่วเมือง ชาวบ้านจะตั้งโต๊ะเครื่องเซ่นไหว้เพื่อให้เจ้าไปโปรดและมีการจุดประทัดตลอดเส้นทาง ทั้งเกาะปกคลุมด้วยควันธูปและประทัด

วันที่เก้า จะมีพิธีศักดิ์สิทธิ์ คือ พิธี "โก๊ยโห้ย" หรือพิธีลุยไฟสะเดาะเคราะห์ ม้าทรง หรือเจ้าจะเดินผ่านกองไฟ ที่มีถ่ายร้อนแดงเป็นระยะทางกว่า 2 ฟุต และตามด้วยผู้ที่ถือศีลกินเจที่มีความมั่นใจว่าตัวเองสะอาดแล้ว ก็สามารถร่วมลุยไฟได้ด้วยเช่นกัน ในตอนกลางคืนจะมีพิธีปีนบันไดมีด สูงประมาณ 12 เมตร และจบลงที่ยามดึกของคืนวันที่ 9 จะมีการแห่พระไปส่งทะเลบริเวณสะพานหิน และนำเสาโกเต้งลงดับโคมไฟทั้ง 9 เป็นเสร็จพิธีกินเจที่ภูเก็ต

กินเจ ที่ภูเก็ต ออกไปในแนวสนุกสนาน ตื่นเต้น ด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ ซึ่งพิสูจน์ไม่ได้ แต่หลายคนที่ไปดูด้วยตาตนเอง ยังพกความตื่นตาตื่นใจ เป็นประสบการณ์มาถึงปัจจุบัน และเป็นอีกหนึ่งวัฒนธรรมการกินเจอีกรูปแบบหนึ่ง

ประโยชน์ของการกินเจในมุมมองของแพทย์แผนปัจจุบันและแผนโบราณ
  • ให้พลังเย็น โดยได้รับพลังงานจากฟรุกโตส ซึ่งมีในผักและผลไม้ เป็นพลังงานที่ไม่ทำร้ายร่างกาย
  • ช่วยขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย ทำให้ไม่มีสารพิษตกค้าง เพราะกากใยในพืชผักช่วยระบบการย่อยและระบบขับถ่าย ทำให้ไม่เป็นโรคเกี่ยวกับลำไส้ รวมถึงโรคที่เกิดจากระบบขับถ่ายผิดปกติต่างๆ เช่น โรคริดสีดวงทวาร
  • หากรับประทานเป็นประจำ จะช่วยฟอกโลหิตในร่างกายให้สะอาด เซลล์ต่างๆ ในร่างกายจะเสื่อมช้าลง ทำให้ผิวพรรณผ่องใส มีอายุยืนยาว สายตาดี แววตาสดใส ร่างกายแข็งแรง มีความต้านทานโรค มีความคล่องตัว รู้สึกเบาสบายไม่อึดอัด
  • ทำให้ปราศจากโรคร้ายต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคเส้นเลือดหัวใจตีบตัน โรคตับ โรคสำไส้ โรคเกาต์ ฯลฯ เพราะได้รับอาหารธรรมชาติที่มีประโยชน์ ซึ่งไม่เป็นสาเหตุของโรคต่างๆ และยังช่วยป้องกันโรคร้ายเหล่านี้
  • อวัยวะหลักของร่างกาย และอวัยวะเสริมทั้ง ๕ ทำงานได้อย่างเต็มสมรรถภาพ อวัยวะหลัก ได้แก่ หัวใจ ไต ม้าม ตับ ปอด
    อวัยวะเสริมทั้ง ๕ ได้แก่ ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก กระเพาะ ปัสสาวะ กระเพาะอาหาร ถุงน้ำดี
    ผู้ที่กินเจ จะมีร่างกายที่สามารถต้านทานต่อสารพิษต่างๆ ได้สูงกว่าคนปกติทั่วไป ได้แก่
    ยากำจัดศัตรูพืช ยาฆ่าแมลง หรือสารเคมีที่เป็นอันตราย อื่นๆ
    อวัยวะหลัก ได้แก่ หัวใจ ไต ม้าม ตับ ปอด
    มลภาวะที่เกิดจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ ทั้งจากรถยนต์และโรงงานอุตสาหกรรม ฯลฯ ซึ่งมีปะปนอยู่ในอากาศรวมถึงแหล่าอาหารและน้ำดื่ม
  • กัมมันตภาพรังสี จากการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ และ การทำสงคราม สารอาหารจากพืชผัก ช่วยให้เซลล์ในร่างกายทนต่อการทำลายจากกัมมันตภาพรังสีได้
    ในทางการแพทย์ การกินเจ มีประโยชน์ในการรักษาโรคที่สามารถพิสูจน์และมองเห็นได้จัดเจนกว่า ประโยชน์ในทางศาสนาเป็นเรื่องที่ไม่ละเอียดเท่าเรื่องของศาสนาจึงสามารถมองเห็นได้ง่ายกว่าเป็นธรรมดา แม้ว่าการปฎิบัติจะไม่เคร่งครัดเท่ากับความต้องการประโยชน์ทางด้านศาสนา



 

Monday 8 October 2012

หลวงปู่ฤาษีลิงดำ__คำทำนายวันสิ้นโลก ??

สถานที่แห่งแรกในประเทศไทย
ที่จะได้เผชิญกับลาวาร้อนจากไฟใต้โลก
จะเกิดขึ้นจากทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของจังหวัดแรกในภาคอีสาน
ตามรอยต่อของจังหวัดที่ติดกันเป็นแนวยาว
เริ่มแรกจะมีลักษณะเป็นแนวแยกของแผ่นดินคดเคี้ยว
ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
ธารโลหะร้อนจะไหลลามแผ่ออกไปเป็นบริเวณกว้าง
ข้ามวันข้ามคืนติดต่อกัน
จากนั้นพายุที่รุนแรงจะนำน้ำมาดับไฟ
ก่อให้เกิดนำท่วมและโรคร้ายที่จะระบาดอย่างรุนแรง
จนสุดที่จะเยียวยาได้
โดยเฉพาะอหิวาตกโรคสายพันธุ์ใหม่
ที่มนุษย์เชื่อว่าได้กำจัดมันจนหมดไปจากโลกนี้แล้ว
แต่หารู้ไม่ว่ามันกำลังฟักตัว
และจะมีฤทธิ์ร้ายแรงกว่าตอนที่ถูกมนุษย์ปราบมันไปตอนนั้นเสียอีก
ซึ่งมันสามารถคร่าชีวิตผู้รับเชื้อได้ในระยะเวลาเพียงวันเดียวเท่านั้น

**********************************

ท้องฟ้ามืดมิด ฝนจะเริ่มตกหนักทั่วโลกอย่างไม่หยุดยั้ง
น้ำจะเอ่อขึ้นเรื่อยๆ จนเข้าท่วมแผ่นดินในหลายๆ พื้นที่
พายุไซโคลนจะพัดกระหน่ำ
ซึ่งจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วประมาณ 160 กม./ชม.
พัดผ่านกรุงเทพ ผ่านช่องแม่น้ำเจ้าพระยา
ตึกแห่งหนึ่งริมแม่น้ำเจ้าพระยา
ที่อยู่ใกล้กับสะพานกลางเก่ากลางใหม่
ในย่านฝั่งธนบุรีจะพังทลายลงมา
จากการโหมกระหน่ำและความบ้าคลั่งของลมพายุ
มีผู้เสียชีวิตในครั้งนี้มีไม่ต่ำกว่า 600 คน

