พ่อท่านคล้ายวาจาสิทธิ์

พ่อท่านคล้ายวาจาสิทธิ์

กษัตริย์ชาวพุทธตัวอย่าง - พระบรมธาตุแบบลังกา

กษัตริย์ชาวพุทธตัวอย่าง -  พระบรมธาตุแบบลังกา

เสด็จในกรมหลวงชุมพร เขตอุดมศักดิ์ ..คลิกตรงรูป อ่านพระประวัติโดยย่อ..

Saturday 6 July 2013

แหลมตะลุมพุก อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช


ผู้เขียนเป็นชาวหัวสวน หมู่ 7 ต.เกาะทวด อ.ปากพนัง
ผู้เขียนมีภาพอดีตในความจำ(ถ้าถามว่าวัน/เดือน/ปีอะไรผู้เขียนจำไม่ได้)เพียงแต่พอจดจำเหตุการณ์ได้เนื่องจากอายุยังเด็กมากๆ บ้านที่ผู้เขียนอาศัยอยู่เป็นบ้านของปู่-ย่า(ปู่มด-ย่าแดง พันธรังษี)ตั้งอยู่ริมน้ำ คลองหัวสวน เป็นบ้านหลังใหญ่แบบทรงไทยโบราณ ยกพื้นสูงหลังคามุงด้วยกระเบื้องปูนของจีนรูปข้าวหลามตัด มีโรงข้าว(ที่เก็บข้าวที่เกี่ยวมาใหม่)ริมติดต่อโรงข้าวมีคอกวัว-คอกควาย บ้านปู่-ย่าในคืนเกิดเหตุเมื่อตื่นขึ้นมาตอนดึกด้วยความตกใจ ทั้งหมด ปู่ ย่า ลุง อา นั้งกันอยู่ที่บริเวณคอกวัว- คอกควายที่ปู่ทำยื่นออกไปเป็นที่นอนเฝ้าวัว-ควายยามคำ่คืนใต้ต้นมะม่วง(คัน)ต้นใหญ่ ประมาณ 2 คนโอบ ด้านนอกมีเสียงลมแรงมาก มีเสียงร้องโหยหวลเมื่อลมประทะกับสิ่งกีดขวางและมีเสียงดังสนั่นทั้งเสียงหัก-พังของต้นไม้ และบ้านเรือน ทั้งบริเวณมีน้ำเจิงนอง และเสียงกระเบื้องที่โดนลมแรงตกลงไปในน้ำ เหมื่อนเราร่อนหินไประยะไกลตลอดเวลา เสียงดังไม่ขาดสาย
พอขึ้นวันใหม่ บ้านทั้งหลังเหลือแต่โครงหลังคา กระเบื้องหายไปเกื่อบหมดและสภาพบ้านบางส่วนเสียหาย นี้คือภาพความจำอดีตสำหรับเหตุการณ์วาตภัยแหลมตะลุมพุก
  • ภาพพายุโซนร้อน"แฮเรียต"ที่พัดถล่มแหลมตะลุมพุกเมื่อ 25 ตุลาคม 2505 (ภาพจากเวป)

  • "ภาพแปะฟ้า"ย้อนรอย"อดีตแหลมตะลุมพุก" เพื่อเป็นการสดุดีถึงบุคคลบ้านเราคนหนึ่ง ที่เป็นนักเขียน/นักกวี/นักประวัติศาสตร์/นักกลอน/นักแต่งเพลง/"นักถ่ายภาพ"และอื่นๆ ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญบุคคลหนึ่งของ"เมื่องคอน" จากหลักฐานการตีพิมพ์ลงในหนังสือ"สารานุกรมบุคคลสำคัญภาคใต้"จึงขอสดุดีและนำผลงานของท่านที่ได้บรรยายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นผ่านมาครบรอบ 48 ปี ในวันที่" 25 ตุลาคม 2553 "ย้อนรอยอดีต"โดยบทประพันธ์ของครูตรึก พฤกษะศรี ซึ่งคุณครูได้อยู่ในเหตุการณ์ และพบเห็นผู้ประสพภัยด้วยตัวเอง ในวันพายุโซนร้อน"แฮเรียต" พัดถล่ม "แหลมตะลุมพุก" ในช่วงค่ำวันที่ 25 ตุลาคม 2505 ซึ่งข้อมูลทั้งหมด "ย้อนรอย"โดย "คุณสถาพร พฤกษะศรี"ซึ่งเป็นสายเลือดของท่าน และบทประพันธ์เล่าถึงเหตุการณ์มหาวาตภัยที่เกิดขึ้นนี้ ได้จัดพิมพ์มาครั้งหนึ่งแล้ว เมื่อต้นปี 2506 ในบทประพันธ์ที่มีชื่อว่า "แหลมตลุมพุกพิลาป" เพื่อหารายได้จัดซื้่อเครื่องดนตรีเพิ่มเติมให้แก่วงดนตรีสากลโรงเรียนปากพนังโดยแบ่งเป็น 4 ตอน ตามลำดับ
ภาพถ่ายทางอากาศหมู่บ้านแหลมตะลุมพุกปัจจุบัน
ลูกเสือเดินทางไกลไปพักแรมที่แหลมตะลุมพุกก่อนเกิดพายุ


พักแรมแล้วรุ่งเช้าเดินทางกลับ
เมื่อเสร็จสรรพทุกคนก็รีบกลับโรงเรียน
ต้นไม้ใหญ่ยังโค่นล้มเมื่อโดนลมพายุ
สภาพที่เห็นเป็นหลักฐานเมื่อพายุพัดผ่านไป
อยากเห็นถึงที่ก็ต้องมีความลำบาก
ท่านผูกชมสนใจตามไปดูถึงที่
ยากเข็นเช่นไรขอไปให้ถึง
อาคารเรียนก่อนวาตภัยมาถึง ก่อสร้างเมื่อ กันยายน พ.ศ.2496
เมื่อพายุผ่านไปอาคารเรืยนสองชั้นเหลือเพียงชั้นเดียว ถ่ายภาพโดยคุณครูวิไล พฤกษะศรี เมื่อตอนเช้าวันที่ 26 ต.ค. 2505

นักเรียนที่เคราะห์ร้ายกำลังช่วยกันขนโต๊ะ ม้านั้ง ไปอาศัยเรียนในวิหารวัดต่อไป
  • โรงเรียนประจำอำเภอปากพนังก็เจอเข้าเหมื่อนกัน

