tag:blogger.com,1999:blog-86380237153228926932024-02-19T14:45:18.965+07:00Baan Pak Jai (บ้านพักใจ)http://en.wikipedia.org/wiki/Chawang_Districtpinkhttp://www.blogger.com/profile/06273115781979449593noreply@blogger.comBlogger63125tag:blogger.com,1999:blog-8638023715322892693.post-11684060755386421732014-02-24T18:53:00.001+07:002014-02-24T18:55:00.449+07:00<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
<a data-ved="0CAUQjRw" href="http://www.google.co.th/url?sa=i&rct=j&q=&esrc=s&frm=1&source=images&cd=&cad=rja&docid=gav6qb6DIR7lnM&tbnid=Q84Ngxb9aT8wjM:&ved=0CAUQjRw&url=http%3A%2F%2Fwww.siamganesh.com%2Ftrimurti.html&ei=tDELU8nsCo3yiAff_YD4CA&psig=AFQjCNH9v76Hi6uloG2p56RtKRpFn4ADYg&ust=1393328885019326" id="irc_mil" style="border: 0px currentColor;"><img class="irc_mut" src="http://www.siamganesh.com/dattatreya.jpg" height="434" id="irc_mi" style="margin-top: 7px;" width="500" /></a><br />
<span class="unnamed2"><strong><span style="font-size: x-large;">"พระตรีมูรติ"</span></strong></span><span style="color: #333333;"><span class="unnamed2"><br /><strong><span style="font-size: x-large;">มหาเทพผู้ยิ่งใหญ่แห่งจักรวาล
ประทานความสมหวังทุกประการ</span></strong></span></span><br />
<span style="color: #333333;"></span><br />
<table bgcolor="#cccccc" cellpadding="15" cellspacing="5">
<tbody>
<tr bgcolor="#ffff99">
<td align="center" class="middledetails" colspan="2" height="1495" valign="middle"><div style="text-align: justify;">
<strong><span style="font-size: large;"><span class="unnamed3"><span style="color: #990000;">พระตรีมูรติ </span>ที่อยู่หน้า Central World นั้น<br />แท้จริงแล้ว<span style="color: #990000;">ไม่ใช่พระตรีมูรติ</span><br />แต่เป็น <span style="color: #336666;">พระปัญจมุขี </span>(พระศิวะ 5
เศียร)</span></span>ผู้สร้าง ผู้บวงสรวง และผู้จัดตั้งนั้นเข้าใจผิด
จัดสร้างอย่างผิด</strong>เพราะไม่มีพระตรีมูรติในตำราหรือคำภีร์ไหนที่มี 5
เศียรเลย<br />
พระตรีมูรติที่ถูกต้องจะต้องมี 3 เศียรเท่านั้น
จึงขอให้ผู้ศรัทธาเข้าใจ ณ ที่นี้ด้วย<br />
คณะพราหมณ์ นักบวชและบัณฑิตชาวอินเดีย
นักโบราณศาสตร์
ผู้รู้จริงในเรื่องตำนานเทวปกรณ์จำนวนมากมายได้ยืนยันเช่นเดียวกัน<br />
การไหว้สักการะเทวรูป
<strong>พระศิวะ 5 เศียร</strong> แต่ดันไปขอพรหรือระลึกถึง <strong>พระตรีมูรติ
</strong>นั้น
ทำให้การขอพรไม่ได้ผลเต็มที่ตามคาดหวัง<br />
<strong>วิธีปฏิบัติที่ถูกต้องคือ</strong>
ให้ไหว้เทวรูปหน้าเซ็นทรัลเวิลด์นั้นๆแล้วสวดมนต์ขอพรถึง
<strong>พระศิวะมหาเทพ</strong> จะถูกต้องที่สุด<br />
<strong><br /><span style="color: #996600;">"พระตรีมูรติ"</span> นั้นเป็นถึงเทพเจ้าที่ <span style="color: #996600;">ยิ่งใหญ่ที่สุด</span>
เพราะมีศักดิ์สูงสุดในศาสนาพราหมณ์<br />เนื่องจากเป็นการรวมกันของมหาเทพที่ยิ่งใหญ่ถึง
3 พระองค์ด้วยกัน คือ <span style="color: #996600;">พระพรหม พระวิษณุ
พระศิวะ</span><br />ลำพังมหาเทพทั้ง 3 นี้ แต่ละพระองค์ ก็ประทานพรแก่ผู้ทำความดีได้
<span style="color: #996600;">ทุกประการ</span> อยู่แล้ว<br />การที่ทั้ง 3
ท่านได้มารวมพระวรกายกันเป็นหนึ่งเดียว
ก็ยิ่งมีอานุภาพประทานพรได้กว้างและลึกยิ่งขึ้น<br />ดังนั้น
ผู้ที่เข้าใจผิดพากันกล่าวกันว่า "พระตรีมูรติ"
เป็นเพียงเทพเจ้าผู้ประทานความสมหวังในด้าน "ความรัก"
เท่านั้น<br />ถือเป็นการไม่ให้เกียรติ และเป็นการลบหลู่ ดูถูกเทวานุภาพของ
"พระตรีมูรติ" เลยทีเดียว<br />แท้จริงแล้วพระองค์มีพลังมากมายกว่าที่หลายๆคนคาดคิด
หากขอพรด้วยความตั้งมั่นและประพฤติตนเป็นคนดีแล้ว<br /><span style="color: #996600;">พระตรีมูรติ </span>ผู้ยิ่งใหญ่
สามารถให้พรผู้ศรัทธาได้มากกว่าที่จะคาดถึงได้<br /><span class="unnamed3"><span style="font-size: large;">...สยามคเณศ...</span></span></strong></div>
</td></tr>
<tr>
<td align="center" bgcolor="#e5e5e5" class="middledetails" valign="middle" width="40%"><a href="http://www.siamganesh.com/amulets.html"><img alt="พระพรหมเอราวัณ รูปบูชาพระพรหม มหาเทพผู้สร้างโลก ผู้สร้างมนุษย์และสรรพชีวิต" border="0" src="http://www.siamganesh.com/trimurti.jpg" height="400" width="282" /></a><br />
<strong><span style="color: #990000;">พระตรีมูรติ
ชาวไทยศรัทธาและยกย่องให้เป็น<br />เทพเจ้าผู้ประทานความรักอันบริบูรณ์</span></strong></td>
<td align="left" bgcolor="#c4c4c4" class="middledetails" height="220" valign="middle" width="60%"><div class="middledetails">
<strong><span style="color: #996600;">บทความนี้ มาจากหนังสือ <span style="color: blue;">"ปริศนาแลมนตรา"</span><br />เขียนโดย "ทวีศักดิ์ กาญจนสุวรรณ"
เป็นหนังสือสารคดีเกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในอารยธรรมเขมร ไขปริศนาที่ชวนให้ขบคิด
ร้อยเรียงในลักษณะของสารคดีท่องเที่ยว ทั้งประวัติศาสตร์ วรรณคดี ปรัชญา เทพปกรณัม
ฯลฯ ราคาเล่มละ 265 บาท โดยสำนักพิมพ์ศินารา
หาซื้อได้ตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วประเทศ</span><br /><br />ตรีมูรติ
</strong>มาจากคำว่า <strong>ตรี </strong>หมายถึงสาม และคำว่า <strong>มูรติ
</strong>หมายถึงรูปแบบ ดังนั้นคำว่า <strong>ตรีมูรติ </strong>จึงหมายถึง
<strong>รูปแบบของพระผู้เป็นเจ้าทั้งสามพระองค์ </strong>ประกอบด้วย
<strong>พระพรหม พระวิษณุ พระศิวะ </strong>เป็นหนึ่งในลัทธิที่สำคัญในศาสนาพราหมณ์
หากมองตามหลักปรัชญาคือ <strong>พระผู้สร้าง พระผู้รักษา และพระผู้ทำลาย
</strong>เปรียบได้กับหลักธรรมที่ว่า <strong>เกิดขึ้น ตั้งอยู่
ดับไป...<br /><br />พระพรหม+พระวิษณุ+พระศิวะ = พระทัตตาเตรยะ =
พระตรีมูรติ</strong>การกำเนิด <strong>"พระตรีมูรติ"</strong>
ก็มีกล่าวกันไว้หลายตำแหน่งต่างๆกัน
และมักจะเข้าใจว่าพระตรีมูรติเป็นภาครวมทั้งสามพระองค์ในร่างเดียวกัน เรียกว่า
<strong>ทัตตาเตรยะ </strong>(Dattatreya) คำว่า <strong>ทัตตา</strong> (Datta)
หมายถึง การมอบให้พระผู้เป็นเจ้าทั้งสามพระองค์ ส่วนคำว่า <strong>เตรยะ</strong>
(treya) หมายถึง ผู้เป็นบุตรแห่งฤาษีอัตริหรือเตรยะ
อันเป็นอวตารของมหาเทพทั้งสามพระองค์ บ้างก็กล่าวว่าคือองค์พระนารายณ์
สำหรับเรื่องเล่าเกี่ยวกับพระตรีมูรติความเดิมมีอยู่ว่า.... </div>
<div class="middledetails">
</div>
<div class="middledetails">
</div>
<div class="middledetails">
ข้อมูลอ้างอิงจาก <a href="http://www.siamganesh.com/trimurti.html">http://www.siamganesh.com/trimurti.html</a></div>
</td></tr>
</tbody>
</table>
</div>
pinkhttp://www.blogger.com/profile/06273115781979449593noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-8638023715322892693.post-90496526233161584872014-02-24T18:45:00.001+07:002014-02-24T18:45:25.938+07:00<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
<h1>
พระนางปารวตี (พระแม่อุมาเทวี)</h1>
<table cellpadding="1" cellspacing="0" style="float: right; margin: 2px 0px 3px 7px;"><tbody>