ในเวลาหลังจากนั้นไม่นานนัก
ตึกสีขาวที่อยู่ริมแม่น้ำฝั่งตรงข้ามจะพังทลายตามลงมา
ยอดตึกที่พังทลายจะแลเห็นโผล่เหนือน้ำ
ให้เห็นเป็นอนุสรณ์ของคราบน้ำตา
หลังคาบ้านเรือนในบริเวณใกล้เคียงจะปลิวว่อน
เสาไฟฟ้าจะล้มระเนระนาด ด้วยความรุนแรงของลมพายุ

******************************

ตึกสูงย่านประตูน้ำ ในกรุงเทพมหานคร
ผนังตึกส่วนหนึ่งจะรูดลงมากองกับพื้น
ด้วยความรุนแรงของลมพายุที่โหมกระหน่ำอย่างรุนแรง
จะสร้างความเสียหายให้กับบ้านเรือนในบริเวณใกล้เคียง
อย่างเหลือที่จะคณานับ

*******************************

เทือกเขาตะนาวศรีในเขตจังหวัดราชบุรี จะพังทลายลงมา
เนื่องจากแผ่นดินไหวที่รุนแรง
ซึ่งจะเปิดเผยให้เห็นถึงภูเขาไฟที่ซุกซ่อนอยู่
หลังจากนั้นไม่นานภูเขาไฟลูกแรกในประเทศไทย
จะระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง
เสียงดังกึกก้องกัมปนาทดังมาถึงกรุงเทพ
ธารลาวาจะไหลลงไปยังฝั่งพม่า
ไม่นานนักระเบิดลูกที่สอง และลูกที่สามก็ตามมา
ลูกที่สี่ จะรุนแรงอย่างถึงที่สุด
ซึ่งจะสร้างความอำมหิตให้กับภาคเหนือและภาคอีสานต่อไป

********************************

ณ บ้านกุดฉิม อำเภอหนองเรือ จัดหวัดขอนแก่น
จะเกิดภูเขาไฟแห่งที่สองระเบิดขึ้น มีผู้เสียชีวิตประมาณ 500 คน
เกิดแผ่นดินไหว และมีลาวาร้อนจากภูเขาไฟ
ไหลเคลื่อนตัวทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า
เกิดขึ้นที่บ้านโพธิ์ อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย
มีผู้เสียชีวิตร่วมพันคน

*******************************

เกิดภูเขาไฟระเบิดในจังหวัดกาฬสินธุ์ อย่างกระทันหัน
จนยากที่ผู้คนในบริเวณนั้นจะตั้งตัวทัน
และจะเกิดปรากฎการณ์ที่แปลกประหลาด
มีจำนวนเด็กและผู้หญิงเสียชีวิตมากกว่าผู้ชาย

จังหวัดตรัง เกาะทุกเกาะจะจมหายไป
เนื่องจากลมพายุที่รุนแรงและทะเลคลั่ง
ที่กลบกลื่นหมู่เกาะให้หลับลึกไปอย่างรวดเร็ว

สมุทรปราการ จะจมหายลงไปในท้องทะเลครึ่งเมืองอย่างถาวร
เนื่องมาจากลมพายุที่โหมกระหน่ำ
บวกกับน้ำทะเลหนุนสูง น้ำจะท่วมอย่างรวดเร็ว
และมีสายน้ำเปลี่ยนทิศไหลผ่าเมืองอย่างน่าหวาดกลัว
ผู้ที่รับบาดเจ็บจากหายนะในครั้งนี้
จะถูกนำส่งยังโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
ที่อยู่ใกล้กับห้างสรรพสินค้าชื่อดังย่านสำโรง
ซึ่งโรงพยาบาลแห่งนี้จะเป็นประตูต้นทาง
ของกระแสน้ำที่ไหลเปลี่ยนทิศ
แต่ก็เป็นสถานที่ปลอดภัยที่สุดของเมืองสมุทรปราการ

เกาะสมุย จะถูกลบหายไปจากแผนที่โลก
เนื่องจากแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง
และเกิดพายุรวมทั้งคลื่นยักษ์ซัดกระหน่ำ
จนกระทั่งเกาะทั้งเกาะจมหายลงไปในท้องทะเล
อย่างไม่มีวันหวนกลับคืน

****************************

เกิดแผ่นดินไหวที่ตัวเมืองบุรีรัมย์ เสียชีวิตทันที 53 คน
ผู้บาดเจ็บที่เหลือจะเสียชีวิตอย่างมากมาย
ในระหว่างทางไปโรงพยาบาล

เกาะปันหยี จังหวัดพังงา เกิดน้ำท่วมสูง
และพายุที่รุนแรงโหมกระหน่ำ
เกาะหายสาบสูญอย่างถาวร ผู้คนเสียชีวิตทั้งเกาะ

เขื่อนบางลาง จังหวัดนราธิวาส ถูกคลื่นจากทะเลซัดกระหน่ำ
จนกระทั่งเขื่อนแตก น้ำไหลทะลักเข้าท่วมแผ่นดิน
รวมทั้งน้ำทะเลที่ถาโถมเข้าใส่แผ่นดินอย่างบ้าคลั่ง
จนกระทั่งไม่มีนราธิวาส หลงเหลืออยู่ในแผนที่โลก

บ้านหาดเล็ก จังหวัดตราด ถูกคลื่นยักษ์ไซโคลนกระหน่ำ
แผ่นดินหายไม่มีเหลือ

ยะลา ถูกทะเลคลั่งโหมกระหน่ำ น้ำทะเลสูง แผ่นดินหาย
เหลือเพียงเกาะเล็กๆ เท่านั้น ที่จะมีชื่อเรียกใหม่ว่า"เกาะยะลา"

จังหวัดสงขลาน้ำท่วมสูง เกาะทุกเกาะจมหาย
จะเหลือเพียงหาดใหญ่บางส่วนที่น้ำจะไม่ท่วมถาวร

*************************

ชลบุรี ชายฝั่งทะเลบางแสน ถูกคลื่นยักษ์ 4-5 เมตร
ซัดกระหน่ำอย่างรุนแรงจนกระทั่งมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งพังพินาศ
แต่น้ำทะเลจะไม่ท่วมถาวร

ฉะเชิงเทรา น้ำจะท่วมถึงสองฝั่งบางปะกง จนถึงฐานหลวงพ่อโสธร

กระบี่จะถูกพายุพัดกระหน่ำ ผืนดินทางด้านตะวันออกจะหายไป
ชาวประมง ประมาณ 180 คนจะถูกกลืนหายไปในท้องทะเล

ชุมพร จะเผชิญพายุฝนที่รุนแรง คลื่นจัด น้ำท่วมสูง
ศาลกรมหลวงชุมพรจะเหลือไว้เป็นอนุสรณ์ให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์

อุทยานภูริน นางย่อง สิมิลัน จังหวัดพังงา ถูกคลื่นยักษ์ซัดหาย

********************************

ภูเก็ต ถูกพายุถล่มอย่างบ้าคลั่ง
จะกระทั่งเกาะทั้งเกาะหายไปจากแผนที่โลก
มีผู้เสียชีวิตทันทีประมาณ 40,000 – 60,000 คน

********************************

นครศรีธรรมราชน้ำท่วมใหญ่ มีผู้เสียชีวิตประมาณ 20,000 คน
พังงา น้ำท่วม แผ่นดินจะถูกกลืนจมหายลงไปในท้องทะเล

ปัตตานี ฝนตกหนักจนเกิดน้ำท่วมทั้งจังหวัด
แต่ วัดช้างไห้ ของหลวงปู่ทวด จะปลอดภัย
รูปปั้นหลวงปู่ทวดจะแสดงปาฎิหารย์ ลอยน้ำขวางกระแสน้ำว
น้ำจะแห้ง วัดช้างไห้จะกลายเป็นเกาะกลางน้ำ

เขื่อนสิริกิติ์ จังหวัดอุตรดิตถ์จะพังหลาย กระแสน้ำที่วกราด
จะทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า มีผู้เสียชีวิตทันที่ประมาณ 200 คน