  • ย้อนรอยภาพอดีตรำลึกวาตภัยแหลมตะลุมพุกผ่านมาแล้ว 48 ปี
  • ตอนที่ 1
  • เริ่มเกิดพายุโซนร้อน "แฮเรียต" พัดผ่านเข้ามาทางแหลมตะลุมพุก ในตอนค่ำของวันที่ 25 ตุลาคม 2505 ทำให้บ้านเรื่อนที่อยู่อาศัยของชาวตำบลบ้านแหลมตะลุมพุก หายไปในทะเลเกื่อบหมด ดังภาพที่ปรากฏ ผู้คนที่รอดตาย ไปติดอยู่บนต้นไม้บ้าง ขึ้นไปอยู่บนหลังคาบ้าง ส่วนที่ทนกับแรงน้ำ แรงลมไม่ไหวก็เสียชีวิต หายไปในทะเลบ้าง บ้านพักทับบ้าง ส่วนที่รอดตายบางคนเหลือแต่ร่างกาย เสื้อผ้าหายไปหมด บางคนก็สติฟั่นเฟือน รุ่งเช้าผู้คนที่รอดตาย ก็พยายามช่วยเหลือกัน บ้างก็ร่ำร้อง ผู้ประคองตัวเองได้ ก็ตามหาญาติ อาหารก็ไม่มีกิน ต้องหามะพร้าวอ่อนกินประทังชีวิตไว้ก่อน ผู้ที่แข็งแรงพอจะเดินได้ ก็พยายามเดินมุ่งหน้าเข้ามาในอำเภอปากพนัง เพื่อแจ้งให้ทางการได้ทราบถึง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชม. เมื่อทางอำเภอได้รับทราบก็ร่วมมือกับพ่อค้า ประชาชนช่วยเหลือถึงแม้นในตัวอำเภอเสียหายเหมื่อนกันแต่ยังน้อยกว่า

ผู้เขียนเป็นชาวหัวสวน หมู่ 7 ต.เกาะทวด อ.ปากพนัง
ผู้เขียนมีภาพอดีตในความจำ(ถ้าถามว่าวัน/เดือน/ปีอะไรผู้เขียนจำไม่ได้)เพียงแต่พอจดจำเหตุการณ์ได้เนื่องจากอายุยังเด็กมากๆ บ้านที่ผู้เขียนอาศัยอยู่เป็นบ้านของปู่-ย่า(ปู่มด-ย่าแดง พันธรังษี)ตั้งอยู่ริมน้ำ คลองหัวสวน เป็นบ้านหลังใหญ่แบบทรงไทยโบราณ ยกพื้นสูงหลังคามุงด้วยกระเบื้องปูนของจีนรูปข้าวหลามตัด มีโรงข้าว(ที่เก็บข้าวที่เกี่ยวมาใหม่)ริมติดต่อโรงข้าวมีคอกวัว-คอกควาย บ้านปู่-ย่าในคืนเกิดเหตุเมื่อตื่นขึ้นมาตอนดึกด้วยความตกใจ ทั้งหมด ปู่ ย่า ลุง อา นั้งกันอยู่ที่บริเวณคอกวัว- คอกควายที่ปู่ทำยื่นออกไปเป็นที่นอนเฝ้าวัว-ควายยามคำ่คืนใต้ต้นมะม่วง(คัน)ต้นใหญ่ ประมาณ 2 คนโอบ ด้านนอกมีเสียงลมแรงมาก มีเสียงร้องโหยหวลเมื่อลมประทะกับสิ่งกีดขวางและมีเสียงดังสนั่นทั้งเสียงหัก-พังของต้นไม้ และบ้านเรือน ทั้งบริเวณมีน้ำเจิงนอง และเสียงกระเบื้องที่โดนลมแรงตกลงไปในน้ำ เหมื่อนเราร่อนหินไประยะไกลตลอดเวลา เสียงดังไม่ขาดสาย
พอขึ้นวันใหม่ บ้านทั้งหลังเหลือแต่โครงหลังคา กระเบื้องหายไปเกื่อบหมดและสภาพบ้านบางส่วนเสียหาย นี้คือภาพความจำอดีตสำหรับเหตุการณ์วาตภัยแหลมตะลุมพุก
  • ภาพพายุโซนร้อน"แฮเรียต"ที่พัดถล่มแหลมตะลุมพุกเมื่อ 25 ตุลาคม 2505 (ภาพจากเวป)

  • "ภาพแปะฟ้า"ย้อนรอย"อดีตแหลมตะลุมพุก" เพื่อเป็นการสดุดีถึงบุคคลบ้านเราคนหนึ่ง ที่เป็นนักเขียน/นักกวี/นักประวัติศาสตร์/นักกลอน/นักแต่งเพลง/"นักถ่ายภาพ"และอื่นๆ ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญบุคคลหนึ่งของ"เมื่องคอน" จากหลักฐานการตีพิมพ์ลงในหนังสือ"สารานุกรมบุคคลสำคัญภาคใต้"จึงขอสดุดีและนำผลงานของท่านที่ได้บรรยายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นผ่านมาครบรอบ 48 ปี ในวันที่" 25 ตุลาคม 2553 "ย้อนรอยอดีต"โดยบทประพันธ์ของครูตรึก พฤกษะศรี ซึ่งคุณครูได้อยู่ในเหตุการณ์ และพบเห็นผู้ประสพภัยด้วยตัวเอง ในวันพายุโซนร้อน"แฮเรียต" พัดถล่ม "แหลมตะลุมพุก" ในช่วงค่ำวันที่ 25 ตุลาคม 2505 ซึ่งข้อมูลทั้งหมด "ย้อนรอย"โดย "คุณสถาพร พฤกษะศรี"ซึ่งเป็นสายเลือดของท่าน และบทประพันธ์เล่าถึงเหตุการณ์มหาวาตภัยที่เกิดขึ้นนี้ ได้จัดพิมพ์มาครั้งหนึ่งแล้ว เมื่อต้นปี 2506 ในบทประพันธ์ที่มีชื่อว่า "แหลมตลุมพุกพิลาป" เพื่อหารายได้จัดซื้่อเครื่องดนตรีเพิ่มเติมให้แก่วงดนตรีสากลโรงเรียนปากพนังโดยแบ่งเป็น 4 ตอน ตามลำดับ
ภาพถ่ายทางอากาศหมู่บ้านแหลมตะลุมพุกปัจจุบัน
ลูกเสือเดินทางไกลไปพักแรมที่แหลมตะลุมพุกก่อนเกิดพายุ


พักแรมแล้วรุ่งเช้าเดินทางกลับ
เมื่อเสร็จสรรพทุกคนก็รีบกลับโรงเรียน
ต้นไม้ใหญ่ยังโค่นล้มเมื่อโดนลมพายุ
สภาพที่เห็นเป็นหลักฐานเมื่อพายุพัดผ่านไป
อยากเห็นถึงที่ก็ต้องมีความลำบาก
ท่านผูกชมสนใจตามไปดูถึงที่
ยากเข็นเช่นไรขอไปให้ถึง
อาคารเรียนก่อนวาตภัยมาถึง ก่อสร้างเมื่อ กันยายน พ.ศ.2496
เมื่อพายุผ่านไปอาคารเรืยนสองชั้นเหลือเพียงชั้นเดียว ถ่ายภาพโดยคุณครูวิไล พฤกษะศรี เมื่อตอนเช้าวันที่ 26 ต.ค. 2505

นักเรียนที่เคราะห์ร้ายกำลังช่วยกันขนโต๊ะ ม้านั้ง ไปอาศัยเรียนในวิหารวัดต่อไป
  • โรงเรียนประจำอำเภอปากพนังก็เจอเข้าเหมื่อนกัน