<tr><td style="padding: 0px 3px 1px 0px; vertical-align: bottom;"><a href="http://www.postjung.com/fav.php"></a><br /></td><td style="padding: 0px 3px 1px 0px; vertical-align: bottom;"><a href="http://board.postjung.com/656121.html#" rel="nofollow"></a><br /></td><td style="padding: 0px 3px 1px 0px; vertical-align: bottom;"><div class="fb-share-button fb_iframe_widget" data-href="http://board.postjung.com/656121.html" data-type="box_count" fb-iframe-plugin-query="app_id=422509481104843&href=http%3A%2F%2Fboard.postjung.com%2F656121.html&locale=th_TH&sdk=joey&type=box_count" fb-xfbml-state="rendered">
<span style="height: 61px; vertical-align: bottom; width: 50px;"><iframe allowtransparency="true" frameborder="0" height="1000" name="f29a0c2e45e5258" scrolling="no" src="http://www.facebook.com/plugins/share_button.php?app_id=422509481104843&channel=http%3A%2F%2Fstatic.ak.facebook.com%2Fconnect%2Fxd_arbiter.php%3Fversion%3D40%23cb%3Df371efb834d5c3e%26domain%3Dboard.postjung.com%26origin%3Dhttp%253A%252F%252Fboard.postjung.com%252Ff363c8c48942498%26relation%3Dparent.parent&href=http%3A%2F%2Fboard.postjung.com%2F656121.html&locale=th_TH&sdk=joey&type=box_count" style="border: currentColor; height: 61px; visibility: visible; width: 50px;" title="fb:share_button Facebook Social Plugin" width="1000"></iframe></span><br /></div>
</td></tr>
</tbody></table>
<div class="sptopic" id="main_content" style="min-height: 1100px;">
<a href="http://board.postjung.com/656121.html#" target="_self"><img alt="" border="0" src="http://board.postjung.com/data/656/656121-img-1359877143-1.jpg" height="488" width="400" /></a><br />
<span class="userContent"><strong>พระแม่อุมาเทวี... เจ้าแม่อุมา หรือ ปารวตี</strong> คือพระนามแห่งพระแม่ผู้เป็นใหญ่ในจักรวาล เป็นเทวีแห่งอำนาจวาสนาและบารมีอันสูงสุด พระองค์ทรงประทานยศถาบรรดาศักดิ์ และความเป็นใหญ่แก่ผู้หมั่นบูชาต่อพระองค์อย่างสม่ำเสมอ..!!!<br /> <br /> อำนาจแห่งพระแม่อุมานั้น ยิ่งใหญ่หาสิ่งใดเทียบได้ พระองค์ทรงประทานชัยชนะเหนือศัตรู ประทานกำลังวังชาแห่งอิสตรี ทำลายสิ่งชั่วช้า ตลอดจนประทานบริวารและอำนาจในการปกครอง พระองค์ยังทรงประทานพรด<span class="text_exposed_show">้านความสมบูรณ์ ความอิ่มเอม ความผาสุขในการครองเรือน ครอบครัวที่เปี่ยมสุข ตลอดจนการคุ้มครองผู้ศรัทธาให้ปลอดภัยจากภยันตรายทั้งปวง<br /> <br /> พระแม่อุมา ทรงเป็นมารดาแห่ง พระพิฆเนศ... เป็นชายาแห่ง พระศิวะ มหาเทพผู้ทำลายโลก 1 ใน 3 แห่ง พระตรีมูรติ พระแม่อุมาจึงเป็น 1 ใน 3 แห่งพระตรีศักติ ด้วย (ตรีศักติ หมายถึง พระแม่ทั้งสาม ได้แก่ พระแม่อุมา พระแม่ลักษมี พระแม่สรัสวตี) พระองค์มีวิมานสถิต ณ เขาไกรลาส เช่นเดียวกับพระศิวะเทพ มีสัญลักษณ์ประจำพระองค์คือ โยนี (ฐานรองศิวลึงก์) มีทิพยรูปเป็นหญิงที่งดงาม เปี่ยมไปด้วยความเมตตา เป็นมารดาแห่งสรรพชีวิตทั้งปวง ฉลองพระองค์ด้วยอาภรณ์หลากสีสัน ประดับด้วยทองคำอย่างวิจิตร <br /> พาหนะแห่งพระแม่อุมาเทวี คือ เสือ อันหมายถึงพลังอำนาจ ความยิ่งใหญ่ และความสง่างาม<br /> <br /> ศาสตราวุธ แห่งพระแม่อุมาเทวีคือ<br /> - ตรีศูล เป็นสัญลักษณ์แห่งการปราบปรามสิ่งชั่วร้าย และ<br /> - ดาบ คือสัญลักษณ์แห่งความเฉียบขาด เป็นผู้ตัดสิน และอยู่เหนือผู้อื่น<br /> <br /> พระแม่อุมาเทวี (เจ้าแม่อุมา) มีอวตารอยู่หลายปาง ปางที่สำคัญที่สุดอีก 2 ปางจากพระแม่อุมา คือ ปางพระแม่ทุรคา (ทุรกา) และ ปางพระแม่กาลี (เจ้าแม่กาลี) อ่านได้จากบทความตำนานพระแม่ทุรคาและพระแม่กาลี ในบทต่อๆไป<br /> <br /> อีกปางหนึ่งที่อยากแนะนำ แต่ไม่ค่อยมีคนไทยรู้จัก นั่นคือ ปางพระแม่อุมาตากี คือการอวตารของพระแม่อุมาเทวี ที่รวมเอาพระแม่อีก 2 พระองค์เข้าไว้ด้วย คือ พระแม่อุมา พระแม่ลักษมี พระแม่สรัสวดี ได้อวตารรวมเป็นร่างเดียวกัน เหมือนกับพระตรีมูรติ นิยมนับถือกันในหมู่ผู้นับถือนิกายศักติ หรือนิกายที่นับถือเฉพาะเทพสตรีทั้ง 3 พระองค์ว่ายิ่งใหญ่เหนือกว่า พระพรหม พระวิษณุ พระศิวะ อันเป็นเทพบุรุษสูงสุดแห่งศาสนาพราหมณ์-ฮินดู<br /> ตำนานพระแม่อุมาเทวี<br /> <br /> ตามตำนานโบราณกล่าวกันว่า "พระแม่อุมา " นั้นแต่เดิมเกิดขึ้นจากการที่พระศิวะใช้พระหัตถ์ข้างขวาลูบเบาๆ ที่กลางพระอุระ พระแม่อุมาจึงจุติขึ้นกลางทรวงอกของพระศิวะ บ้างก็กล่าวไว้ว่าพระแม่อุมาเทวีเป็นธิดาของ ท้าวหิมวัต และ พระนางเมนกา เทพผู้เป็นใหญ่แห่งภูเขาหิมาลัย แต่ในบางคัมภีร์กล่าวไว้ว่าพระอุมา เป็นธิดาของ พระทักษะประชาบดี และเป็นพี่น้องกับ พระแม่คงคา (พี่สาวของพระแม่อุมา) พระอุมาในภาคนั้นมีพระนามว่า พระสตี เป็นชายาของ พระมุนีภพ คือ พระศิวะ อีกภาคหนึ่ง</span></span><br />
<span class="userContent"><span class="text_exposed_show"><a href="http://board.postjung.com/656121.html#" target="_self"><img alt="" border="0" src="http://board.postjung.com/data/656/656121-img-1359877143-2.jpg" height="443" width="346" /></a><br /> <br /> เรื่องราวในตอนนี้คงเป็นตอนก่อนกำเนิดเป็นพระแม่อุมาเทวี ซึ่งได้ปรากฏเป็นเรื่องเล่าขานกัน เริ่มต้นจากความจงรักภักดีด่อพระสวามี (พระศิวะ) โดยพระนางได้ใช้อิทธิฤทธิ์บันดาลให้ไฟเผาไหม้ตนเอง<br /> <br /> ซึ่งกล่าวไว้ว่า พระศิวะ ทรงอวตารลงมาในภาคของ มุนีภพ แต่ก็ด้วยความที่พระองค์ทรงแปลงร่างอวตารลงมาในชุดนุ่มห่มแบบปอนๆ มอซอ และมีสังวาลสวมคอเป็นประคำโดยนำกระดูก มาร้อยต่อกัน ไว้ผมหนวดเครารุงรัง ชอบนอนตามป่าช้า ร่างกายมีกลิ่นตัวเหม็นสาบ (แตกต่างจากการแบ่งภาคอื่นๆ) ทั้งนี้ก็เพื่อเสริมสร้างบารมี ด้วยการบำเพ็ญตน บำเพ็ญตบะ ซึ่งกาลต่อมาด้วยบุญกรรมที่สร้างสมกันมาแต่ก่อน ทำให้พระนางสตีมองเห็นรูปกายที่แท้จริงว่าพระมุนีภาพองค์นี้ก็คือ ภาคหนึ่งแห่งองค์พระศิวะผู้เป็นผู้ใหญ่ในสามโลก พระนางสตีจึงตกลงใจอยู่คอยรับใช้ดูแลในฐานะชายา ฝ่ายพระทักษะประชาบดีมิได้เห็นด้วยกับความคิดของพระนางสตีนัก แต่ก็มิได้ขัดขวางแต่ประการใด ก็มีความคิดที่มาได้ไม่ชอบใจในตัวของพระมุนีภพเลย กลับแสดงความรังเกียจในการกระทำ ทั้งรูปร่าง การแต่งกายของพระมุนีภพมาโดยตลอด<br /> พระทักษะประชาบดีนั้นมีพระธิดามากมายนัก และก็มากด้วยราชบุตรเขยเช่นกัน เป็นต้นว่า พระจันทร์ พระยมราช และพระมุนีอีกจำนวน 11 องค์ ซึ่งล้วนแต่มีอิทธิฤทธิ์บารมีทั้งสิ้น<br /> <br /> ฝ่ายบรรดาราชบุตรเขยต่างๆ ก็คอยเอาอกเอาใจผู้เป็นพ่อตาอยู่เป็นนิจตลอดมา เว้นก็แต่พระมนีภพผู้เป็นสวามีพระนางสตีเท่านั้น ที่ไม่เคยเข้ามาเอาใจเลย จึงเป็นเหตุผลอีกกรณี ที่ทำให้พระทักษะประชาบดียิ่งไม่พอใจมากกว่าเดิมขึ้นไปอีก<br /> <br /> จนกระทั่งวันหนึ่งพระทักษะประชาบดีต้องการจัดพิธียัญกรรม โดยพิธีการนี้ได้เชิญเหล่าเทพต่างๆ บนสวรรค์ พร้อมทั้งเหล่าราชบุตรเขยเข้าร่วมในพิธีกรรมนี้ทุกองค์ แต่ก็ยกเว้นพระมุนีภพเพียงพระองค์เดียว ที่ไม่ได้ให้เข้าร่วมพิธียัญกรรมในครั้งนี้ด้วย ด้านพระนางสตีเมื่อได้ฟังดังนั้น จึงเข้าสอบถามกับผู้เป็นบิดาถึงเรื่องนี้ ว่ามีเหตุอันใดจึงไม่เชิญพระสวามีของตนให้เข้าร่วมพิธียัญกรรม ฝ่ายผู้เป็นพ่อแรกๆ ก็กล่าวถึงการกระทำ การแต่งกายของพระมุนีภพว่าไม่เหมาะสมและพูดจาดูหมิ่น ดูถูกพระมุนีภพในทางที่เสียหาย ซึ่งทุกสิ่งที่กล่าวได้กระทำต่อหน้าราชบุตรเขยองค์อื่นๆ ที่มาร่วมในงานนี้ แต่พระนางสตีก็อ้อนวอนต่อบิดา ให้พระสวามีของตนได้เข้าร่วมในพิธีนี้ จนพระทักษะประชาบดีเกิดความรำคาญเป็นยิ่งนัก จึงกล่าววาจาด้วยเสียงอันดัง ต่อหน้าผู้เข้ามาร่วมในพิธีด้วยความดูหมิ่น รังเกียจต่อพระมุนีภพยิ่งนัก จนในที่สุดพระนางสตีผู้จงรักภักดีต่อสวามีของตน