เกิดภูเขาไฟระเบิดอย่างกึกก้องกัมปนาถที่จังหวัดอุตรดิตถ์
กาญจนบุรี เขื่อนศรีนครินทร์จะมีปัญหา
น้ำไหลอ้อมเขื่อนท่วมด้านล่างเสียหายบางส่วน
รวมทั้งน้ำท่วมสูงแผ่นดินหายถาวรครึ่งจังหวัด

***************************

นครราชสีมา เกิดน้ำท่วมใหญ่เป็นประวัติการณ์
กระแสน้ำจะท่วมสูงจนถึงฐานของอนุเสาวรีย์ย่าโม
******************************

ทุกจังหวัดในประเทศไทยต่างก็ได้รับความบอบช้ำด้วยกันทั้งสิ้น
จะมากน้อยต่างกันไป บริเวณใดที่มีผู้คนมีศีลธรรมอาศัยอยู่
อาจได้รับการปกป้อง บรรเทาภัยพิบัติให้เบาบางลงไปได้บ้าง

ข้อมูลทุกอย่างที่กล่าวมานี้อาจเปลี่ยนแปลงได้
แต่ระดับความรุนแรงจะไม่เปลี่ยนแปลงแน่นอน
ดังเช่นภูเขาไฟที่กล่าวว่าจะเกิดในสถานที่หลายแห่งนั้น
อาจเกิดระเบิดกึกก้องกัมปนาถรวมกันในสถานที่แห่งเดียว
แต่จะมีความรุนแรงมากกว่าปกติ
กล่าวคือ อาจมีลาวาจะพุ่งสู่ท้องฟ้าสูงเป็นพิเศษ
ถึง 6 กิโลเมตร เป็นต้น

เหตุการณ์ต่างๆ ที่กล่าวมานั้น
จะมีอยู่วันหนึ่งที่เกิดเหตุการณ์รุนแรงที่สุด
คลื่นพลังมหาศาลจากจักรวาลจะกระแทกลงมายังโลก
เป็นพลังงานที่เกิดจากลมพายุสุริยะ
อันเนื่องมาจากจุดดับบนดวงอาทิตย์จุดที่ 11

มนุษย์ทุกคนบนโลก จะได้พบกับเหตุการณ์ที่น่าสะพรึงกลัว
บรรยากาศช่วงแรกๆ จะรู้สึกหดหู่ เวิ้งว้าง ท้องฟ้าจะวังเวงพิกล
หลังจากนั้นไม่นานนักลมจะแรงขึ้น แรงขึ้น เสียงฟ้า เสียงลม
จะแผดเสียงกึกก้องดังที่สุด
ตั้งแต่เกิดมาจะไม่เคยได้ยินเสียงที่ดังขนาดนี้มาก่อนในชีวิต
มันเป็นเสียงของมัจจะราชที่จะพิพากษาโลกในด้านความเป็นมนุษย์
คนชั่วทุกคนจะถูกประหารชีวิต และจะตายอย่างทรมาน
ไม่เว้นแม้แต่ผู้นำสังคม ผู้นำเศรษฐกิจ ผู้นำลัทธิ ฯลฯ
ส่วนคนดีจะได้รับการยกเว้นเอาไว้
ให้ได้ทำความดีโดยไม่มีอุปสรรคต่อไป

*********************************


แผ่นดินไทยที่สาบสูญ

บริเวณที่หายถาวรทั้งแผ่นดิน

นราธิวาส สตูล พังงา ภูเก็ต หมู่เกาะสิมิลัน หมู่เกาะสุรินทร์
หมู่เกาะ ตะรูเตา หมู่เกาะทะเลตรัง ตราด เกาะช้าง
หมู่เกาะทะเลตราด เกาะสมุย เกาะพงัน อ่างทอง ชะอำ

บริเวณที่เหลือเพียงบางส่วน แต่จะกลายเป็นเกาะเล็กๆ

เกาะยะลา เกาะปัตตานี เกาะพัทลุง เกาะสิชล-ขนอม
เกาะหัวหิน เกาะหาดทรายรี-ชุมพร

บริเวณที่หายเป็นส่วนใหญ่ จะเหลือเพียงบางส่วน

ยะลา หาดใหญ่ พัทลุง ตรัง สุราษฎร์ธานี
นครศรีธรรมราช ประจวบคีรีขันธ์
เพชรบุรี สมุทรสงคราม สมุทรสาคร ฉะเชิงเทรา
ชลบุรี ระยอง จันทบุรี สมุทรปราการ อุบลราชธานี
แผ่นดินริมแม่น้ำโขงตลอดแนว กาญจนบุรี
ฯลฯ

ประเทศไทยจะถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน

ได้แก่พื้นที่ในส่วนภาคกลางอันเป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ
และบริเวณในส่วนของภาคใต้ที่จะถูกแบ่งออกเป็น 2 เกาะใหญ่ๆ
ได้แก่

1. บริเวณตั้งแต่ชุมพรฝั่งตะวันตก ท่าแซะ ระนอง
สุราษฎร์ธานีฝั่งตะวันตก บริเวณด้านบนของอำเภอพนม
อ.เทียนชา อ.บ้านนาเดิม นครศรีธรรมราชตอนบน ขนอม

2. บริเวณตั้งแต่จังหวัดกระบี่ นครศรีธรรมราช
ที่ต่อแดนกับจังหวัดกระบี่ด้านบน ฉวาง ร่อนพิบุลย์ ชะอวด
จังหวัดตรังด้านตะวันออก จังหวัดพัทลุงด้านตะวันตก หาดใหญ่
จังหวัดยะลา ด้านตะวันตก

นอกจากนี้ยังมีเกาะเล็ก เกาะน้อยที่เกิดขึ้นมาใหม่อีกหลายเกาะ
ได้แก่เกาะสัต!บ เกาะยะลา เกาะปัตตานี
เกาะพัทลุง เกาะสิชล-ขนอม
เกาะหัวหิน เกาะหาดทรายรี-ชุมพร

บริเวณที่จะกลายเป็นพื้นที่ติดกับทะเล

ดินแดนที่จะมีอาณาเขตติดกับทะเล ได้แก่
สงขลาทางด้านตะวันตก ยะลาทางด้านตะวันออก
หาดใหญ่ กระบี่ตอนบน ด้านที่ติดกับจังหวัดสุราษฎร์ธานี
และด้านที่ติดกับจังหวัดพังงา
ตอนกลางของจังหวัดสุราษฎร์ธานี
ตั้งแต่ อ.พนม อ.เคียงซา จรดเขตจังหวัดกระบี่
ชุมพรด้านใน ท่าแซะ
ตอนล่างของเมืองประจวบคีรีขันธ์
และถนนเพชรเกษมฝั่งตะวันออกตลอดแนว
ของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
ถนนธนบุรี-ปากท่อ ช่วงสมุทรสงคราม และสมุทรสาคร
ตัวเมืองแปดริ้ว บ้านค่ายปลวกแดง จ.ระยอง ตัวเมืองจันทรบุรี
และตลาดท่าใหม่วังน้ำเย็น จรด จ.สระแก้ว
เหนือเขื่อนเขาแหลมด้านตะวันตก
กาญจนบุรี ศรีสะเกษ อุบลราชธานี มุกดาหาร สกลนคร
นครพนม เลย หนองคาย อำนาจเจริญ
บ้านร่มเกล้า จังหวัดพิษณุโลก
อุตรดิตถ์ ด้านที่ติดกับประเทศลาว น่าน ด้านตะวันออกตอนล่าง
บ้านสบเมย จ.แม่ฮ่องสอน

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้จะกลายเป็นดินแดนชายฝั่งทะเล !