  • ย้อนรอยภาพอดีตรำลึกวาตภัยแหลมตะลุมพุกผ่านมาแล้ว 48 ปี
  • ตอนที่ 1
  • เริ่มเกิดพายุโซนร้อน "แฮเรียต" พัดผ่านเข้ามาทางแหลมตะลุมพุก ในตอนค่ำของวันที่ 25 ตุลาคม 2505 ทำให้บ้านเรื่อนที่อยู่อาศัยของชาวตำบลบ้านแหลมตะลุมพุก หายไปในทะเลเกื่อบหมด ดังภาพที่ปรากฏ ผู้คนที่รอดตาย ไปติดอยู่บนต้นไม้บ้าง ขึ้นไปอยู่บนหลังคาบ้าง ส่วนที่ทนกับแรงน้ำ แรงลมไม่ไหวก็เสียชีวิต หายไปในทะเลบ้าง บ้านพักทับบ้าง ส่วนที่รอดตายบางคนเหลือแต่ร่างกาย เสื้อผ้าหายไปหมด บางคนก็สติฟั่นเฟือน รุ่งเช้าผู้คนที่รอดตาย ก็พยายามช่วยเหลือกัน บ้างก็ร่ำร้อง ผู้ประคองตัวเองได้ ก็ตามหาญาติ อาหารก็ไม่มีกิน ต้องหามะพร้าวอ่อนกินประทังชีวิตไว้ก่อน ผู้ที่แข็งแรงพอจะเดินได้ ก็พยายามเดินมุ่งหน้าเข้ามาในอำเภอปากพนัง เพื่อแจ้งให้ทางการได้ทราบถึง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชม. เมื่อทางอำเภอได้รับทราบก็ร่วมมือกับพ่อค้า ประชาชนช่วยเหลือถึงแม้นในตัวอำเภอเสียหายเหมื่อนกันแต่ยังน้อยกว่า

ศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช

ย้อนรอย..การสร้างศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช สู่ศรัทธาองค์พ่อจตุคามรามเทพ


หลักเมื่องนครศรีธรรมราชที่สร้างขึ้น และประดิษฐานในศาลโดดเด่นเป็นสง่า ณ บริเวณสนามหน้าเมืองนครศรีธรรมราช มีรูปลักษณ์และองค์ประกอบที่ช่างผู้สลักบรรจงแกะขึ้น ตั้งแต่ฐานถึงยอดหลักเมืองมีลาดลายเก้าแบบ ทุกแบบแกะสลักขึ้นด้วยคติธรรมความเชื่อในเรื่องกฏวัฏจักรและโลกธรรมเป็นหลัก.
ท่านพลตำรวจตรีขุนพันธ์รักษ์ราชเดช กล่าวว่า วัตถุมงคลที่ระลึกศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช คือ วัตถุมงคลที่เป็นสุดยอดของความเข้มขลัง มีความศักดิ์สิทธิที่ไม่เคยสร้างสิ่งใด ๆ ได้เหนือไปกว่านี้แล้ว เป็นการประกอบพิธีทางไสยศาสตร์ที่สมบูรณ์แบบได้ประจาตุกายสิทธิ์ทุกชนิดที่ท่านมีอยู่ เช่น เหล็กไหล เหล็กหลบ เหล็กย้อย ธาตุอรหันต์ คนธรรม์ เขี้ยวแก้ว คตต่าง ๆ ที่เป็นธาตุกายสิทธิ์ สะสมไว้ตั้งแต่สมัยหนุ่มรวบรวมนำลงไปผสมในวัตถุมงคลรุ่นนี้จนหมดสิ้น วิชาความรู้ต่างๆ ที่ร่ำเรียนมาในโอกาสดำเนินการครั้งนี้ ทำตามความรู้ที่ได้รับถ่ายทอดจากครูบาอาจารย์ทุกอย่าง ขอรับรองว่าคงหาวัตถุมงคลใดเทียบเทียมได้ยาก ใครมีโอกาสได้รับก็ขอให้เก็บไว้ และ ถ่ายทอดให้แก่ลูกหลานคุ้มครองวงศ์ตระกูลให้เจริญรุ่งเรืองต่อไปเถิด "



ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพระบรมธาตุ
หลักฐานทางเอกสาร
๑. ตำนาน ได้แก่ ตำนานเมืองนครศรีธรรมราช ตำนานพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช และพระนิพพานโสตร (ตำนานพระบรมธาตุฉบับกลอนสวด) ให้ข้อมูลที่แตกต่างกันเกี่ยวกับปีที่สร้างพระบรมธาตุ ดังต่อไปนี้
๑.๑ พระนิพพานโสตร เป็นตำนานพระบรมธาตุสำนวนร้อยกรอง (กลอนสวด) แต่งขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ ๒๔-๒๕ หรือประมาณรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระนิพพานโสตรมีหลายสำนวน ต้นฉบับเป็นหนังสือบุด (สมุดข่อย) แต่งเพื่อใช้สวดอ่าน ลักษณะคำประพันธ์มี ๓ ประเภท คือ กาพย์ยานี ๑๑ กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ และกาพย์ฉบัง ๑๖ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา เนื้อหาของเรื่องกล่าวถึงเหตุการณ์สำคัญ ๖ ประการ คือ การถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ พระเจ้าอชาตศัตรูกับพระบรมสารีริกธาตุ พระเจ้าธรรมโศกราชกับพระบรมสารีริกธาตุ การอัญเชิญพระธาตุไปลังกา การประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ณ หาดทรายแก้ว และการสร้างบ้านแปลงเมืองของนครศรีธรรมราช (พระนิพพานโสตรฉบับศูนย์วัฒนธรรมภาคใต้ สำนวนที่ ๑ ๒๕๒๘: ๑)
ศักราชที่กล่าวถึงการสร้างพระบรมธาตุในพระนิพพานโสตร สำนวนที่ ๓ กล่าวว่า
"...ฝ่ายพระเจ้าลังกา เมื่อถึงเวลาแห่งพุทธทำนายว่าในศักราช ๗๐๐ เจ้าพระยาโศกราชจะสร้างพระบรมธาตุเจดีย์ ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ที่หาดทรายแก้ว จึงได้รับสั่งให้แต่งสำเภาบรรทุกเงินทอง เสื้อผ้ามากมาย เพื่อช่วยสร้างพระบรมธาตุเจดีย์..." (พระนิพพานโสตร ฉบับศูนย์วัฒนธรรมภาคใต้ สำนวนที่ ๓ ๒๕๒๘: ๑๓, ๑๘)
พระนิพพานโสตรเป็นเอกสารที่แต่งขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อค้ำจุนและเผยแผ่ศาสนาเป็นหลัก มิได้ตั้งใจจะบันทึกเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ เค้าโครงเรื่องในตอนต้น เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอินเดีย และลังกา ส่วนในตอนท้ายเป็นการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ทางศาสนา ระหว่างลังกากับนครศรีธรรมราช ดังนั้น ศักราชที่ปรากฎควรใส่เครื่องหมายคำถาม (?) ไว้ด้วย