สุดที่จะทนต่อไปได้ ในวาจาที่รับฟังจากพระบิดาตนเองที่กล่าวประจานพระมุนีต่อหน้าผู้อื่น<br /> พระนางสตีจึงตัดสินพระทัยแสดงอิทธิฤทธิ์ เปล่งแสงเปลวไฟอันร้อนแรงจากภายในกาย จนเผาตนเองมอดไหม้ต่อหน้าพระบิดาและผู้ร่วมพิธี จนสิ้นชีพในที่สุด (บางคัมภีร์กล่าวไว้ว่าพระนางสตีกระโดดเข้ากองไฟในพิธี)<br /> <br /> ฝ่ายพระศิวะในภาคพระมุนีภพ เมื่อได้ฟังคำเล่าบอกจาก พระฤๅษีนารท (ฤาษีนารอด) ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพระชายาของพระองค์ทรงเศร้าเสียใจเป็นที่สุด จากความเศร้าที่ทรงมีอยู่นั้น จึงทรงดึงเส้นผมออกมาปอยหนึ่ง ก็บังเกิดเป็นอสูรร่างกายใหญ่โต มีฤทธิ์เดชมากมาย มีพันเศียร พันกร สวมประคำหัวกระโหลกและงู นามว่า อสูรวีรภัทร บางคัมภีร์กล่าววาอสูรวีรภัทรนี้แบ่งภาคโดยออกจากพระโอษฐ์ของพระศิวะ<br /> แล้วพระศิวะจึงได้สั่งให้อสูรวีรภัทรไปยังพิธีที่จัดขึ้นและให้ทำลายพิธีนั้นให้สิ้นในที่สุด ฝ่ายอสูรวีรภัทรเมื่อรับฟังคำสั่งจึงตรงไปยังพิธีทันที พร้อมด้วยเหล่าสมุนยักษนับถัน เมื่อไปถึงจึงเข้าอาระวาดทำลายพิธี และบรรดาเทพทั้งหลายที่มาร่วมงานต่างก็หลบหนีทันบ้างไม่ทันบ้าง ก็พากันบาดเจ็บล้มตายไปมากมาย โดยอสูรวีรภัทร เมื่อทำลายพิธีแล้ว จึงได้ประกาศในพิธีว่า นี่คือโทษที่ต้องได้รับจากพระศิวะ ส่วนพระทักษะประชาบดีบิดาของพระสตีได้ถูกอสูรวีรภัทรพ่นไฟใส่พระเศียรจนขาดกระเด็นมอดไหม้เป็นจุล และเมื่อหัวขาดแล้วอสูรวีรภัทรจึงนำหัวนั้นโยนเข้ากองไฟมอดไหม้ไปด้วยความแค้นที่ดูหมิ่นในศักดิ์ศรีของพระศิวะ เมื่อทกอย่างเสร็จตามคำบัญชาของพระศิวะ อสูรวีรภัทรพร้อมสมุนยักษ์จึงยกทัพกลับไปเข้าเฝ้าพระศิวะดังเดิม อสูรวีรภัทร พร้อมสมุนยักษ์จึงทัพกลับไปเข้าเฝัาพระศิวะดังเดิม<br /> <br /> เหตุการณ์นี้ทำให้เหล่าเทพทั้งหลาย รวมถึงบรรดาราชบุตรเขยที่รอดชีวิตมาได้ พากันไปขอความช่วยเหลือจาก พระพรหม เพื่อให้ทรงแนะหาทางแก้ไขว่าควรจะทำเช่นไรจึงจะทุเลาความโกรธกริ้วของพระศิวะได้ เพื่อไม่ให้โลกถูกทำลายลงไป เพราะพระศิวะเป็นเทพผู้ทำลาย พระพรหมเมื่อได้ฟังแล้วจึงได้นำเหล่าเทพทั้งหลายนั้นไปเข้าเฝ้าพระศิวะที่เขาไกรลาส เพื่อขอความเห็นใจและขมาในสิ่งที่เกิดขึ้น จนในที่สุดการเจรจาพูดคุยกันนั้น พระศิวะจึงยอมสงบศึกพร้อมกับช่วยชุบชีวิตเหล่าเทพที่ได้เสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนั้น ทั้งนี้การชุบชีวิตนั้นก็รวมถึงพระทักษะประชาบดีผู้เป็นพ่อตาของพระองค์ด้วย แต่เศียรที่มอดไหม้ไปนั้นมิได้ทรงนำมาคืนให้ พระองค์ได้นำหัวแพะมาต่อให้กับพระทักษะประชาบดี เพื่อแสดงให้เหล่าเทพทั้งหลายได้เห็นความโง่ของพระทักษะประชาบดี แม้แต่รูปกายภายนอกจะเป็นเช่นไร ก็ไม่สมควรดูถูกดูหมิ่นเหยียดหยามผู้นั้นโดยมิได้ดูถึงเนื้อแท้และการกระทำที่ดีของเขาเลย<br /> <br /> เมื่อเรื่องทุกอย่างจบลงด้วยดีแล้ว พระศิวะจึงมุ่งไปบำเพ็ญตบะ บำเพ็ญตนเป็นมุนีต่อในป่าหิมพานต์<br /> เพื่ออุทิศกุศลให้กับพระนางสตี ผู้เป็นชายาของพระองค์ต่อไป...</span></span><br />
<br />
<br />
<span class="userContent"><span class="text_exposed_show"><a data-ved="0CAUQjRw" href="http://www.google.co.th/url?sa=i&rct=j&q=&esrc=s&frm=1&source=images&cd=&cad=rja&docid=iOM5LaBm8OfgTM&tbnid=ouiRsDP9kW6QyM:&ved=0CAUQjRw&url=http%3A%2F%2Fmontradevi.makewebeasy.com%2Fwebboard-%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B0%25E0%25B9%2581%25E0%25B8%25A1%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25B8%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25B2%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B5-1-34537-1.html&ei=pTALU9OfLKPAiQf_j4DYAw&psig=AFQjCNE_tabISfTWWNbEVMrM0cYArxHcsA&ust=1393328647138034" id="irc_mil" style="border: 0px currentColor;"><img class="irc_mut" height="448" id="irc_mi" src="http://www.uppicweb.com/x/i/im/4130738189_b70d5c28ce_z.jpg" style="margin-top: 0px;" width="358" /></a></span></span><br />
<span class="userContent"><span class="text_exposed_show"></span></span><br />
<span class="userContent"><span class="text_exposed_show"></span></span><br />
<span class="userContent"><span class="text_exposed_show">ขอบพระคุณข้อมูลอ้างอิงจาก <a href="http://board.postjung.com/656121.html">http://board.postjung.com/656121.html</a></span></span></div>
</div>
pinkhttp://www.blogger.com/profile/06273115781979449593noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8638023715322892693.post-11501068679536201322014-02-24T18:36:00.001+07:002014-02-24T18:36:27.133+07:00<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
<h1 class="firstHeading" id="firstHeading" lang="th">
<a href="https://encrypted-tbn0.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcQHF1IgBgtQ9zqHXDtaWcueNJP8lPCauzTkvRjClCUqf-biJ09m" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" class="rg_i" data-src="https://encrypted-tbn0.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcQHF1IgBgtQ9zqHXDtaWcueNJP8lPCauzTkvRjClCUqf-biJ09m" data-sz="f" height="394" name="St5sanOqnR3JAM:" src="https://encrypted-tbn0.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcQHF1IgBgtQ9zqHXDtaWcueNJP8lPCauzTkvRjClCUqf-biJ09m" style="height: 200px; margin-top: 0px; width: 203px;" width="400" /></a><span dir="auto">พระแม่ธรณี</span></h1>
<div id="bodyContent">
<div id="siteSub">
</div>
<div>
</div>
<div>
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี</div>
<div id="contentSub">
</div>
<div class="mw-jump" id="jump-to-nav">
<b>พระแม่ธรณี</b> หรือ <b>แม่พระธรณี</b> หรือ <b>พระศรีวสุนธรา</b> เป็นเทพีแห่งพื้นแผ่นดิน ปรากฏในตำนานทั้ง<a class="mw-redirect" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%93%E0%B9%8C" title="ศาสนาพราหมณ์">ศาสนาพราหมณ์</a>, <a class="mw-redirect" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AE%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B9" title="ฮินดู">ฮินดู</a> และ<a class="mw-redirect" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2" title="พุทธศาสนา">พุทธศาสนา</a></div>
<div class="mw-content-ltr" dir="ltr" id="mw-content-text" lang="th">
ในคติของ<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%AE%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B9" title="ศาสนาฮินดู">ศาสนาฮินดู</a>ให้ความเคารพนับถือว่าแผ่นดินเป็นสิ่งค้ำจุนสรรพสิ่งทั้งปวงในโลกเปรียบเสมือนมารดาผู้ให้กำเนิดหล่อเลี้ยงโลกและแผ่นดิน จึงได้รับยกย่องว่าเป็นเทพจากธรรมชาติองค์หนึ่งเป็นเพศหญิง เรียกนามว่า "ธรณิธริตริ" แปลว่า "ผู้ค้ำจุนพระธรณี" แม้จะมิค่อยมีรูปเคารพอย่างแพร่หลายเช่นเทพองค์อื่นแต่ก็มีผู้ให้ความเคารพนับถือเป็นจำนวนมิใช่น้อย เพราะถือกันว่าพระธรณีสถิตย์อยู่ตามที่ต่าง ๆ ทุกหนทุกแห่ง จะทำการบูชาด้วย ข้าว ผลไม้ และนมด้วยการวางไว้บนก้อนหิน หรือประพรมลงบนพื้นดิน บางแห่งใช้เหล้าเป็นการสังเวยก็มี นอกจากนี้ชาวฮินดูยังมีการขอขมาลาโทษเมื่อจะวางเท้าลงบนพื้นดินก่อนจะลุกขึ้นในตอนเช้า <a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%A7" title="วัว">วัว</a>หรือ<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A2" title="ควาย">ควาย</a>ที่มีลูกก่อนที่จะให้ลูกกิน<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%99%E0%B8%A1" title="นม">นม</a>ครั้งแรก เจ้าของจะปล่อยน้ำนมของแม่วัวลงบนพื้นดินเสียก่อนทุกครั้งไป ถ้าเป็นพวกชาวนาก็จะขอให้พระธรณีช่วยคุ้มครองผืนนาและวัวควาย แม้ในพระเวทก็มีการขอร้องต่อพระธรณีให้ช่วยพิทักษ์คุ้มครองวิญญาณของคนตาย และต่อมาได้นับถือว่าเป็นเทพแห่งไร่นาด้วย ในแคว้นปัญจาบเชื่อกันว่าพระธรณีจะนอนหลับเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ของทุก ๆ เดือนชาวไร่ชาวนาจะหยุดไม่ทำงานในระยะนี้<br />