ประเทศไทยเป็นดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์
ที่จะได้รับการปกป้อง คุ้มครองรักษาไว้
ซึ่งจะได้รับความบอบช้ำจากมหันตภัยธรรมชาติน้อยที่สุดในโลก
และจะเป็นอู่ข้าวอู่น้ำซึ่งมีความเจริญเป็นศูนย์กลางของโลกต่อไป

เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในต่างประเทศ
 
เกาะฮาวาย ประเทศสหรัฐอเมริกา
ถูกคลื่นยักษ์ที่มาพร้อมกับพายุไซโคลนกระหน่ำ
ทั้งเกาะจะถูกลบหายไปจากแผนที่โลก

พิลิปปินส์ ถูกพายุไซโคลนกระแทก
ก่อนเกิดเหตุจะแลเห็นน้ำทะเลเป็นสีดำหม่นหมอง
บรรยากาศหดหู่ เวิ้งว้าง
ไม่นานนักจะเกิดพายุไซโคลนก่อตัวขึ้น
พายุไซโคลนที่รุนแรง ข้างล่างดูด ข้างบนตี กระแทก
จนกระทั่งเกาะทุกเกาะจมหายลงไปในท้องทะเล

ไอแลนด์เหนือและใต้ อากาศหนาวจัด
อย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน
ในขนะเดียวกันจะถูกคลื่นยักษ์ซัดกระหน่ำ
ในขณะที่หนาวจัดนั่นเอง

ฮ่องกงถูกทะเลคลั่ง น้ำทะเลสูง
ชินจุงจะหายถาวร
เกาะสนามบินแห่งใหม่
จะถูกคลื่นตีแตกหายไปในทะเล
ในบริเวณแถบนั้นจะเหลือแต่เพียงเกาะเกาลูน
และประเทศจีนบางส่วน

การแต่งสมดุลกายด้วยธาตุ 4


การมีชีวิตที่จะเรียนรู้จัก
ธรรมชาติภายในและภายนอกกาย
มันก็คือการรักษาสมดุล
ของธรรมชาติแห่งธาตุทั้งสี่

 

ชีวิตที่สมดุล

โดยปกติแล้วธรรมชาติของมนุษย์ สัตว์ทุกประเภท วัตถุทุกอย่าง สรรพสิ่ง สรรพชีวิต และสรรพวัตถุทั้งหลายในโลกหล้า ในปฐพี และจักรวาล มีองค์ประกอบของธาตุสี่ทั้งนั้น อย่างเช่น เหล็กหนึ่งท่อนก็มีธาตุสี่ แต่ว่าธาตุอะไรมันนำหน้าธาตุอะไรเท่านั้นเอง ถ้าถามว่าเหล็กหนึ่งท่อนมีธาตุสี่ได้ยังไง ก็ลองเอาเหล็กไปวิเคราะห์แยกอณู แยกชั้นของก๊าซ ของความแข็ง ความหนา ของโมเลกุล ภายในเหล็ก เราจะเห็นว่าเนื้อเหล็กนั้นก็ยังมีความชื้น ยังมีความอบอุ่น ความร้อนอยู่ในตัว มีความแข็ง-กร้าวอยู่ในตัว เพราะฉะนั้นธาตุทั้งสี่มันมีอยู่ทุกที่ พื้นที่ที่เรานั่งก็มีธาตุสี่ เว้นแต่ธาตุใดมันจะปรากฏเฉพาะหน้า คือยิ่งใหญ่ มีอำนาจเหนือกว่าธาตุทั้งปวงในขณะนั้นเวลานั้น

หรืออย่างแก้วน้ำจัดว่าเป็นธาตุดิน เพราะแข็ง แต่ว่าในแก้วน้ำมีธาตุน้ำไหม ก็ยังมีธาตุน้ำ แต่มีน้อยกว่าธาตุดิน มันจึงแข็งเราจึงจับต้องได้ น้ำเป็นสิ่งที่เอิบอาบ ลื่นไหล เราจะสัมผัสได้ด้วยความเย็น นุ่มนวล และก็ละเมียดละไม เพราะฉะนั้นกระบวนการของการมีธาตุสี่นี้มันมีไปทุกที่

ในกระบวนการแห่งองค์ประกอบในธาตุสี่หรือธรรมชาติในธาตุทั้งสี่นี้ พระพุทธเจ้าเรียกว่า มหาภูตรูปสี่

มหาภูตรูป คือ รูปอันยิ่งใหญ่ที่ครอบคลุมไปทุกอนันตจักรวาล มหาภูตรูปสี่มีอะไรบ้าง ก็คือมีดินเป็นรูป มีน้ำเป็นรูป มีลมเป็นรูป มีไฟเป็นรูป มันมีอยู่ทุกสรรพสิ่ง สรรพสัตว์ สรรพชนิด สรรพวัตถุ และสรรพ-ชีวิตอย่างชนิดปฏิเสธมันไม่ได้

เรื่องการปรับสมดุลของธาตุสี่ทั้งภายในและภายนอก เราต้องเข้า-ใจอย่างหนึ่งว่า ถ้าเรารู้จักความหมายของคำว่า ธรรมชาติ หรือธรรมะแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์นั้น หลวงปู่เชื่อโดยความรู้สึกและสำนึกของความเป็นพุทธในพระองค์ว่า พระองค์ไม่ได้เอามาจากใคร แต่เอามาจากธรรมชาติ ธรรมะคือธรรมชาติ ธรรมชาติคือธรรมะ

ธรรมะคือการทำหน้าที่ถูกต้อง ไม่บกพร่อง และธรรมชาติก็คือการรักษาสมดุลที่ถูกต้องไม่บกพร่อง รวมเรียกกันว่า คำสอนของพระพุทธะ แต่จริงๆแล้วมันมีอยู่ก่อนพระพุทธะ ไม่ใช่ว่าพระพุทธะเป็นคนที่สร้างมันขึ้นมา เพราะฉะนั้นพระพุทธะทุกพระองค์นำเอาของดีที่มีอยู่แล้วขึ้นมาเพื่ออบรม ถ่ายทอด และส่งมอบกันต่อๆมา เราก็มีหน้าที่ที่จะสืบทอด ทะนุบำรุง และก็ระวังรักษา และก็สร้าง ถ่ายทอดเจตนาและอุดมการณ์นั้นๆต่อๆไปในชั้นคนหลังๆ และลูกหลานต่อๆไป

ดังนั้น กระบวนการของธรรมะทั้งแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์นั้น หลวงปู่เชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมทุกพระธรรมขันธ์ ด้วยความพึ่งพิงอิงแอบอาศัย ด้วยสำนึกและความรู้สึกที่อยากให้สรรพสัตว์และพลโลก ประชาชาติ และสัตว์โลก อยู่ด้วยตัวเองและอยู่ร่วมกันด้วยความพึ่งพิงอิงแอบอาศัย คือพึ่งพิงอิงแอบอาศัยตัวเอง และก็พึ่งพิงอิงแอบอาศัยสรรพสิ่ง สรรพวัตถุ สรรพธรรมชาติ และก็สรรพชีวิต ภายในและภายนอกกายตัวเอง

เราอาศัยสรรพสิ่ง สรรพสิ่งอาศัยเรา เราอาศัยธรรมชาติ ธรรมชาติอาศัยเรา ธรรมชาติเป็นบิดามารดาเกิดแห่งเรา เราก็ทะนุบำรุงบิดามารดาเกิดเหล่านั้น มันต้องเต็มพร้อมและเต็มเปี่ยมไปด้วยความเอื้ออาทรและการุณย์ เหมือนดั่งสายลมและแสงแดด การุณย์ต่อเพื่อนมนุษย์ พืชพันธุ์ธัญชาติ และสรรพสิ่งทั้งปวง สร้างไออุ่น ให้การปรุงอาหาร ทำให้เกิดกระบวนการสันดาบในวิถีแห่งการเคลื่อนไหว พลังงานในกายและรอบกาย ทำให้มีชีวิต วิญญาณในความรื่นเริง สดชื่น บันเทิง ไปต่อกระบวนการต่างๆ ของการดำรงชีวิตนั้นๆ