ปัจจุบัน หลักเมืองนครศรีธรรมราช สร้างเสร็จสมบูรณ์ครบถ้วนทุกขั้นตอน ตามพิธีกรรมโบราณของชาวศรีวิชัย ประดิษฐานภายในศาลหลักเมืองอันสวยงามโดดเด่นและวิจิตรบรรจง ณ บริเวณทิศเหนือของสนามหน้าเมืองนครศรีธรรมราช พรั่งพร้อมด้วยศาลบริวารประจำทิศทั้ง ๔ เรียกว่า ศาลจตุโลกเทพ ทำหน้าที่พิทักษ์รักษานครศรีธรรมราช ให้แคล้วคลาดปลอดภัย จากอาถรรพณ์เสนียดจัญไร ประสบพบแต่ความสงบร่มเย็น เจริญรุ่งเรือง สืบไปในกาลเบื้องหน้า
เป็นที่เคารพกราบไว้บูชา บนบาลศาลกล่าว ของชาวเมืองนครฯ และผู้สัญจรผ่านไปมา เพื่อขอพึ่งบารมีมหิทธานุภาพความศักดิ์สิทธิ์แห่งองค์เทพเทวาผู้รักษาเมืองนคร เสมือนศูนย์รวมจิตใจของชาวพาราคู่กันมากับองค์พระบรมธาตุเจดีย์



จตุคามรามเทพ หมายถึงเทพรักษาพระบรมธาตุจังหวัดนครศรีธรรมราชสององค์ คือ ท้าวขัดตุคาม และ ท้าวรามเทพ ซึ่งเดิมในความเชื่อของศาสนาพราหมณ์เป็นเทพชั้นสูง และมีอยู่ทั่วไปทุกภาคของประเทศไทย แต่เมื่อภูมิภาคแถบอุษาคเนย์นี้รับอิทธิพลของพุทธศาสนาเข้ามา ท้าวขัดตุคาม และ ท้าวรามเทพ จึงถูกเปลี่ยนสถานะเป็นเทวดารักษาพระบรมธาตุและเปลี่ยนชื่อให้เป็นมงคลเป็น ท้าวจตุคาม และสถิตอยู่บนที่บานประตูทางขึ้นพระบรมธาตุ ในปี พ.ศ. 2530 เมื่อมีการตั้งดวงเมืองนครศรีธรรมราชขึ้นใหม่ จึงมีการอัญเชิญจตุคามรามเทพไปสถิต ณ ที่นั้นเป็นต้นมา



แม้กาลต่อมาจะล่มสลายไปตามกาลเวลาและยุคสมัยเปลี่ยนไป ธ ยังสถิตอยู่ ณ รูปจำหลักที่บานประตูไม้ทั้งสอง ทางขึ้นลานประทักษิณรอบองค์พระบรมธาตุเจดีย์ นครศรีธรรมราชนั่นเอง ส่วนบริวารทั้ง ๔ เป็นเทวดารักษาเมืองประจำทิศของเมืองเช่นกัน



ส่วนเทวดารักษาเมืองโดยรอบศาลหลักเมืองนั้น อธิบายไว้เป็น สามแนวหรือ สามระดับ คือ
แนวแรก (ระดับล่าง) เป็นเทวดารักษาทิศ
เทวดารักษาทิศเหนือชื่อ ท้าวกุเวร
เทวดารักษาทิศตะวันออก ชื่อ ท้าวธตรฐ
เทวดารักษา ทิศใต้ ชื่อ ท้าววิรุฬหก
เทวดารักษาทิศ ตะวันตก ชื่อ ท้าววิรุฬปักษ์
แนวที่สอง (ระดับกลาง) เป็นจตุโลกเทพ
พระเสื้อเมือง
พระทรงเมือง
พระพรหมเมือง
พระบันดาลเมือง



แนวที่สาม (ระดับสูง ) เป็นไปตามคติพระพุทธเจ้าห้าพระองค์ในจักรวาลของพุทธศาสนามหายาน
พระธยานิพุทธไวโรจนะพุทธเจ้าอยู่ตรงกลาง
พระธยานิพุทธอักโษภยะพุทธเจ้าอยู่ด้าน ตะวันออก
พระธยานิพุทธอมิตาภะพุทธเจ้าอยู่ด้านตะวันตก
พระธยานิพุทธรัตนสมภวพุทธเจ้าอยู่ด้านทิศใต้
พระธยานิพุทธอโมฆสิทธิพุทธเจ้าอยู่ด้านเหนือ
หลักเมืองอันงดงามที่ปรากฏอยู่ในทุกวันนี้ องค์จตุคามรามเทพ และบริวารนี่เองที่ได้แสดงความอัศจรรย์ให้ปรากฏด้วยการประทับทรง หรือ ผ่านร่าง มาบอกกล่าวให้สร้างหลักเมือง แก้อาถรรพณ์ สร้างความรุ่งเรือง สงบร่มเย็น คืนสู่นครศรีธรรมราชอีกวาระหนึ่ง
ในการสร้างหลักเมืองนครศรีธรรมราชนั้น ทราบกันดีว่าประกอบด้วยพิธีกรรมสำคัญๆ หลายครั้งหลายวาระ ซึ่งในพิธีกรรมแต่ละครั้ง คณะกรรมการผู้ดำเนินการสร้างหลักเมือง ได้จัดสร้างวัตถุมงคลขึ้นมาเป็นที่ระลึก แจกจ่ายสมณาคุณแก่ผู้ร่วมบริจาคทรัพย์ สมทบทุนในการสร้างหลักเมือง



ศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช อันเป็นที่ประดิษฐานหลักเมืองของจังหวัดนครศรีธรรมราช สร้างขึ้นตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสร้างสิ่งที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ ประกอบด้วยคณะ กรรมการหลายฝ่าย ทั้งภาครัฐ พ่อค้า ประชาชน ในที่ดินของราชพัสดุ บริเวณทิศเหนือของสนามหน้าเมือง มีเนื้อที่ประมาณ ๒ไร่
อาคารหลัก ประกอบไปด้วยอาคาร ๕ หลัง หลังกลางเป็นที่ประดิษฐานหลักเมือง ลักษณะของการออกแบบมีศิลปะคล้ายศิลปะศรีวิชัย วางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ ๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๒ ส่วนอาคารเล็ก ๔ หลัง ถือเป็นบริวารประจำทิศทั้ง ๔ เรียกว่า ศาลจตุโลกเทพ ประกอบด้วย พระเสื้อเมือง , พระทรงเมือง , พระพรหมเมือง , และ พระบันดาลเมือง วางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ ๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ เสร็จสมบูรณ์ในปี พ.ศ. ๒๕๔๒ ผู้ออกแบบอาคารศาลหลักเมืองคือ ยุทธนา โมรากุล



พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯให้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯ มาทรงเปิดอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๓
การก่อสร้างศาลหลักเมืองของนครศรีธรรมราช ใช้เวลาดำเนินการตั้งแต่เริ่มต้นจนเสร็จสมบูรณ์เป็นเวลาสิบกว่าปี เหตุที่ล่าช้าเนื่องมาจาก การดำเนินการแต่ละขั้นตอน ประกอบด้วยพิธีกรรมสำคัญ ๆ หลายครั้งต่างวาระอย่างต่อเนื่อง บางพิธีกรรมจำเป็นต้องใช้ระยะเวลา
ย้อนกลับไปเมื่อช่วงประมาณปีพุทธศักราช ๒๕๒๘ พื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้เกิดปัญหาอาชญากรรม อิทธิพลอำนาจมืด และนับวันจะเพิ่มทวีความรุนแรงขึ้น รัฐบาลภายใต้การนำของ ฯพณฯ พลเอกปราม ติณสูลานนท์ นายรัฐมนตรีและ พล.อ.สิทธิ์ จิระโรจน์ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เร่งรัดให้กรมตำรวจ คัดเลือกนายตำรวจฝีมือดีไปแก้ไขปัญหาโดยด่วน
พล.ต.อ. สรรเพชญ ธรรมาธิกุล (ยศขณะนั้น) คือนายตำรวจที่ได้รับการคัดเลือกในครั้งนั้นให้ไปดำรงตำแหน่งผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อปราบปรามโจรผู้ร้าย และเหล่ากลุ่มอิทธิพลอำนาจมืดทั้งหลาย



วันหนึ่ง ณ วัดนางพระยา บ้านปากนคร เทวดารักษาเมือง (องค์จตุคามรามเทพ) ได้สร้างความอัศจรรย์ด้วยการประทับทรงบอกกล่าว ต้องการให้ช่วยสร้างหลักเมือง ทำจากไม้ตะเคียนทองงอกอยู่ทางทิศเหนือของเมืองนครศรีธรรมราช
องค์จตุคามรามเทพ บอกและอธิบายอีกว่า..ในตอนนี้เราต้องทำพิธีกรรมก่อน มีหลายพิธีที่ต้องใช้เวลา เช่น พิธีกรรมเทพชุมนุมตัดชัย ทำในวิหารหลวง ให้ปักธงศรีวิชัยขึ้นห่มพระธาตุ เป็นนัยว่าเราเปิดธงรบกับพวกเหล่าร้าย เช่น พวกโจร หรืออาถรรพ์จัญไรต่าง ๆที่รบกวนเมืองนครฯ..



และคณะดำเนินการสร้างศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช ตั้งแต่ปีพ.ศ. ๒๕๒๘ เป็นต้นมา ได้มีการประกอบพิธีกรรมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งส่วนใหญ่ดำเนินไปตามคำบอกกล่าวของเทวดารักษาเมืองหรือองค์จตุคามรามเทพทุกขั้นตอนเป็นลำดับ



สุริยคติกาล : วันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2539
จันทรคติกาล : วันพฤหัสบดี ขึ้น 25 ค่ำ เดือน 6 ปีชวด จ.ศ. 1358
สมภพกาล : เวลา 14.29 นาฬิกา
ลัคนากำเนิด : สถิตราศีสิงห์ 24 องศาโดยประมาณ เกาะนวางค์อังคาร ตรียางอังคาร ตรงกลุ่มชื่อ ปุรผลคุนี อันเป็น มหัธโนแห่งกฤษ์



หลักการและเหตุผล
ทฤษฎีในวิชาจตุโลกธาตุเชื่อว่า ดวงอาทิตย์ เป็นขุมคลังแห่งพลังความร้อน แสง และแรงดึงดูดมหาศาล ยึดเหนี่ยวดาวเคราะห์ทั้งหลายให้โคจรหมุนเวียนรอบตนเองเพื่อรับแสงและพลังความร้อนสะท้องรังสีไปมาถึงกันดุจดังครอบครัว และสังคมของดวงดาวในระบบสุริยะจักรวาล โหราจารย์ซึ่งเรียนรู้ถึงความสัมพันธ์อันยิ่งใหญ่ดังกล่าวนี้อย่างลึกซึ้ง จึงผูกเรื่องราวเป็นนิทานชาติเวรแห่งดาวเคราะห์ว่า มีสภาพความเป็นไปคล้ายกับชีวิตของคนเรา ทั้งยังมีอิทธิพลให้คุณและให้โทษต่อมนุษย์ สัตว์ พืช ตลอดจนสรรพสิ่งในโลกด้วย เช่นกล่าวไว้ตอนหนึ่ง
เมื่อมิตรก็ชื่นชอบ บ่มีโทษแถงทัณฑ์
ปางเป็นศัตรูสรร พบาปะอุบัติเป็น



แม้ว่าในวิชาดาราศาสตร์กล่าวถึงดวงอาทิตย์ว่าเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์ ตัวการก่อให้เกิดคลื่นพลังทั้งมวลก็ตาม แต่วิชาโหราศาสตร์ก็เชื่อว่า โลกของเราเป็นดาวเคราะห์เพียงดวงเดียวในระบบสุริยะจักรวาลซึ่งเป็นแหล่งรวมของกระแสธาตุสำคัญ อันได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ในขณะที่ดาวเคราะห์อื่น ๆ
มีอยู่ไม่ครบถ้วน
ความสัมพันธ์ระหว่างโลกกับจักรวาลได้ก่อให้เกิด มวลชีวิต วัตถุ ปรากฏการณ์ของธรรมชาติดังที่รู้เห็นกันอยู่ ความเป็นมาพัฒนาการของมนุษยชาติตั้งแต่สมัยอดีตจนถึงปัจจุบัน ยังคงเป็นความลับที่ยังไม่สารารถอธิบายตามหลักวิชาการได้แน่ชัด



ด้วยเหตุ พิธีพุทธไภรพ หรือที่หนังสือประวัติศาสตร์อินโดนิเชีย เรียกว่า “ ปาลาปา ” อันเป็นพิธีกรรมโบราณของราชสำนักศรีวิชัยนั้น โดยแท้จริงแล้วก็คือ การนำความรอบรู้ในวิชาโหราศาสตร์ระบบจันทรคติ ซึ่งหยั่งรู้ถึงความหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงของวัฏจักร มีรากฐานสำคัญมาจากความสัมพันธ์อันยิ่งใหญ่ระหว่าง ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ โลก ดาวเคราะห์ และมนุษย์ นำมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์เร้นลับซึ่งมีอยู่เฉพาะในโลก เรียกว่า วิญญาณธาตุ หรือ ดาวพระเกตุ สามารถกดดันบันดาลให้เกิดความมหัศจรรย์ได้นานาประการ



ศาสนาพุทธนิกายมหายานเชื่อว่า จิตตานุภาพของมนุษย์ทรงพลังยิ่งใหญ่เหนือสิ่งทั้งปวงมีภูมิปัญญาสามารถในการสร้างสรรค์โลกให้เกิดความสมบูรณ์พูนสุข ขจัดความทุกข์ยากเดือดร้อนได้ หากบุคคลนั้นบำเพ็ญบารมีธรรมจนบรรลุความเป็น พระโพธิสัตว์ ย่อมปรุงแต่งแปลงสภาพสรรพสิ่งเหมือนดังปรากฏการณ์ธรรมชาติ คติธรรมการสร้างรูป พระศิวะ พระวิษณุ พระพรหม ในศาสนาพราหมณ์ก็ดี รูปพระโพธิสัตว์ พระพุทธรูป ในศาสนาพุทธก็ดี ล้วนกระทำขึ้นตามวัน เวลาที่ถือว่าเป็นมงคลสูงสุด ตามหลักวิชาโหราศาสตร์ทั้งสิ้น โดยมุ่งหมายสืบสร้างวาสาบารมี ประคับประคองค้ำจุนดวงชะตาให้เกิดความมั่นคงมั่งคั่ง สมัยโบราณพระมหากษัตริย์ เสนาบดีชั้นสูง ผู้มีอำนาจวาสนาเท่านั้น ที่มีโอกาสได้ประกอบพิธีกรรมดังกล่าว คนธรรมดาทั่วไปอาจทำได้เพียงทำบุญให้ทาน ค้ำต้นโพธิ์ต้นไทร สะเดาะเคราะห์ด้วยวิธีอย่างอื่น