เทพแห่งแผ่นดินหรือพระธรณี ไม่ค่อยมีเรื่องราวประวัติความเป็นมาปรากฏมากมายดังเช่นเทพองค์อื่น หรือมีก็สับสน เช่น บางแห่งว่าพระธรณีมีโอรสกับ<a class="mw-redirect" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%93%E0%B9%8C" title="พระนารายณ์">พระนารายณ์</a>องค์หนึ่งคือ<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%A3" title="พระอังคาร">พระอังคาร</a> บางแห่งว่าพระอังคารเป็นโอรสของ<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A8%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%B0" title="พระศิวะ">พระศิวะ</a>กับพระธรณี หรือในคติ<a class="mw-redirect" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%93%E0%B9%8C" title="ศาสนาพราหมณ์">พราหมณ์</a>พบเพียงว่าเป็นชายาของพระธุรวะหรือดาวเหนือ<br />
<br />
ในพุทธศาสนา พระแม่ธรณีปรากฏกายเพื่อบีบน้ำจากมวยผมให้ท่วมพญามารที่รังควาน<a class="mw-redirect" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2" title="สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า">สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า</a>ในคืนวัน<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89" title="ตรัสรู้">ตรัสรู้</a> ดั่งรายละเอียดตามพระนิพนธ์ใน<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%93%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2_%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B9%82%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%AA" title="สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส">สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส</a>ว่า<br />
<table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" style="border-collapse: collapse; width: auto;"><tbody>
<tr><td style="padding: 10px;" valign="top" width="20"><img alt="" height="15" src="http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/4/4d/Cquote1.svg/20px-Cquote1.svg.png" srcset="//upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/4/4d/Cquote1.svg/30px-Cquote1.svg.png 1.5x, //upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/4/4d/Cquote1.svg/40px-Cquote1.svg.png 2x" width="20" /></td><td><blockquote style="margin-left: 2em; margin-right: 2em;">
แต่ในชาติอาตมะเป็นพระยาเวสสันดรชาติเดียวนั้น ก็ได้บำเพ็ญทานบารมีถึงบริจาคนางมัทรีเป็นอวสาน พื้นพสุธาก็กัมปนาการถึง 7 ครั้ง แลกาลบัดนี้ อาตมะนั่งเหนืออปราชิตบัลลังก์อาสน์ หมู่มารอริราชมาแวดล้อมยุทธการเป็นไฉนแผ่นพสุธาธารจึงดุษณีภาพอยู่ฉะนี้ แลพระยามารอ้างบริษัทแห่งตนให้เป็นกฎสักขีขานคำมุสา แลพื้นปฐพีอันปราศจากเจตนาได้สดับคำอาตมะในครั้งนี้จงรับเป็นสักขีพยานแห่งข้า แล้วเหยียดพระหัตถ์เบื้องขวาอันประดับด้วยจักรลักษณะอันงามดุจงวงไอยรารุ่งเรืองด้วยพระนขามีพรรณอันแดงดุจแก้วประพาฬออกจากห้องแห่งจีวร ครุวนาดุจวิชุลดาในอัมพรอันออกจากระหว่างห้องแห่งรัตวลาหก ยกพระดัชนีชี้เฉพาะพื้นมหินทรา จึงออกพระวาจาประกาศแก่นางพระธรณีว่า ดูก่อนวนิดาดลนารี ตั้งแต่อาตมะบำเพ็ญพระสมภารบารมีมาตราบเท่าถึงอัตภาพเป็นพระเวสสันดรราช ได้เสียสละบุตรทานบริจาคแลสัตตสดกมหาทานสมณะพราหมณาจารย์ผู้ใดผู้หนึ่ง ซึ่งจะกระทำเป็นสักขีพยานในที่นี้ก็มิได้ มีแต่พสุนธารนารีนี้แลรู้เห็นเป็นพยานอันใหญ่ยิ่ง เป็นไฉนท่านจึงนิ่งมิได้เป็นพยานอาตมาในกาลบัดนี้<br />
ในขณะนั้น นางพสุนธรีวนิดาก็มิอาจดำรงกายาอยู่ได้ ด้วยโพธิสมภารานุภาพยิ่งใหญ่แห่งพระมหาสัตว์ ก็อุบัติบันดาลเป็นรูปนารี ผุดขึ้นจากพื้นปฐพียืนประดิษฐานเฉพาะพระพุทธังกุรราช เหมือนดุจร้องประกาศกราบทูลพระกรุณาว่าข้าแต่พระมหาบุรุษราช ข้าพระบาททราบซึ่งสมภารบารมีที่พระองค์สั่งสมอบรมบำเพ็ญมา<br />
แต่น้ำทักษิโณทกตกลงชุ่มอยู่ในเกศาข้าพระพุทธเจ้านี้ ก็มากกว่ามากประมาณมิได้ ข้าพระองค์จะบิดกระแสใสสินโธทกให้ตกไหลหลั่งลง จงเห็นประจักษ์แก่นัยนาในครานี้ แลนางพระธรณีก็บิดน้ำในโมลีแห่งตน อันว่ากระแสชลก็หลั่งไหลออกจากเกศโมลีแห่งนางพสุนธรีเป็นท่อธารมหามหรรณพ นองท่วมไปในประเทศที่ทั้งปวงประดุจห้องมหาสาครสมุทร พระผู้เป็นเจ้ารักขิตาจารย์จึงกล่าวสารพระคาถาอรรถาธิบายความก็เหมือนนัยกล่าวแล้วแต่หลัง<br />
ครั้งนั้น หมู่มารเสนาทั้งหลายมิอาจดำรงกายอยู่ได้ ก็ลอยไปตามกระแสน้ำปลาตนาการไปสิ้น ส่วนคิรีเมขลคชินทรที่นั่งทรงองค์พระยาวัสวดีก็มีบาทาอันพลาดมิอาจตั้งกายตรงอยู่ได้ ก็ลอยตามชลธารไปตราบเท่าถึงมหาสาคร อันว่าระเบียบแห่งฉัตรธวัชจามรทั้งหลาย ก็ทักทบท่าวทำลายล้มลงเกลื่อนกลาดและพระยามาราธิราชได้ทัศนาการเห็นมหัศจรรย์ ดังนั้น ก็บันดาลจิตพิศวงครั่นคร้ามขามพระเดชพระคุณเป็นอันมาก พระคันถรจนาจารย์จึงกล่าวพระคาถาสรรเสริญคุณานุภาพโพธิสัตว์อรรถาธิบายความก็ซ้ำหนหลัง<br />
ครั้งนั้นมหาปฐพีก็ป่วนปั่นปานประหนึ่งว่าจักรแห่งนายช่างหม้อบันลือศัพท์นฤนาทหวาดไหวสะเทือนสะท้าน เบื้องบนอากาศก็นฤโฆษนาการ เสียงมหาเมฆครืนครั่นปิ่มปานจะทำลายภูผาทั้งหลาย มีสัตตภัณฑ์บรรพต เป็นต้น ก็วิจลจลาการขานทรัพย์สำเนียงกึกก้องทั่วทั้งท้องจักรวาล ก็บันดาลโกลาหลทั่วสกลดังสะท้าน ปานดุจเสียงป่าไผ่อันไหม้ด้วยเปลวอัคคี ทั้งเทวทุนทุภีกลองสวรรค์ก็บันลือลั่นไปเอง เสียงครืนเครงดุจวีหิลาชอันสาดทิ้ง ถูกกระเบื้องอันเรืองโรจน์ร้อนในกองอัคนี การอัสนีบาตก็ประหารลงเปรี้ยง ๆ เพียงพื้นแผ่นปฐพีจะพังภาคดังห่าฝน ถ่านเพลิงตกต้องพสุธาดลดำเกิงแสงสว่างหมู่มารทั้งหลายต่าง ๆ ตระหนกตกประหม่า กลัวพระเดชานุภาพแพ้พ่าย แตกขจัดขจายหนีไปในทิศานุทิศทั้งปวงมิได้เศษ แลพระยามาราธิราชก็กลัวพระเดชบารมี ปราศจากที่พึ่งที่พำนักซ่อนเร้นให้พ้นภัยหฤทัย ท้อระทดสลดสังเวชจึงออกพระโอษฐ์สรรเสริญพระเดชพระคุณพระมหาบุรุษราชว่า ดังอาตมาจินตนาการอันว่าผลทานศีลสรรพบารมีแห่งพระสิทธัตถกุมารนี้ ปรากฏอาจให้บังเกิดมหิทธฤทธิ์สำเร็จกิจมโนรถปรารถนาทุกประการ มีพระกมลเบิกบานแผ่ไปด้วยประสาทโสมนัส จึงทิ้งเสียซึ่งสรรพาวุธประนมหัตถ์ทั้ง 2,000 อัญชลีกรนมัสการ ก็กล่าวสารพระคาถาว่า นโม เต ปุริสาชญญ เป็นอาทิ อรรถาธิบายความว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ปุริสาชาไนยชาติเป็นอุดมบุรุษราชในโลกนี้ ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายวันทนาการชุลีพร้อมด้วยทวารทั้ง 3 คือกายวจีมโนประณามประณตในบทบงกชยุคลบาท บุคคลผู้ใดในมนุษย์โลกธาตุกับทั้งเทวโลก ที่จะปูนเปรียบประเสริฐเสมอพระองค์คงเทียมเทียบนั้นมิได้มี พระองค์ได้ตรัสเป็นพระศรีสรรเพชญ์เสร็จแจ้งจตุราริยสัจจ์ศาสดาจารย์มีพระเดชครอบงำชำนะหมู่มาร เป็นปิ่นปราชญ์ฉลาดในอนุสัยแห่งสรรพสัตวโลกจะข้ามขนนิกรเวไนย์ให้พ้นจตุรโอฆกันดารบรรลุฝั่งฟากอมฤตมหานฤพานอันเกษมสุขปราศจากสังสารทุกข์ในครั้งนี้ แลพระยาวัสวดีมารโถมนาการพระคุณพระมหาบุรุษราชด้วยจิตประสาทเลื่อมใส ผลกุศลนั้นจะตกแต่งให้ได้ตรัสแก่พระปัจเจกโพธิญาณในอนาคตกาลภายหน้า เมื่อพระยามารกล่าวสัมภาวนากถาสรรเสริญคุณพระโพธิสัตว์ แล้วก็นิวัตตนาการสู่สกลฐานเทวพิภพ<br />