เมื่อสายลมแสงแดดเอื้ออาทรต่อสรรพสัตว์และธัญชาติ ธัญชาติก็เอื้ออาทรต่อสายลมและแสงแดด รับเอาสิ่งดีๆ จากสายลมแสงแดดนั้นมาปรับเปลี่ยน ประยุกต์ใช้กับตนเอง ทำให้มีชีวิต อินทรีย์ ที่เจริญรุ่งเรือง เติบโต งอกงาม ไพบูลย์ ผลิดอกออกใบ ให้หว่านพืชผลวงศ์วานให้เจริญรุ่งเรืองในแผ่นดิน ทำให้แผ่นดินชุ่มชื้น ทำให้เกิดกลิ่นอายของความสดชื่นแจ่มใส ทำให้เกิดกระบวนการเจริญงอกงาม ไพบูลย์ของสรรพสิ่ง สรรพวิญญาณ สรรพวัตถุรอบกายตน

ชีวิตมนุษย์ สัตว์ทั้งหลายเกิดขึ้นมาได้ ก็เพราะขบวนการของกรรมนำเอาวิญญาณมาเกิด เมื่อมีการเกิดขึ้นก็มีลมหายใจ ลมหายใจเกิดขึ้นมาได้ก็เพราะมีผู้ควบคุม ลมนี่ต้องถือว่ามีพลังชนิดหนึ่งที่เรียกว่าพลังจิต-วิญญาณเป็นผู้ควบคุมความ รู้สึกนึกคิด วิญญาณที่ภาษาธรรมะมันแยกออกเป็นความรู้สึก ความรู้ ความรับรู้อารมณ์ ความรู้สึกตัว เพราะฉะนั้นเมื่อความรู้สึกเราหมดไป ลมมันก็จะหาย

ความรู้สึกหมดมีอยู่สองชนิดคือ หมดลึกๆกับหมดข้างนอก หมดลึกๆคือหมดแล้วตายเลย แต่หมดข้างนอกนี้หมดแบบโดนไม้หน้าสามแล้วสลบ หมดความรู้สึก หมดแบบนี้ไม่ถือว่าเป็นการควบคุมธาตุลม การหมดความรู้สึกลึกๆเรียกว่าตาย นั่นแหละธาตุลมมันจะหาย

ปกติธาตุลมทำหน้าที่ควบคุมธาตุไฟ มีลมที่ไหน ไฟลุกที่นั่น มีลมที่ไหน ไฟก็ดับได้ที่นั่นเหมือนกัน เพราะฉะนั้นลมเป็นเครื่องพยุงให้ไฟลุก เมื่อลมหายไฟก็ดับ ไฟควบคุมธาตุน้ำ น้ำซึ่งมีอยู่จำนวนมากในร่างกาย อย่างน้ำเหงื่อที่ไหลซึมออกมาตามร่างกายนี้ก็เป็นการแสดงออกของกิริยาของน้ำ อาการแห่งน้ำ และกระบวนการของน้ำที่แสดงออกมา น้ำดี น้ำ-เสลด น้ำลาย น้ำมูก น้ำปัสสาวะ น้ำเลือด น้ำหนอง ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ว่ากันว่ามีมากถึงประมาณ ๗๐ % ภายในกาย

น้ำในร่างกายทำหน้าที่อะไร เมื่อลมมีจิตวิญญาณควบคุม ลมคุมไฟ ไฟก็คุมน้ำ ไฟช่วยเผาผลาญทำให้น้ำออกไป กลายเป็นน้ำเหงื่อ น้ำเลือด น้ำหนอง น้ำลาย ของเสีย ขับถ่ายทิ้งไป ส่วนใหญ่แล้วมันจะถูกควบคุมด้วยธาตุไฟภายในกายเรา เมื่อไฟควบคุมธาตุน้ำ น้ำก็ยังมีดินห่อหุ้มไว้อีก

เพราะฉะนั้น คนที่ตายแล้ว สัตว์ที่ตายแล้ว เราจะเห็นว่าไม่มีลม-หายใจ ก็เพราะว่าเขาไม่มีจิตวิญญาณ เมื่อไม่มีจิตวิญญาณก็ไม่มีลมหาย-ใจ พอไม่มีลมหายใจ ไฟก็ดับ พอไฟดับ น้ำไม่มีผู้ควบคุม มันก็จะเบ่งบาน เพราะไม่มีตัวไปกดทับมันไว้ มันก็ทำการละลายดิน สัตว์ที่ตายแล้วจึงขึ้นอืด เขียว พอง น้ำเหลืองไหลออกมาตามผิวหนังที่บอบบาง น้ำเหลืองเหล่านี้ก็คือธาตุน้ำ ผิวหนังที่บอบบางก็คือธาตุดิน ดินในส่วนของร่างกายที่บางที่สุด เป็นทำนบกั้นที่บางที่สุด มันก็จะโดนน้ำทำลายออกมา

องค์ประกอบของกายที่บอกว่ามีธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ นั้น ในแต่ละดิน แต่ละน้ำ แต่ละลม แต่ละไฟ ก็ยังมีองค์ประกอบของเซลล์ต่างๆมากมายมหาศาล เป็นหมื่นเป็นล้านเป็นร้อยๆล้านชีวิต ที่มันเกาะกลุ่มและสะสมเป็นกระบวนการของชีวิต และรูปร่างที่เราสัมผัสจับต้องพิสูจน์ได้

องค์ประกอบเหล่านี้มันก็มีเสียบ้าง ดีบ้าง พร่องบ้าง สมบูรณ์บ้าง สมดุลบ้าง ขาดสมดุลบ้าง หน้าที่ของการมีชีวิตของพวกเราก็คือรักษามันให้คงไว้ซึ่งความดีและสมดุล รักษาไว้ซึ่งความไม่พร่องและถูกต้อง ไม่บกพร่องในหน้าที่

แล้วธาตุสี่นี้ล่ะตั้งอยู่ได้ด้วยอะไร ก็ด้วยอาหาร องค์ประกอบของธาตุสี่ ในอาหารเหล่านั้นก็มีองค์ประกอบของธาตุสี่เหมือนกัน มาสนับ-สนุนส่งเสริมทดแทนสิ่งที่เสีย ซ่อมแซมสิ่งที่บุบสลาย แล้วก็สร้างเสริมสิ่งที่กำลังจะเจริญเติบโต

กระบวนการของธาตุสี่อย่างนี้เมื่อเราได้มันอย่างสมบูรณ์แล้วมันจะ เกิด หลวงปู่ไม่แน่ใจว่าภาษาอังกฤษเขาเรียกมันว่าอะไร แต่หลวงปู่เรียกว่า พลังงาน คือผลพลอยได้ คือการสันดาป เช่น เรากินอาหารเข้าไปอย่างถูกต้อง ดำรงไว้ซึ่งความสมดุลของธาตุทั้งสี่ มันจะเกิดกระบวนการพลังชนิดหนึ่งซึ่งคนจีนเขาเรียกว่าปราณ