การเพิ่มพลังแสดงอาทิตย์ คลื่นพลังแสงจันทร์ให้แก่ดวงชะตาที่เรียกว่า พิธีพุทธไภรพ นั้นจำเป็นต้องผ่านการรองรับของรูปธรรมจำลองที่คงทนถาวร เช่นโลหธาตุ หรือ ศิลา โดยสร้างขึ้นตามศิลปกรรมแห่งยุค เพื่อให้เป็นสถานที่ซึมซับคลื่นพลังแสง กระแสธาตุของดวงดาว อานุภาพของจิตอธิฐาน วิชาการเก่าแก่นี้เชื่อว่า ตราบใดที่ดวงเคราะห์ในท้องฟ้ายังสะท้อนแสงไปมา พระราหูยังลักลอบขโมยธาตุจากชั้นฟ้าลงมาป้อนให้แก่โลก สื่อสัญญาณซึ่งประดิษฐ์ขึ้นอย่างถูกต้องตามพิธีกรรมในทางจิตศาสตร์ ย่อมแผ่รังสีสะท้องกันไปมาระหว่าง ดวงชะตาของบุคคล กับรูปจำลอง อยู่ตราบนั้น



วันพฤหัสบดี ขึ้น 2 ค่ำเดือน 6 ปี ชวด อันประกอบด้วยมหัธโนแห่งฤกษ์ในราศีสิงห์ นั้นกำหนดให้ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ฉายแสงเจิดจ้าตรงจุดศูนย์สูตร เพื่อขับคลื่นพลังแสงและกระแสธาตุแผ่กระจายไปรอบทิศทาง ควบคุมเหล่าดาวบาปเคราะห์ร้ายมิให้ก่ออันตรายจนเกินไป ตามกฎแห่งความสมดุลย์เพื่อการแผ่ขยายอำนาจไปสู่ความยิ่งใหญ่ ฤกษ์พานาทีเช่นนี้กล่าวกันว่า ถ้าปราศจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยินยอมพร้อมใจแล้ว เท่ากับเป็นการอวดดุตริมนุษย์ธรรมที่ล่อแหลมใกล้เขตฉิมทฤกษ์ ซึ่งเสี่ยงต่อความวิบัติล่มจมแต่ในภาวะที่ต้องแข่งขันช่วงชิงให้ได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาด เมื่อดาวเคราะห์ในระบบสุริยคติเปิดช่อง ดวงชะตาบ้านเมืองกำลังตกต่ำ ดวงดาวจะโคจรวิปริต การประกอบพิธีสร้างรูปพระโพธิสัตว์นาคปรกขึ้น ท่ามกลางมหาสมุทรอันไพศาล จึงอุปมาดังการสร้างหลักชัยของชีวิตขึ้นใหม่อย่างเป็นรูปธรรม



หลักเมืองนครศรีธรรมราช ได้พิสูจน์ให้เห็นหลายครั้งหลายหนถึงการับรู้ของฟ้าดินหากการประกอบพิธีกรรมนั้นถูกต้องเป็นต้นว่า พระอาทิตย์ทรงกลด พระจันทร์ทรงจักร ฝนตก ฟ้าสลัว



ท่านพลตำรวจตรีขุนพันธ์รักษ์ราชเดช กล่าวว่า วัตถุมงคลที่ระลึกศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช คือ วัตถุมงคลที่เป็นสุดยอดของความเข้มขลัง มีความศักดิ์สิทธิที่ไม่เคยสร้างสิ่งใด ๆ ได้เหนือไปกว่านี้แล้ว เป็นการประกอบพิธีทางไสยศาสตร์ที่สมบูรณ์แบบได้ประจาตุกายสิทธิ์ทุกชนิดที่ท่านมีอยู่ เช่น เหล็กไหล เหล็กหลบ เหล็กย้อย ธาตุอรหันต์ คนธรรม์ เขี้ยวแก้ว คตต่าง ๆ ที่เป็นธาตุกายสิทธิ์ สะสมไว้ตั้งแต่สมัยหนุ่มรวบรวมนำลงไปผสมในวัตถุมงคลรุ่นนี้จนหมดสิ้น วิชาความรู้ต่างๆ ที่ร่ำเรียนมาในโอกาสดำเนินการครั้งนี้ ทำตามความรู้ที่ได้รับถ่ายทอดจากครูบาอาจารย์ทุกอย่าง ขอรับรองว่าคงหาวัตถุมงคลใดเทียบเทียมได้ยาก ใครมีโอกาสได้รับก็ขอให้เก็บไว้ และ ถ่ายทอดให้แก่ลูกหลานคุ้มครองวงศ์ตระกูลให้เจริญรุ่งเรืองต่อไปเถิด "



รูปแบบ ประดิษฐ์เป็นรูปวงกลมวัฏจักรตามอุดมคติศิลปะศาสตร์ศรีวิชัย ทำรูปพญาราหูอมจันทร์รายล้อมทั้ง 8 ทิศ กงจักรล้อมดวงตรา 12 นักษัตร ตรงกลางปติมากรรมพระเทวะโพธิสัตว์แห่งทะเลใต้เป็นองค์ประธาน ด้านหลังสลักยันต์หัวใจธรณี หัวใจมนุษย์ หัวใจพระคาถากำกับธาตุตามคติธรรมชาวศรีวิชัย พระเนื้อผงสริยัน – จันทรา คณะช่างได้บรรจงสร้างขึ้นอย่างประณีตงดงามสุดยอดศิลปกรรมแห่งยุค สอดคล้องตรงตามศาสตร์ชาวชวากะ เป็นแบบแผนสืบไป



พิธีกรรม ดวงตราพญาราหูอมจันทร์ อันเป็นดวงตราแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ของชาวทะเลใต้ซึ่งไม่เคยมีผู้ใดล่วงรู้มาก่อนว่า รูปรอยตรามหาจักรพรหม เป็นตราประจำองค์ ราชันดำจตุคามรามเทพ ที่หวงแหน ล่วงละเมิดมิได้ พลตำรวจตรีขุนพันธรักษ์ราชเดช พันตำรวจเอกสรรเพชญ์ ธรรมาธิกุล ได้หยั่งรู้ในความหมาย จึงประกอบพิธีกรรมอันเชิญดวงวิญญาณของ องค์จตุคามรามเทพ ปฐมกษัตริย์ศรีวิชัย ขออนุญาตให้ใช้ดวงตราศักดิ์สิทธิ์ประดิษฐ์ พระสุริยัน – จันทรา ให้ปรากฏตามเบญจเทพนิมิตบอกกล่าวส่วนผสมตามแบบโบราณ