</blockquote>
<br />
<h2>
<span class="mw-headline" id=".E0.B8.A5.E0.B8.B1.E0.B8.81.E0.B8.A9.E0.B8.93.E0.B8.B0.E0.B8.82.E0.B8.AD.E0.B8.87.E0.B8.9E.E0.B8.A3.E0.B8.B0.E0.B9.81.E0.B8.A1.E0.B9.88.E0.B8.98.E0.B8.A3.E0.B8.93.E0.B8.B5">ลักษณะของพระแม่ธรณี</span></h2>
ตามที่ปรากฏ โดยมากมักจะเป็นรูปเทวดาผู้หญิง มีรูปร่างอวบใหญ่ ล่ำสันอย่างได้สัดส่วน หรือในบางแห่งจะมีรูปร่างอ้อนแอ้น มีความงามประดุจเทพธิดา นั่งในท่าคุกเข่า แต่ยกเข่าขวาขึ้นสูงกว่าเข่าซ้าย บางแห่งสร้างให้อยู่ในท่ายืน แต่ที่เหมือนกันก็คือมวยผมปล่อยยาว มือขวายกข้ามศีรษะไปจับไว้ที่โคนมวยผม ส่วนมือซ้ายจับมวยผมแสดงท่ากำลังบิดให้สายน้ำไหลออกมาจากมวยผมนั้น ส่วนเครื่องทรงไม่มีแบบแผนที่แน่นอนตายตัว ตามแต่จินตนาการของผู้สร้าง บางแห่งสวมพัตราภรณ์เฉพาะช่วงล่าง แต่บางแห่งทั้งนุ่งผ้าจีบและห่มสไบอย่างสวยงาม ประดับเครื่องถนิมพิมพาภรณ์มีกรอบหน้าและจอนหู เป็นต้น<br />
พระแม่ธรณีเป็นเทวดาอีกองค์หนึ่งที่ได้รับความนิยมบูชาของคนไทย มักเป็นสัญลักษณ์แห่งแผ่นดิน ดั่งปรากฏในวรรณคดีไทย เช่น โคลงของ<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%8D%E0%B9%8C" title="ศรีปราชญ์">ศรีปราชญ์</a>ก่อนถูกประหารที่กล่าวว่า<br />
<table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" style="border-collapse: collapse; width: auto;"><tbody>
<tr><td style="padding: 10px;" valign="top" width="20"><img alt="" height="15" src="http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/4/4d/Cquote1.svg/20px-Cquote1.svg.png" srcset="//upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/4/4d/Cquote1.svg/30px-Cquote1.svg.png 1.5x, //upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/4/4d/Cquote1.svg/40px-Cquote1.svg.png 2x" width="20" /></td><td><blockquote style="margin-left: 2em; margin-right: 2em;">
ธรณีนี่นี้ เป็นพยาน<br />
เราก็ศิษย์มีอาจารย์ หนึ่งบ้าง<br />
เราผิดท่านประหาร เราชอบ<br />
เราบ่ผิดท่านมล้าง ดาบนี้คืนสนอง ฯ</blockquote>
</td><td style="padding: 10px;" valign="bottom" width="20"><img alt="" height="15" src="http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/1/1a/Cquote2.svg/20px-Cquote2.svg.png" srcset="//upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/1/1a/Cquote2.svg/30px-Cquote2.svg.png 1.5x, //upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/1/1a/Cquote2.svg/40px-Cquote2.svg.png 2x" width="20" /></td></tr>
</tbody></table>
เป็นสัญลักษณ์ของหน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ เช่น <a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87" title="การประปานครหลวง">การประปานครหลวง</a>,<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84" title="การประปาส่วนภูมิภาค">การประปาส่วนภูมิภาค</a>,<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A2%E0%B9%8C" title="พรรคประชาธิปัตย์">พรรคประชาธิปัตย์</a> เป็นต้น<br />
<br />
ข้อมูลอ้างอิงจาก วิกิพีเดีย</td></tr>
</tbody></table>
</div>
</div>
</div>
pinkhttp://www.blogger.com/profile/06273115781979449593noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8638023715322892693.post-35232807056617727152013-10-26T15:25:00.000+07:002013-10-26T15:25:03.203+07:00สูตรน้ำผลไม้ที่ "ในหลวง"ทรงเสวยทุกวัน<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
<br />
<br />
<span style="font-size: medium;"><span> <img src="http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/433/15433/images/files.jpg" /></span></span><br />
<br />
<span style="font-size: medium;"><span> </span></span><br />
<br />
<span style="font-size: medium;"><span><strong></strong></span></span><br />
<br />
<span style="font-size: medium;"><span><strong> <span style="font-size: small;">สูตรน้ำผลไม้ที่
"ในหลวง"ทรงเสวยทุกวัน</span></strong></span></span><br />
<br />
<span style="font-size: small;"><span></span></span><br />
<span><span style="font-family: courier new,courier,monospace; font-size: small;">วันก่อนได้รับเมล์จากเพื่อนๆส่งมาให้อ่านเห็นว่าเป็นประโยชน์เลยนำมาลงหวังว่าจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพ....</span></span><br />
<br />
<span style="font-size: small;"><span style="font-family: courier new,courier,monospace;"><span>เป็นสูตรน้ำผลไม้ที่ได้จาก<strong>ข้าหลวงประจำพระองค์ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ฯ</strong>
นะคะ</span> </span></span><br />
<br />
<span style="font-size: small;"><br /><span><span style="font-family: courier new,courier,monospace;">เป็นสูตรที่ในวังกำลังนิยมกันมาก
<strong><em>.."</em> <span style="background-color: #ff66cc;">ในหลวง"ทรงเสวยทุกวัน</span></strong>
ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง มีผิวพรรณสดใส</span></span></span><br />
<br />
<span style="font-size: small;"><span style="font-family: courier new,courier,monospace;"><span>โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เป็นโรคมะเร็งจะดีมากค่ะ
มีคนแถวบ้านเป็นมะเร็งอายุประมาณ </span>80 <span>กว่าแล้วค่ะ ต้องให้คีโม
แต่ปรากฏว่าพอรับประทานน้ำผลไม้สูตรนี้ไปเป็นเวลาประมาณไม่ถึง </span>1 <span>เดือน
ปรากฏว่ามีผมงอกขึ้น และแข็งแรงขึ้นมาก จนหมอตกใจ
</span><span>ลองนำไปปั่นทานกันดูนะคะน่าจะดีต่อสุขภาพไม่มากก็น้อย
</span><br /><span></span></span></span><br />
<span style="font-size: small;"><span style="font-family: courier new,courier,monospace;"><span>ส่วนประกอบก็ราคาไม่แพงมากด้วยค่ะ</span></span></span><br />
<br />
<strong><span style="font-size: small;"><span style="font-family: courier new,courier,monospace;"><span> สูตรน้ำผักผลไม้
</span></span></span></strong><br />
<br />
<span style="font-size: small;"><span style="font-family: courier new,courier,monospace;">1. <span>แอปเปิ้ล
</span>1 <span>ผล </span><br />2. <span>แครอท </span>1 <span>ลูก </span><br />3.
<span>ผักสลัด (ผักกาดแก้ว) </span>3 <span>ใบ </span><br />4.
<span>ตั้งโอ๋</span> 2 <span>ก้าน </span><br />5. <span>มะนาว </span>1 <span>ลูก
</span><br />6. <span>น้ำเสาวรส </span>1/2 <span>แก้ว</span>
(<span>ถ้าไม่มีสดให้ซื้อน้ำเสาวรสกระป๋องก็ได้ค่ะ) </span><br />7. <span>น้ำผึ้งแท้
</span>1/2 <span>แก้ว </span><br />8. <span>น้ำเปล่า </span>1-2 <span>แก้ว
แล้วแต่ความชอบ </span><br />9. <span>ฝรั่ง </span>1 <span>ผล </span><br />10.
<span>มะเขือเทศสีดา (ลูกเล็กๆ) </span>5 <span>ลูก </span><br />11.
<span>น้ำตาลทรายแดง </span>3 <span>ช้อนโต๊ะ
</span><br /><span></span></span></span><br />
<br />
<span style="font-size: small;"><span style="font-family: courier new,courier,monospace;"><span>นำทุกอย่างมาปั่นรวมกันค่ะ
สูตรนี้จะทำได้ประมาณ </span>1 <span>ลิตร</span> <br /><span>ในกรณีที่เป็นคนป่วย
ให้รับประทานวันละ </span>1 <span>ลิตร</span><br /><span></span></span></span><br />