คำว่าปราณตัวนี้ มันเกิดได้ด้วยสองชนิด ชนิดแรกคือเกิดจากสมดุลแห่งธาตุทั้งสี่ ชนิดที่สองคือเกิดจากกระบวนการของสมดุลแห่งสภาวะจิตที่สงบ สมดุลแห่งจิตที่ไม่กระเพื่อม ทั้งสองชนิดนี้ถ้ามันปรากฎขึ้นมันจะเกิดพลังชนิดหนึ่งขึ้นมาที่เรียกว่าปราณ ปราณตัวนี้จะมีอำนาจและมีพลังที่ควบคุมและก็กำหนดการเกิด การตาย ของเซลล์ทั้งหลายภายในกายนี้ หลวงปู่ไม่แน่ใจว่ามันจะถูกผิดตามหลักของแพทย์หรือไม่ แต่นี่คือความรู้จากประสบการณ์ทางวิญญาณที่ตัวเองค้นคว้า ค้นพบ และพิสูจน์สัมผัสได้

เมื่อปราณตัวนี้ทำหน้าที่หล่อเลี้ยงเซลล์ทั้งหลายภายในกายนี้ ซึ่งภาษาแพทย์อาจจะเรียกว่าสารหรือมวลสารแห่งอาหารที่ร่างกายดูดซึมแล้วก็ ได้ แต่หลวงปู่หรือว่านักจิตศาสตร์เขาเรียกมันว่าปราณ แต่มันก็ยังไม่ถึงคำว่าพลังแห่งจิต รวมแล้วสมดุลแห่งกายนี้จะรักษาได้ประเภทที่หนึ่งคือพลังปราณ ต้องมีปราณและปราณนั้นเกิดได้จากการรักษาสมดุล ประเภทที่สองจิตไม่กระเพื่อม สองชนิดนี้เท่านั้นที่จะรักษาสมดุลย์แห่งธาตุทั้งสี่ หรือธรรมชาติแห่งธาตุทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ให้คงไว้ซึ่งสมดุล

สมมติว่าเซลล์ในกายเรา เช่น เซลล์ในเส้นผมมันมีชีวิตแค่ ๑ นาที แล้วเราไม่รักษาสมดุลของมัน ไฟมันมากไปมันก็เผาผลาญเซลล์ในเส้นผมหรือเส้นขนของเราให้มันมีชีวิตแค่ครึ่ง นาที ร่างกายนี้ก็จะต้องสร้างสิ่งที่มีชีวิตขึ้นมาเพื่อจะสร้างเซลล์ รักษาชีวิตเซลล์ขึ้นใหม่ เพื่อจะทดแทนสิ่งที่ตายไปเร็วขึ้น พลังงานของกายเราก็จะต้องใช้มากขึ้น แล้วเราก็จะต้องสูญเสียพลังชีวิตเยอะขึ้น ปราณก็จะหมดเร็วขึ้น อาหารก็ต้องทดแทน หาได้มากขึ้น เมื่อเราสูญเสียและเผาไหม้ไปกับกระบวนการที่ไร้สาระ กับการที่เราคอยระแวดระวังไม่ให้เซลล์เส้นผมหนึ่งเส้นมันตายก่อนจะถึงหนึ่ง นาที เราทำสมดุลของมันให้มีชีวิตยืนยาวจนครบหนึ่งนาที จนสิ้นอายุขัยมัน แล้วจึงจะเกิดเซลล์ใหม่

ถ้าเราฝึกตัวเองจนสามารถควบคุมองค์คุณแห่งธาตุสี่ได้ ฝึกตัวเองจนสามารถควบคุมองค์ประกอบของสมดุลแห่งธาตุได้ และก็ฝึกตัวเองจนกำหนดอายุขัยแห่งเซลล์ภายในกายได้ คือควบคุมอายุขัยแห่งเซลล์ภายในกายได้ นั่นก็คือที่มาของสูตรสำเร็จของการได้มีชีวิตอย่างมีสาระ การสร้างชีวิตให้ได้สาระ หรือได้ชีวิตจากการสร้างสาระ และก็นำเอาชีวิตที่มีและดีอยู่นี้ ไปทำให้เกิดประโยชน์สุข นั่นคืออีกเรื่องหนึ่ง นั่นคือธรรมชาตินอกกายและในกายที่จะสร้างสัมพันธภาพต่อกันในโอกาสต่อไป

ธรรมชาติภายในกายกับธรรมชาตินอกกาย ต้องสมดุลกัน ต้องสื่อ-สัมพันธ์ ทำให้เกิดกระบวนการมีสัมพันธภาพอันดีต่อกัน ทีนี้เราก็จะรู้ได้ทันทีว่า ยาทุกชนิด น้ำทุกหยด ข้าวทุกเมล็ด อาหารทุกจาน เกลือทุกก้อน อากาศทุกครั้งที่เราสูดเข้าไป มันเหมาะสมพอดีกับเรามากน้อยอย่างไร แค่ไหน อย่างเช่น ถ้าหากว่าธรรมชาติภายในกายร้อน แล้วธรรมชาติภายนอกกายไม่ได้แก้ความร้อน สิ่งที่ต้องทำเวลานี้ก็คือโบกมือพัด แล้วธรรมชาตินอกกายคืออะไร ก็คือลมที่อยู่รอบกาย ส่วนธรรมชาติในกายคืออะไร ก็ไฟที่ทำให้ร้อน ดังนั้นจึงต้องเอาลมเข้าไปกำราบ ทำให้มันลดน้อยถดถอยลง นี่คือกระ-บวนการของการมีชีวิต

มันก็เหมือนกับการที่เราบรรจงเลี้ยงลูกด้วยความรัก ด้วยความทะนุ-ถนอม เราก็จะคอยเฝ้าสังเกต ระวังรักษา กิริยาอาการของลูกเราว่าเขาร้อนไปไหม หนาวไปไหม หิวหรือไม่ แล้วเป็นสุขหรือเปล่า ถ้าร้อนไปก็ลดความร้อน เติมเย็น หนาวไปก็เติมความอุ่น หิวก็เติมอาหาร ถ้ายังเป็นทุกข์ก็หาวิธีผ่อนคลาย

การสร้างสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน จึงเป็นที่มาของคำว่า หลวงปู่พูดเมื่อครู่นี้ว่า ผู้ที่สามารถจะเอาธาตุภายในกายไปควบคุมสัมพันธภาพต่อธาตุภายนอกน่ะ ตรงนี้สำคัญ ตรงนี้ค่อนข้างจะหาได้ยาก หาได้ลำบาก แต่ก็ไม่ใช่ไม่มี ที่มันยากลำบาก ก็เพราะไม่มีใครคิดจะทำมัน เพราะมันทำยาก ลำบาก แต่จริงๆแล้วมันไม่ยาก ไม่ลำบาก ถ้าเราเป็นคนจริง ทำมันจริงๆ ศึกษามันจริงๆ ค้นคว้ามันจริงๆ แจ่มแจ้งมันจริงๆ

สมัยก่อนหลวงปู่อยู่ธิเบต เคยรู้จักพระลามะผู้เฒ่าหลายท่าน เขาฝึกโกลัมปะ คือสมาธิขั้นสูง ในถ้ำที่มีน้ำแข็ง วิธีของเขาคือ การเอาผ้าที่ทอด้วยขนจามรี ชุบน้ำให้เปียกแล้วใช้หุ้มห่อตัวแทนการใส่เสื้อผ้า เสร็จแล้วก็จุดธูปไว้ ๑ ก้าน ทำอย่างไรให้ภายใน ๑ ชั่วธูป ต้องทำให้ผ้านั้นแห้ง คนที่ทำได้ ก็ถือว่าสำเร็จวิชา

นี่เรียกว่าธรรมชาติในกายคุมสัมพันธภาพต่อธรรมชาตินอกกาย ทำให้เกิดกระบวนการที่เขากับมันอยู่ร่วมกันได้โดยสันติสุข นั่นคือกระบวนการความมีสัมพันธภาพระหว่างธรรมชาติของธาตุภายในและภายนอก