ประการแรก สมมุติหมายถึง ทิศสำคัญ 8 ทิศ คือทิศใหญ่ 4 ทิศ ทิศน้อย 4 ทิศ โดยเฉพาะทิศตะวันออก ซึ่งดวงอาทิตย์เริ่มให้แสงสว่างแก่โลกบังเกิดความอบอุ่น อันเป็นมูลฐานปรุงแต่งธาตุให้เกิดมวลชีวิต วัน คืน ฤดูกาล กำหนดในดวงตราให้พญาราหูตรงกลางเป็นรูปหนูเป็นทิศตะวันออก พญาราหูตรงกับรูปกระต่าย เป็นทิศเหนือ ในแต่ล่ะทิศสมมุติว่ามีจตุโลกเทพและจตุโลกบาล เฝ้ารักษาผู้ตรัสสู้ธรรมย่อมหยั่งรู้ด้วยญาณทัศนะ ทราบถึงธรรมชาติสามารถให้พญาราหูประจำทิศ กำหนดควบคุมให้เกิดประโยชน์แก่ตนมากที่สุด หากเป็นโทษอาจเปลี่ยนแปลงแก้ไขตามกาลจักรศาสตร์



ประการสอง สมมุติแทนสัญลักษณ์ของดาวเคราะห์สำคัญที่มีอิทธิพลต่อโลกมนุษย์ ด้วยเป็นขุมพลังแสง อนุภาคแสง ปรุงแต่งกระแสธาตุบนพื้นโลก คือ ดวงอาทิตย์ กำหนดให้พญาราหูตรงกับรูปกระต่าย แทนนามวัน คือ วันอาทิตย์ นับเวียนขวา มีพญาราหูแทนนาม วันจันทร์ วันอังคาร วันพุธ วันพฤหัสบดี วันศุกร์ วันเสาร์ ส่วนพญาราหูตรงกับรูปเสือ สัตว์ดุร้ายกินสัตว์อื่นเป็นภักษาหารลำดับที่ 8 มิได้นำมากำหนดเป็นนามวัน เพราะดาวโลกเป็นที่อยู่อาศัย เกิด แก่ เจ็บ ตาย เวียนว่ายตายเกิดตามวัฏจักรโหราจารย์เรียกว่า วันราหู หรือ จุดฆาต เพราะทั้งมวลชีวิตทุกรูปแบบจะต้องเกิดต้องตายลงในวันใดวันหนึ่งอย่างแน่นอน โดยพญาราหูลำดับที่ 8 เป็นผู้กำหนด และเป็นสถานที่รองรับความหมายแห่งดาวเคราะห์ที่มีอยู่มากมาย สุดที่จะอธิบายให้หมดสิ้นได้



ครั้นได้รับอนุญาตแล้ว จึงประกอบพิธีกรรมปลุกเสกเนื้อผงทั้งปวงกลางทะเลลึก ปลุกเสกบนภูเขาขุนพนม ปลุกเสกกลางทุ่งนา ครบถ้วนตามภูมิ 3 ภูมิ คือภาคพื้นดิน ภาคพื้นน้ำ ภาคพื้นอากาศ อาราธนาพระอาจารย์แห่งสำนักวัดเขาอ้อ ปลุกเสกสาธยายมนต์ตามประเพณีชาว 12 นักษัตร รูปแบบและพิธีกรรมพระเนื้อผง สุริยัน - จันทรา จึงอุปมาดังจำลองจักรราศีบนฟากฟ้า ปรากฏในประติมากรรมโน้นนำพลังกระแสคลื่น และรังสีทั้งหลายในอากาศธาตุ ตลอดจนคลื่นลมในมหาสมุทร และพื้นธรณีประจุเข้าสู่มวลวัตถุมงคล ให้ทรงฤทธานุภาพยิ่งใหญ่เป็นครั้งแรก และครั้งเดียวที่ครบถ้วยตามแบบแผนของบรรพบุรุษชาว ชวา



รูปสัตว์ดาว 12 นักษัตร
ห้วงสุริยจักรวาลอันเวิ้งว้างหาขอบเขตมิได้ประกอบด้วยดาวฤกษ์สำคัญ มองเห็นเป็นรูปสัตว์ 12 ชนิด เรียงรายไปบรรจบกันเป็นรูปวงกลม เมื่อแบ่งรัศมีวงกลมออกเป็นราศีอาณาเขตของกลุ่มดวงฤกษ์โดยเฉลี่ยกัน ดาวนักษัตรเหล่านี้กว่าที่โลกจะโคจรผ่านพ้นไปได้ ใช้เวลา 1 ปี จะต้องเดินทางนานถึง 12 ปี จึงจะครบรอบ 1 นักษัตร ตามความเป็นจริง กลุ่มดาวนักษัตรอยู่ห่างไกลจากเส้นทางโคจรของโลกและไม่มีทางไปถึงดาวนักษัตรเหล่านั้นได้เลย แต่เมื่อโลกล่องลอยอยู่ตรงกับอาณาเขตของกลุ่มดาวนักษัตรใด ด้านหลังของโลกจะกลายเป็นเงามืดมหึมา ดำมืดทอดยาวแผ่รัศมีกว้างไกลออกไปในห้วงจักรวาลสุดพรรณนา จึงสมมุติเงาของโลกอุปมาดังพญาราหู อสุราจอมมารร้าย ด้วยห้วงบรรยากาศอันหนาวเย็น บริเวณเงาพญาราหูปกคลุมไปด้วยมวลธาตุคลื่นพลังรังสีนานาชนิด คราใดต้องอนุภาคแสดงดาวบาปเคราะห์เข้า จะเกิดปฏิกิริยาปั่นป่วนพลังร้ายขึ้นทันที ยิ่งประกอบกับดาวนักษัตรร้ายด้วยแล้วอำนาจของดาวนักษัตรจะส่งเสริมความเลวร้ายหลายเท่าทวีคูณ โลกจะพบกับความวิบัติร้ายแรง ด้วยพญาราหูที่มีหน้าที่ปฏิบัติตามคำบัญชาของจักรวาลโดยไม่บิดพลิ้ว มวลชีวิตและวัตถุในโลกก็พบกับควาทุกข์ยาก เช่น ดาวนักษัตรปีมะแม รูปแพะ ธรรมชาติของสัตว์อาศัยหากินตามป่าดอน ไม่ชอบน้ำในช่วงปีนักษัตรนั้นจะบังเกิดความแห้งแล้งขึ้นในโลก หากดาวนักษัตรปีมะโรง สัญลักษณ์จอมนาคราชสัตว์ผู้เป็นเจ้าแห่งสมุทร โปรดปรานการเล่นน้ำ มักเกิดน้ำท่วมใหญ่ แผ่นดินถล่มทลาย ผู้คนล้มตายด้วยพิษนาค ดังนี้เป็นต้น