<br />
<span style="font-size: small;"><span style="font-family: courier new,courier,monospace;"><span>แต่ถ้าดื่มเพื่อสุขภาพเฉยๆ
สามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้ประมาณ</span>2-3 <span>วันค่ะ</span></span></span><br />
<span style="font-size: small;"><span style="font-family: courier new,courier,monospace;"><span></span></span></span><br />
<span style="font-size: small;"><span style="font-family: courier new,courier,monospace;"><span>ขอบพระคุณข้อมูลจาก <a href="http://www.oknation.net/blog/print.php?id=192830">http://www.oknation.net/blog/print.php?id=192830</a></span></span></span><br />
<span style="font-size: small;"><span style="font-family: courier new,courier,monospace;"><br /></span></span></div>
pinkhttp://www.blogger.com/profile/06273115781979449593noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8638023715322892693.post-41916921326459576382013-10-26T15:19:00.000+07:002013-10-26T15:19:27.081+07:00พระพิฆเนศวร์ 32 ปาง<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
<div align="center" class="article-image">
<img alt="พระพิฆเนศ 32 ปาง" src="http://www.srichinda.com/article/art_172756.jpg" title="พระพิฆเนศ 32 ปาง" /></div>
<br />
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div align="center" class="entry-content editor-content clearfix">
<img alt="" border="0" src="http://backoffice.tarad.com/shop/s/srichinda_amulet/img-lib/payslip_20080429151713.jpg" /></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div align="center" class="entry-content editor-content clearfix">
<img alt="" border="0" src="http://backoffice.tarad.com/shop/s/srichinda_amulet/img-lib/payslip_20080429152214.jpg" /></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div align="center" class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<strong><span style="font-size: x-small;"><span style="color: #990000;">ปางที่ 1 : พระบาล คณปติ (Bala Ganapati)
</span>อวตารภาคเด็ก : ปางอันเป็นที่รักของทุกคนและเด็กๆ<br />"โอม ศรี บาลา
คณปติ ยะนะมะฮา" </span></strong></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">เป็นพระพิฆเนศในวัยเด็ก คลานอยู่กับพื้น
หรืออิริยาบทอื่นๆ เมื่อโตขึ้นจึงเปลี่ยนลักษณะ มีวรรณะสีแดงเข้มมี 4 กร
<br />บาลคณปติ หมายถึงสีทองของพระเจ้าทรง้นอ้อย มะม่วง กล้วย และขนุนทรงูกมะขวิด
แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ และภาวะการเจริญเติบโต </span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">นิยมบูชาในบ้านเรือน
หรือโรงเรียนที่มีเด็กเล็ก เด็กนักเรียน เช่น โรงเรียนอนุบาลและชั้นประถม
สถานรับเลี้ยงเด็ก สนามเด็กเล่น ฯลฯ
<br />-----------------------------------------------------------------------------------------</span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">
</span><div class="entry-content editor-content clearfix">
<table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0">
<tbody>
<tr>
<td id="TableLineBottomNoLine" style="padding: 5px 10px 5px 5px;"><img alt="" border="0" src="http://backoffice.tarad.com/shop/s/srichinda_amulet/img-lib/payslip_20080429152340.jpg" /></td></tr>
</tbody></table>
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
<br /></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<strong><span style="font-size: x-small;"><span style="color: #990000;">ปางที่ 2 : พระตรุณ คณปติ (Taruna Ganapati)</span>
<br />อวตารภาควัยหนุ่ม : ปางที่ให้คุณประโยชน์ในกิจการงาน<br />"โอม ศรี ตรุณะ คณปติ
ยะนะมะฮา"</span></strong></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">วรรณะสีแดงอมส้มเหมือนอาทิตย์ยามแรกอรุณ มี 8ทรงข้าว
ต้นอ้อย ตะบอง บ่วงบาศ งาหัก <br />ผลฝรั่ง ขนมโมทกะ และขนมอื่นๆ
ปางนี้เป็นตัวแทนการเจริญเติบโต ความเป็นหนุ่มสาว </span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">นิยมตั้งบูชาไว้ตามสถานศึกษา มหาวิทยาลัย
หรือสถานที่ทำงานที่เต็มไปด้วยคนหนุ่มสาววัยกระตือรือร้น
<br />-----------------------------------------------------------------------------------------</span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;"><strong><span style="font-size: x-small;"><span style="color: #990000;"><img alt="" border="0" src="http://backoffice.tarad.com/shop/s/srichinda_amulet/img-lib/payslip_20080429152451.jpg" /></span></span></strong></span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<strong><span style="font-size: x-small;"><span style="color: #990000;">ปางที่ 3 : พระภักติ คณปติ (Bhakti Ganapati)
</span>ปางบูชาขอพระเวท เพื่อความสมบูรณ์เติมเต็มของชีวิต<br />"โอม ศรี ภัคดี
คณปติ ยะนะมะฮา" </span></strong></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">วรรณะสีขาวบริสุทธิ์ดั่งพระจันทร์เต็มดวงในฤดูเก็บเกี่ยว
มี 4ทรงมะม่วง กล้วย ลูกมะพร้าว <br />และถ้วยข้าวปาส(ปรุงด้วยนมสด และข้าวสาร
มีรสหวาน) พระภัคติ คณปติ หมายถึงผู้ภักดีอย่างแท้จริง </span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">บูชาเพื่อความสุขสมหวังในชีวิต หรือเพื่อหลุดพ้น
<br />-----------------------------------------------------------------------------------------</span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;"><img alt="" border="0" src="http://backoffice.tarad.com/shop/s/srichinda_amulet/img-lib/payslip_20080429152921.jpg" /></span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<strong><span style="font-size: x-small;"><span style="color: #990000;">ปางที่ 4 : พระวีระ คณปติ (Veera Ganapati)
</span>อวตารแห่งนักรบ ปางออกศึก และปราบมาร ให้อำนาจในการบริหารปกครอง
และความเป็นผู้นำ<br />"โอม ศรี วีระ คณปติ ยะนะมะฮา</span></strong></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">วรรณะสีแดงโลหิต มี
16 กร ทรงอาวุธ และสิ่งมงคลต่างๆคือ โล่ หอก ค้อน คทา ธงชัย จักรตรา พญางู ขวาน
คันศร ลูกศร ตรีเพชร ขอสับช้าง อสูร กระบี่ ตะบอง และบ่วงบาศ
พระกรเหล่านั้นกางออกประดุจรัศมีอำนาจแห่งดวงอาทิตย์ </span> </div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">อำนวยผลให้กับองค์กรบริหารราชการแผ่นดิน ทหาร ตำรวจ
พลเรือน ฝ่ายปกครอง ผู้นำ ผู้บริหาร หัวหน้าหน่วยงานทุกประเภท
<br />-----------------------------------------------------------------------------------------</span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;"><img alt="" border="0" src="http://backoffice.tarad.com/shop/s/srichinda_amulet/img-lib/payslip_20080429151925.jpg" /></span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<strong><span style="font-size: x-small;"><span style="color: #990000;">ปางที่ 5 : พระศักติ คณปติ (Shakti Ganapati)
</span>ปางทรงอำนาจเหนือการงาน การเงิน และความรัก<br />"โอม ศรี ศักติ คณปติ
ยะนะมะฮา"</span></strong></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">วรรณะสีแป้งจันทร์