อาหารที่เรากิน น้ำที่เราดื่ม ที่ที่เราอยู่ ยาที่เรากิน เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มที่เราใช้ ที่นอนที่เรานอน สถานที่ที่เราไป บุคคลที่เราไปพบปะ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เราจะรู้ว่าอะไรมันเหมาะกับเรา แล้วอะไรไม่เหมาะกับเรา สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันจะบอกเรา และเราก็จะบอกมันได้ว่า มันควรจะอยู่กับเราหรือไม่ควรจะอยู่กับเรา มันควรจะเป็นมิตรหรือเป็นศัตรูต่อเรา

แม้แต่กระบวนการของอารมณ์ รัก โลภ โกรธ หลง อยาก โง่ ขี้เกียจ ขยัน ฉลาด สิ่งเหล่านี้เป็นธรรมชาติภายในกาย ซึ่งเราต้องควบคุมและรักษาสมดุลของมันให้ได้ อย่าให้มันเป็นนายเรา แล้วเมื่อนั้นเราก็สามารถจะไปมีสัมพันธภาพหรือสร้างสัมพันธภาพกับธรรมชาติ รอบกายหรือภายนอกกายเราได้

การมีชีวิตที่จะเรียนรู้จักธรรมชาติภายในและภายนอกกาย มันก็คือการรักษาสมดุลของธรรมชาติแห่งธาตุทั้งสี่ เราปฏิเสธไม่ได้ว่ามันต้องเป็นสมดุลอยู่ดี เพราะถ้าเรารู้จักว่า เออ..อันนี้น้ำน้อยไปนะ เติมน้ำให้เต็ม ไฟเยอะไปนะ หรี่ไฟลงหน่อย อันนี้ลมมากไปนะ ลดลมลงนิด อันนี้ดินหนาไป ทำให้บางลงหน่อย อะไรอย่างนี้ ชีวิตเราจะดูดี

หลวงปู่พูดแค่ว่าดูดี เอาแค่ดูดีในสายตาของเราพอแล้ว อย่าไปทำดีเพื่อให้คนอื่นเขาดู แต่จงทำดีเพื่อให้ตัวเราดู และเราดูว่ามันดี เมื่อเราดูว่ามันดีแล้ว มันใช้ได้ต่อกระบวนการ คนอื่นเขาหัวเราะ เราหัวเราะด้วย คนอื่นร้องไห้ เรายิ้ม คนอื่นเศร้าโศกเสียใจ เรามีเสรีภาพอิสระ คนอื่นเป็นทุกข์เดือดร้อน เรามีความสุขสมบูรณ์ คนอื่นขัดสนอดอยาก อนาถา เราพอดี พอมี พอกิน

ธรรมชาติสองสิ่งนี้จึงถือว่าเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับพุทธ บริษัทหรือผู้คนทั้งหลายที่เกิดและอุบัติในโลกนี้ ที่ต้องรู้ ต้องเข้าใจ สิ่งเหล่านี้มันเป็นกระบวนการบริหารและการจัดการที่เราปฏิเสธมัน ไม่ใส่ใจมัน หนีห่างจากมัน แล้วเราก็ไปหาสิ่งอื่นๆ เรื่องอื่น และก็สรรพสิ่งอื่น สรรพวิญญาณอื่น สรรพวัตถุอื่นที่จะเรียนรู้มัน จะเข้าใจมัน แล้วก็ไปบริหารมัน แต่เราละทิ้งหลีกหนีการบริหารธรรมชาติทั้งในและก็นอกกายตน และคิดว่ามันไม่สำคัญ ดังนั้น ถ้าเราจะมานั่งรอคิดหาฤกษ์ยาม ที่จะมาจัดการกับธรรมชาติภายในกาย เพื่อให้เกิดสัมพันธภาพกับธรรมชาตินอกกายอย่างนี้ละก็ หลวงปู่คิดว่าที่ผ่านมาชีวิตเราขาดทุน

ฉะนั้นการมีชีวิตเพื่อมาบริหารธาตุสี่ของเราให้มีศักยภาพ ให้มีคุณ-ภาพ และรักษาประสิทธิภาพ ทำให้เกิดประสิทธิผลในการได้ใช้มัน ศักยภาพ คุณภาพ ประสิทธิภาพ และก็ประสิทธิผลเหล่านี้นั้น เกิดขึ้นได้ก็ต้องมีกระบวนการรู้จริง รู้แจ้ง ไม่ใช่รู้จำ รู้จริงรู้แจ้งคือต้องรู้จักตัวเราเอง ที่หลวงปู่บอกว่าขอเพียงเรารู้จักตัวเองแท้ๆเถอะ ครูผู้ใจอารีที่หลับนิ่ง นอนเนื่องอยู่ในกมลสัน-ดานและจิตวิญญาณ ก็จะตื่นขึ้นมาและถ่ายทอดสรรพวิทยาทั้งปวงให้แก่เราได้รับรู้ บอกให้เรารู้ว่าเวลานี้เป็นเวลากลางวัน ธาตุอะไรมันจะนำหน้า เราต้องใช้ธาตุอะไรดับธาตุนี้ เพื่อความอยู่สบาย เวลานี้เป็นเวลาเช้าธาตุอะไรจะนำหน้า เราจะไม่สบาย ก็ต้องใช้ธาตุนี้ดับธาตุนี้สำหรับความอยู่สบาย

อย่างวิชาแพทย์แผนโบราณ เวลาเขาจะวางยา เขาจะต้องทำการตรวจสอบว่า ป่วยเป็นอะไร สมุฏฐานของโรคเกิดจากอะไร โดยเฉพาะแพย์จีนนี่ เขามีอยู่ ๔ ประการเท่านั้น มาวิเคราะห์ว่า ธาตุนี้มันหาย ธาตุนั้นมันบกพร่อง ธาตุนั้นมันหลุดไป ก็ต้องหาอาหาร หายา หรือหาเครื่องที่จะทำให้เกิดธาตุนี้ทดแทนขึ้นมา

ดังนั้น กระบวนการรักษาและการให้ยาของหมอโบราณส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การเสริมสร้าง สมดุลของธาตุภายในกาย ยาทั้งหลายที่หมอโบราณคิดค้น หรือทดลอง ทดสอบ พิสูจน์ สัมผัสทราบ เพื่อนำมาใช้ ไม่ได้ถือว่าเป็นทฤษฎี เพราะบางครั้งยาชนิดนี้ใช้กับคนคนนี้หาย อีกคนหนึ่งเป็นโรคเดียวกันก็ใช้ยาชนิดนี้หาย แต่อีกคนหนึ่งก็เป็นโรคนี้เหมือนกันแต่ใช้ยาชนิดนี้ไม่ได้ หรืออีกคนหนึ่งใช้ยาชนิดนี้แล้วตายก็มี หตุผลก็เพราะว่า หมอที่วางยาไม่รู้จริง แล้วก็รู้ไม่แจ่มแจ้ง ไม่เข้าใจลึกซึ้งว่า กระบวนการปรับสมดุลของธาตุในแต่ละคนนั้นมันไม่เท่ากัน

มีคนสงสัยว่า มหาประธานอิทธิบาทสี่ ยังให้มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายมีอายุยืนยาวอยู่ได้เป็นร้อยเป็นพันปีใช่ไหม ในมหาประธานอิทธิบาทสี่นั้นใจความสำคัญก็คือว่า มีฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา คือ พอใจ รักใคร่ เอาใจจดจ่อ ความขยันหมั่นเพียร และใช้ปัญญาใคร่ครวญในการที่จะรักษาสมดุลแห่งธาตุทั้งสี่นี้ให้คงรูป คงลักษณ์ อยู่ถาวร ถึงมันจะไม่ตลอดกาล ตลอดสมัย แต่ก็ให้มันใช้สมรรถนะ สมรรถภาพ ของมันจนครบอายุขัยแห่งเซลล์ทั้งหลายในกายนี้ ตามสภาพ สภาวะ ในภาษาธรรมะเรียกว่าสภาวะธรรม แค่นี้แหละ อายุขัยเราก็จะยืนยาวได้ ชีวิตเรา จิตวิญญาณเรา ร่างกายเรา ผิวหนังก็จะสด-ใส แช่มชื่นได้ สดชื่นได้