แม้แต่ชีวิตของบุคคล การถือกำเนิดขึ้นในปีนักษัตรใด บุคลิกภาพ นิสัย ความพอใจมักโน้มเอียงไปตามอุปนิสัยของรูปสัตว์ประจำดาวนักษัตร เหตุการณ์บ้านเมืองก็มักเปลี่ยนแปลงไปตามอำนาจของดวงดาว การก่อกบฏ การสงคราม ที่เกิดขึ้นในนักษัตรรูปเสือ ผู้คนจะฆ่าฟันกันล้มตายเลือดนอนแผ่นดิน ยิ่งในปีนั้นพญาราหูดับแสงเดือนแสงตะวันจนมืดมิด เรียกว่า จันทรคราส – สุริยคราส ด้วยแล้ว ผลแห่งภัยพิบัติจะเพิ่มความร้ายแรงหลายเท่าตัว



รูปวงกลมตรงศูนย์กลาง
รูปสมมุติแห่งความว่างเปล่ามีความหมายหลายประการ เช่น วิญญาณ ธาตุศูนย์กลางจักรวาล การตั้งฟ้าตั้งดิน เป็นต้น ตำนานชาวชวากะถือว่า ตรงจุดศูนย์กลางแห่งดวงตราพญาราหูอมจันทร์เป็นจุดสำคัญที่สุด คล้ายกับคติธรรมการสร้างพระพุทธเจดีย์ อันเป็นการจำลองโน้มนำสังเวชนีย์สถานทุกแห่งไปรวมกันไว้ ณ จุดเดียว อุปมาดังศูนย์กลางปลงธรรมสังเวชซึ่งบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง หมายถึง นิพพานภพ
วิญญาณธาตุ เป็นนามธรรม ไม่มีตัวตน ว่างเปล่า คล้ายกับอากาศธาตุ แต่ไม่ใช่ลมเพราะลมเป็นสะสารที่สามารถวัด สัมผัส จำกัดขอบเขต นักวิทยาศาสตร์ทั่วไปเล่นแร่แปรอากาศธาตุได้เช่นเดียวกับวัตถุอื่น ทราบถึงที่มาสาเหตุทางวิชาการ ก่อให้เกิดประโยชน์มหาศาลจากพลังงานธรรมชาติชนิดนี้ แต่วิญญาณาธาตุไม่เคยปรากฏอยู่ในศาสตร์สาขาใด นอกจากคำสอนของศาสนาเรียนรู้อยู่ในหมู่ผู้ปฏิบัติธรรม เรียกว่า “ ดวงจิต ” คนเราเมื่อยังมีชีวิตอยู่ร่างกายเปรียบประดุจบ้านเรือนที่พักอาศัย จิตใจเป็นเหมือนเจ้าของคอยควบคุมบงการไปตามสัญชาติ คือ กิเลสตัณหาความต้องการไม่มีที่สิ้นสุด สามัญสำนึกคล้ายกับสัตว์เดรัจฉานทั่วไป หากปราศจากความถูกต้องชอบธรรมขนบธรรมเนียมศาสนาช่วยสั่งสอน ขัดเกลา ปลูกฝัง หลักจริยธรรมให้เกิด จิตสำนึกก็ไม่อาจเรียกมนุษย์ว่าเป็นสัตว์ประเสริฐได้ พุทธศาสนาจึงชี้หนทางให้เห็นกฎวัฏสงสารว่า รูปธรรมย่อมถึงกาลแตกดับไปตามอายุขัย ร่างกายก็กาลายเป็นศพ ส่วนดวงจิตอันเป็นนามธรรมก็พลันสละเรือนร่างไปพร้อมกับการสิ้นลมหายใจ ไม่มีผู้ใดทราบว่าไปอยู่ที่ไหน จึงเรียกดวงจิตของผู้ตายไปแล้วว่า วิญญาณ หรือ ผี



ชาวชวากะเชื่อว่า วิญญาณเป็นธาตุที่ 5 มิได้สลายหายสูญ ได้แปรสภาพกลับคืนกระจายไปกับกระแสลมที่อยู่รอบตัวเรา วิญญาณของคนชั่วมิได้พัฒนา ดวงจิตตกต่ำถูกเหยียดหยามเป็น ภูตผีปีศาจ ส่วนวิญญาณของผู้ปฏิบัติธรรม ดวงจิตใจสูงได้รับการยอย่องเป็น เทพ หรือ เทวดา สุดแต่สร้างบารมีถึงระดับใด ต่างรอเวลากลับมาเกิดใหม่เป็นวัฏสงสาร การล่วงรู้ดังนี้ ชาวชวากะโบราณจึงแนะนำลูกหลานให้ทำบุญอุทิศทานแก่บรรพบุรุษ ญาติมิตรที่ล่วงลับไปแล้ว แผ่บารมีธรรมปกป้องมิให้ดวงวิญญาณทั้งหลายกลับมาจุติในท้องสุนัขในเทศกาลเดือนสิบ นักบวชชาวจีนสมัยโบราณเคยเดินทางมาศึกษา ณ จักรวรรดิศรีวิชัย ได้กลับไปเผยแพร่ในประเทศจีน จึงเกิดเป็นประเพณีนิยมทางศาสนาที่คล้ายคลึงกัน
พระผงสุริยัณ – จันทรา เป็นวัตถุมงคลชนิดหนึ่งในหลายอย่างที่ถูกสร้างขึ้น ตามพิธีกรรมในแบบโบราณอย่างแท้จริง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการสร้างปูชนียสถานของตนเองให้มากทีสุด ด้วยทุนทรัพย์เพียงเล็กน้อย แต่ได้รับสิ่งที่มีคุณค่ามหาศาลเปรียบดังแก้วมณีที่ได้รับการเจียรนัยแล้ว โดยเฉพาะ พระผงสุริยัณ – จันทรา นี้ทำขึ้นตามคติธรรมความเชื่อในระบบจักรวาลวิทยา อันมีดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ เป็นผู้นำในระบบสุริยคติ และระบบจันทรคติ แล้วยังสร้างขึ้นตามหลักการสำคัญของจักรพรรดิจีนในอดีต เมื่อราชทูตจีนเดินทางไปเจริญพระราชไมตรีกับอาณาจักรใดจักรพรรดิจะพระราชทาน คันฉ่องสำริด อันหนึ่งฉายรูปพระพักตร์องค์จักรพรรดิ อันหนึ่งฉายพระพักตร์ฮองเฮา ก็คือ คันฉ่องสุริยัณ – จันทรา ถือกันว่าเป็นวัฒนะรรมอันศักดิ์สิทธิ์และสูงส่งของจีน ที่เคยติดต่อกับศรีวิชัยมาไม่น้อยกว่าสองพันปี เพื่อแสดงให้เห็นว่าดินแดนแห่งนี้เป็นจุดเชื่อมโยงของชาติที่เคยมีอำนาจยิ่งใหญ่ในโลก คือ จีน กับ อินเดีย ไว้ในรูป พระผงสุริยัณ – จันทรา อันเป็นที่มาของรูปแบบศิลปกรรมเก่าแก่ ซึ่งไม่เคยเปิดเผยมาก่อน

ขอบคุณที่มา หลักเมือง ปี 30 ดอทคอม (ข้อมูลได้จาก www.oknation.com)