มี 4 กร ประทานพรทรงมาลัย บ่าวบาศ
และกรหนึ่งโอบพระชายาที่ประทับอยู่หน้าตักด้านซ้าย<br />รัศมีสีแดงส้ม
สื่อถึงพลังอำนาจที่อยู่เหนือสรรพสิ่ง </span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">อำนวยผลให้ชีวิตครอบครัวมีความสุข
และประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน
<br />-----------------------------------------------------------------------------------------</span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;"><img alt="" border="0" src="http://backoffice.tarad.com/shop/s/srichinda_amulet/img-lib/payslip_20080429152136.jpg" /></span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<strong><span style="font-size: x-small;"><span style="color: #990000;">ปางที่ 6 : พระทวิชา คณปติ (Dwija Ganapati)
</span>ปางของการบุกเบิก เริ่มต้นชีวิตใหม่ เปิดกิจการใหม่<br />"โอม ศรี ทวิชา
คณปติ ยะนะมะฮา"</span></strong></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">วรรณะสีขาวมี 4
เศียร 4ทรงลูกปะคำ ไม้ครู(หรือพลอง) กาน้ำ
และคัมภีร์<br />เป็นสัญลักษณ์แห่งการเกิดใหม่ ความพากเพียร และแสวงหาวิชาความรู้
</span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">อำนวยผลให้กับผู้ประกอบกิจการต่างๆ นักธุรกิจ นักลงทุน
นักสำรวจ นักบุกเบิก คนทำงานต่างแดน เป็นต้น
<br />-----------------------------------------------------------------------------------------</span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;"><img alt="" border="0" src="http://backoffice.tarad.com/shop/s/srichinda_amulet/img-lib/payslip_20080429153034.jpg" /></span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<strong><span style="font-size: x-small;"><span style="color: #990000;">ปางที่ 7 : พระสิทธิ คณปติ (Siddhi Ganapati)
</span>ปางประทานความสมบูรณ์ และทรัพย์สมบัติ<br />"โอม ศรี สิทธิ คณปติ
ยะนะมะฮา"</span></strong></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">วรรณะสีทองคำ มี
4ทรงช่อดอกไม้ มะม่วง ต้นอ้อย และขวาน ส่วนงวงนั้นชูขนม<br />คอยประทานความร่ำรวย
และความอุดมสมบูรณ์ให้กับโลก </span> </div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">อำนวยผลด้านทรัพย์สินเงินทอง และความอุดมสมบูรณ์
<br />-----------------------------------------------------------------------------------------</span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<strong><span style="font-size: x-small;"><span style="color: #990000;"><img alt="" border="0" src="http://backoffice.tarad.com/shop/s/srichinda_amulet/img-lib/payslip_20080429153708.jpg" /></span></span></strong></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<strong><span style="font-size: x-small;"><span style="color: #990000;">ปางที่ 8 : พระอุจฉิษฏะ คณปติ (Uchhishta Ganapati)
</span>ปางเสน่หา และความสำเร็จสมปรารถนา<br />"โอม ศรี อุจฉิษฏะ คณปติ
ยะนะมะฮา"</span></strong></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">วรรณะสีฟ้าเทาดุจเมฆา มี 6 กร
ประทับนั่งโดยพระกรหนึ่งโอบอุ้มศักติชายาอยู่ที่ตักด้านซ้าย<br />ส่วนพระกรอื่นถือลูกประคำ
ลูกทับทิม พิณ รวงข้าว และดอกบัว </span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">อำนวยผลให้เกิดเสน่ห์
และความสำเร็จในด้านต่างๆตามแต่จะขอพร
<br />-----------------------------------------------------------------------------------------</span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<strong><span style="font-size: x-small;"><span style="color: #990000;"><img alt="" border="0" src="http://backoffice.tarad.com/shop/s/srichinda_amulet/img-lib/payslip_20080429153953.jpg" /></span></span></strong></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<strong><span style="font-size: x-small;"><span style="color: #990000;">ปางที่ 9 : พระวิฆณา คณปติ (Vighna Ganapati)
</span>ปางขจัดอุปสรรค และแก้ไขปัญหา<br />"โอม ศรี วิฆนา คณปติ
ยะนะมะฮา"</span></strong></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">วรรณะสีทองคำ มี 8
กร ทรงมาลัย ขวาน ดอกไม้ จักรตรา หอยสังข์ ต้นอ้อย(เป็นคันศร) บ่วงบาศ
และตะบอง </span> </div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">อำนวยผลให้ประสบความสำเร็จทั่วไป ตามแต่จะอธิษฐาน
<br />-----------------------------------------------------------------------------------------</span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<strong><span style="font-size: x-small;"><span style="color: #990000;"><img alt="" border="0" src="http://backoffice.tarad.com/shop/s/srichinda_amulet/img-lib/payslip_20080429153744.jpg" /></span></span></strong></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<strong><span style="font-size: x-small;"><span style="color: #990000;">ปางที่ 10 : พระกษิประ คณปติ (Kshipra Ganapati)
</span>ปางประทานพรให้สำเร็จรวดเร็ว<br />"โอม ศรี กษิประ คณปติ
ยะนะมะฮา"</span></strong></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">วรรณะสีแดงเข้มดุจกุหลาบ มี 4 กร เป็นผู้ให้ศีลให้พร
ประทานพรให้เกิดผลสำเร็จอย่างรวดเร็ว<br />ทรงตะบอง งาหัก บ่วงบาศ และช่อดอกไม้
</span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">อำนวยผลให้ประสบความสำเร็จทั่วไป ตามแต่จะอธิษฐาน
<br />-----------------------------------------------------------------------------------------</span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<strong><span style="font-size: x-small;"><span style="color: #990000;"><img alt="" border="0" src="http://backoffice.tarad.com/shop/s/srichinda_amulet/img-lib/payslip_20080429154027.jpg" /></span></span></strong></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<strong><span style="font-size: x-small;"><span style="color: #990000;">ปางที่ 11 : พระเหรัมภะ คณปติ (Heramba Ganapati)
</span>ปางปกป้องคุ้มครอง<br />"โอม ศรี เหรัมภะ คณปติ
ยะนะมะฮา</span></strong></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">วรรณะสีขาว มี 5
เศียร 10 กร ประทับนั่งบนหลังสิงโต หมายถึง พลังอำนาจในการปกครองบริวาร
กางพระกรประดุจรัศมีคุ้มกันสรรพภัย พระหัตถ์ซ้ายประทานพร
พระหัตถ์ขวาอำนวยพรทรงมะม่วง ลูกประคำ ขนมโมทกะ งาหัก บ่วงบาศ ค้อน
ขวาน<br />และพวงมาลัย บูชาเพื่อขจัดความอ่อนแอ ไร้พลัง </span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">เป็นปางหนึ่งที่พระราชาในอินเดียนิยมบูชากันมาก
อำนวยผลด้านการปกป้องคุ้มครองบริวาร การบริหาร ปกครองของผู้นำ
<br />-----------------------------------------------------------------------------------------</span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<strong><span style="font-size: x-small;"><span style="color: #990000;"><img alt="" border="0" src="http://backoffice.tarad.com/shop/s/srichinda_amulet/img-lib/payslip_20080429154211.jpg" /></span></span></strong></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<strong><span style="font-size: x-small;"><span style="color: #990000;">ปางที่ 12 : พระมหา คณปติ (Maha Ganapati)