จึงสรุปได้ว่า การที่ท่านทั้งหลายจะเพียรพยายามรักษาสมดุลของธาตุสี่ หรือรักษาสัมพันธภาพระหว่างธาตุภายในกายและภายนอกกายให้ได้นั้น ก็ต้องเริ่มต้นมาจากการเป็นคนรู้จริง ไม่ใช่รู้จำ และก็จริงจัง ตั้งใจ จดจ่อ และจับจ้องในการที่จะเรียนรู้ ทำความรู้จักตัวเอง ในขณะเดียวกันสิ่งที่เราทำ คำที่เราพูด สูตรที่เราคิด เรื่องทั้งหลายในชีวิตต้องผ่านการใคร่ครวญ กลั่นกรอง พินิจ พิจารณา ที่เราเรียกกันว่าต้องมีสติ

เมื่อเรามีสติในการใคร่ครวญ พิจารณา กลั่นกรอง และวิเคราะห์ พินิจ พิจารณา เราก็จะรู้ได้ว่า เวลานี้ร่างกายเราขาดธาตุอะไร เราต้องการเสริมธาตุอะไร เพื่อให้ร่างกายต้องการครบสมบูรณ์องค์ประกอบ เวลานี้ร่างกายเรามากไปด้วยธาตุอะไร เกินไปด้วยธาตุอะไร เราต้องใช้ธาตุอะไรมาทำลายมัน เพื่อให้คงไว้ซึ่งสมดุลของมัน การมีชีวิตอย่างนี้หลวงปู่เรียกมันว่าศิลปะ ถือว่ามันเป็นศิลปะในการดำรงชีวิต

มันไม่มีคัมภีร์เล่มใด ตำราเล่มใด หรือครูบาอาจารย์ เรื่องห้องเรียนห้องไหนเขาสอนกัน นอกจากการที่เราต้องไปสำเหนียก พิสูจน์ทราบ และสร้างสำนึกต่อความรับผิดชอบในการมีชีวิตของเราว่า เราเกิดมาแล้ว เราต้องรับผิดชอบมัน บริหารมัน จัดการมัน พัฒนามัน แล้วก็ให้ประโยชน์ต่อมัน ได้ประโยชน์กับมัน และท้ายที่สุด อย่ายึดติดในมัน

ที่หลวงปู่เขียนบทโศลกสอนลูกหลานไว้ว่า

"ลูกรัก...ใช้สมมติ ให้เกียรติในสมมติ ยอมรับสมมติ ได้ประโยชน์จากสมมติ ให้ประโยชน์กับสมมติ และสุดท้ายอย่ายึดติดในสิ่งที่เป็นสมมติ เพราะเราก็เป็นเพียงแค่ธาตุทั้งสี่ เมื่อเป็นอย่างนั้น ความเมาทั้งหลาย ความตะกละทั้งหลาย ความตะกรามทั้งหลาย ความขาดตกบกพร่อง ความตกหลุมตกร่อง ความไม่ถูกต้องทั้งปวง มันจะลดน้อย ถดถอย และหดหายลงไป

กระบวนการทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ถ้าเราเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง เราจะรู้ซึ้งถึงการมีชีวิตว่า ชีวิตนี้ช่างเป็นทุกข์เดือดร้อน การบริหารกายนี้ช่างเป็นภาระอย่างยิ่ง การมีชีวิตอยู่ในกายนี้ช่างมีความทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง แล้วเราก็จะไม่มัวเมา ไม่หลงใหล ไม่งมงาย ไม่ตกเป็นทาสของสรรพสิ่ง สรรพสัตว์ หรือสรรพ-วัตถุ สรรพรูป สรรพรส สรรพเสียง สรรพกลิ่นใดๆ ทุกอย่างมันก็จะกลายเป็นความพอดี ความสมดุล

สิ่งที่พูดคุยให้ฟังนี้ มันเป็นการจัดการกับชีวิตที่ต้องมีประสิทธิภาพ และทำให้เกิดประสิทธิผล ชีวิตที่แท้จริงไม่ได้มาจากการขวนขวาย ไขว่คว้า ทะเยอทะยาน และต้องการตะกละแต่กับสิ่งนอกกาย ชีวิตที่แท้จริงมันก็คือการเรียนรู้ การศึกษา การสะสม การส่งเสริม และการสร้างสรรค์

หลวงปู่อยากบอกไว้ท้ายนี้ว่า เมื่อสิ่งต่างๆ เอื้ออาทรและเกื้อกูลกันดั่งนี้ เราเป็นผู้อาศัยสิ่งต่างๆ แต่กลับมาจ้องทำร้าย ทำลายล้างสิ่งต่างๆ ด้วยความคิดด้วยความเข้าใจ ด้วยวิถีคิด วิถีเข้าใจ แบบวิถีซาตาน คือเข้าข้างตัวเอง แล้วปฏิเสธคนอื่น เข้าข้างสิ่งที่ถูกแล้วปฏิเสธสิ่งที่ผิด

หลวงปู่เคยเขียนบทโศลกสอนลูกหลานไว้บทหนึ่งว่า

ลูกรัก... สำหรับคนฉลาด และมีปัญญา น้ำครำหนึ่งแก้ว ก็เอามากลั่นเป็นน้ำดีได้ตั้งหลายหยด

นั่นคือคนฉลาด คนมีปัญญา คนที่มีวิถีคิดอย่างนี้ คนที่มีวิถีชีวิตอย่างนี้ต่างหาก จึงควรจะเป็นคนที่เห็นวิถีนิพพาน วิถีนิพพาน คือความดับและเย็น คนดีก็ตาย คนชั่วก็ตาย ต่างคนต่างตาย และวิถีนิพพานมันเป็นเครื่องแสดงออก บอกให้เรารู้ว่า สัตว์โลกทั้งหลาย ไม่ว่าจะโง่ก็ตาม ฉลาดก็ตาม จะดีก็ตาม จะชั่วก็ตาม จะได้ก็ตาม จะเสียก็ตาม จะอยู่ก็ตาม จะตายก็ตาม ทุกอย่างเป็นไปตามกฎของกรรม กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้ ดี ชั่ว เลว หยาบ เขาเข้าใจถูกก็ตาม เข้าใจผิดก็ตาม มันเป็นอำนาจแห่งกรรม

วิถีของคนที่รู้เห็นพระนิพพาน เขาจะมองว่าสัตว์โลกเป็นไปตามกรรม เขาจะบอกว่าสัตว์โลกเป็นไปตามกระบวนการแห่งการกระทำ และพฤติกรรม ที่ตัวเองนำเสนอออกมา และก็จะมองสัตว์โลกด้วยความถ้อยทีถ้อยอาศัย ให้อภัย เห็นอกเห็นใจ ใครที่ทำผิดก็ให้อภัย เมตตา การุณย์ และช่วยเหลือเจือจุน ให้มีวิถีคิด วิถีชีวิต วิถีงาน วิถีจิต ที่เป็นวิถีของความแก้ไขได้ ก็คิดจะต้องช่วยกันทำ ช่วยกันแก้ไข เหล่านี้ต่างหากคือคนที่เห็นหนทางแห่งพระนิพพาน เหล่านี้ต่างหากคือวิถีของคนที่เห็นนิพพาน

หมายเหตุ*** บทความจากเวปไซต์ "วัดอ้อน้อย"