</span>ปางประทานความสุขอันยิ่งใหญ่ให้ครอบครัว<br />"โอม ศรี มหา คณปติ
ยะนะมะฮา</span></strong></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">วรรณะสีแดง มี 10 กร
3 เนตร ประดับจันทร์เสี้ยวบนมงกุฎปางนี้ทรงอุ้มชายา คือพระนางพุทธิ
และพระนางสิทธิไว้บนตักทั้งสองข้าง<br />(บางตำราว่าอุ้มองค์เดียว)ทรงโถใส่อัญมณี
รวงข้าว จักรตรา บ่วงบาศ ดอกลิลลี่ ต้นอ้อย (เป็นคันศร) ดอกบัว
และลูกทับทิมแดง </span> </div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">อำนวยผลให้ครอบครัวเกิดความสมบูรณ์พูนสุข มีทรัพย์สิน
และบริวารมาก
<br />-----------------------------------------------------------------------------------------</span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;"><strong><span style="color: #990000;"><img alt="" border="0" src="http://backoffice.tarad.com/shop/s/srichinda_amulet/img-lib/payslip_20080429154536.jpg" /></span></strong></span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;"><strong><span style="color: #990000;">ปางที่ 13 : พระวิชัย คณปติ (Vijaya Ganapati)
</span>ปางกำจัดอุปสรรค และความมืดมิด<br />"โอม ศรี วิชะยา คณปติ
ยะนะมะฮา"<br /></strong>วรรณะสีแดง มี 4 กร ประทับบนตัวหนู หมายถึงการทำลาย
ความมืดมิด<br />และอุปสรรคทั้งหลายให้หมดไปทรงะบอง ผลมะม่วง และบ่วงบาศ </span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">อำนวยผลทางปัญญาให้กับครูบาอาจารย์ ปัญญาชน ศิลปิน นักคิด
นักเขียน และช่างฝีมือทุกแขนง
<br />-----------------------------------------------------------------------------------------</span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<strong><span style="font-size: x-small;"><span style="color: #990000;"><img alt="" border="0" src="http://backoffice.tarad.com/shop/s/srichinda_amulet/img-lib/payslip_20080429154731.jpg" /></span></span></strong></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<strong><span style="font-size: x-small;"><span style="color: #990000;">ปางที่ 14 : พระลักษมี คณปติ (Lakshmi Ganapati)
</span>ปางแห่งความมั่งมีศรีสุข และปรีชาญาณ<br />"โอม ศรี ลักษมี คณปติ
ยะนะมะฮา</span></strong></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">วรรณะสีขาว มี 8 กร
เป็นเทพแห่งการให้ที่บริสุทธิ์ สีขาวหมายถึงการมีสติปัญญาสูงส่ง
พระหัตถ์ทั้งสองข้างโอบอุ้มพระชายา 1 หรือ 2 พระองค์ คือพระนางพุทธิ และพระนางสิทธิ
(บางตำราว่าหนึ่งในนั้นคือพระลักษมี จึงเรียกว่า ลักษมี คณปติ)<br />ทรงผลทับทิมแดง
ช่อกัลปพฤกษ์ นกแก้ว ตะบอง บ่วงบาศ โถใส่อัญมณี และกระบี่ </span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">อำนวยผลทางด้านสติปัญญา และความมั่งมีศรีสุข
<br />-----------------------------------------------------------------------------------------</span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<strong><span style="font-size: x-small;"><span style="color: #990000;"><img alt="" border="0" src="http://backoffice.tarad.com/shop/s/srichinda_amulet/img-lib/payslip_20080429155157.jpg" /></span></span></strong></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<strong><span style="font-size: x-small;"><span style="color: #990000;">ปางที่ 15 : พระนฤตยะ คณปติ (Nritya Gannapati)
</span>ปางนาฏศิลป์ เจ้าแห่งลีลาการร่ายรำ และศิลปะการแสดง<br />"โอม ศรี นฤตยะ
คณปติ ยะนะมะฮา"</span></strong> </div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">วรรณะสีเหลืองทอง มี
๔ กร เป็นนักเต้นร่ายรำระบำฟ้อน และเป็นนักแสดงที่สร้างความบันเทิง
และความสุขให้ชาวโลก ประทับยืนเข่าขวาเหยียบบนดอกบัวทรงะบอง บ่วงบาศ
และขวาน</span><br /> </div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">ควรตั้งบูชาในวิทยาลัยนาฏศิลป์ โรงเรียนสอนเต้นรำ
บัลเล่ต์ โยคะดัดตน โรงเรียนสอนการแสดง โรงละคร โรงถ่ายทำภาพยนตร์
และสถานบันเทิงต่างๆตามความเหมาะสม
<br />-----------------------------------------------------------------------------------------</span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<strong><span style="font-size: x-small;"><span style="color: #990000;"><img alt="" border="0" src="http://backoffice.tarad.com/shop/s/srichinda_amulet/img-lib/payslip_20080429154959.jpg" /></span></span></strong></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<strong><span style="font-size: x-small;"><span style="color: #990000;">ปางที่ 16 : พระอุทวะ คณปติ (Urdhva Ganapati)
</span>ปางช่วยให้สมปรารถนาในทุกสิ่ง<br />"โอม ศรี อุทวะ คณปติ
ยะนะมะฮา"</span></strong></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">วรรณะสีทอง มี 6 กร
พระกรข้างหนึ่งโอบพระชายาไว้บนตัก ด้านซ้ายทรงถือดอกบัว<br />คบเพลิง ช่อดอกไม้ งาหัก
ลูกศร คันศรทำจากต้นอ้อย และรวงข้าว </span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">ในนิกายตันตระ
นิยมบูชาปางนี้เพื่อประโยชน์ในการทำพิธีด้านเสน่ห์ อำนวยผลให้สมปรารถนาทุกประการ
<br />-----------------------------------------------------------------------------------------</span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<strong><span style="font-size: x-small;"><span style="color: #990000;"><img alt="" border="0" src="http://backoffice.tarad.com/shop/s/srichinda_amulet/img-lib/payslip_20080429154255.jpg" /></span></span></strong></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<strong><span style="font-size: x-small;"><span style="color: #990000;">ปางที่ 17 : พระเอกอักษรา คณปติ (Ekaakshara Ganapati)
</span>ปางทรงอำนาจด้านพระเวท<br />"โอม ศรี เอกา อักษรา คณปติ
ยะนะมะฮา"</span></strong></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">วรรณะสีแดง มี 4 กร
มีดวงตาที่สาม ประดับจันทร์เสี้ยวอยู่เหนือเศียร<br />กรหนึ่งประทานพรทรงะบอง บ่วงบาศ
และผลทับทิม ประทับเหนือพาหนะคือหนู </span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">อำนวยผลด้านป้องกันอาถรรพณ์ และคุณไสยสำหรับบุคคลทั่วไป
และผู้ร่ำเรียนด้านพระเวท หรือสรรพศาสตร์ด้านต่างๆ
<br />-----------------------------------------------------------------------------------------</span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<strong><span style="font-size: x-small;"><span style="color: #990000;"><img alt="" border="0" src="http://backoffice.tarad.com/shop/s/srichinda_amulet/img-lib/payslip_20080429155256.jpg" /></span></span></strong></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<strong><span style="font-size: x-small;"><span style="color: #990000;">ปางที่ 18 : พระวระ คณปติ (Vara Ganapati)
</span>ปางแห่งความรักที่สุขสมหวัง<br />"โอม ศรี วะระ คณปติ
ยะนะมะฮา"</span></strong></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">วรรณะสีแดง มี 4 กร
3 เนตร มีดวงตาที่สาม อันเป็นดวงตาแห่งสติปัญญา และมีจันทร์เสี้ยวประดับเหนือเศียร
กรหนึ่งโอบกอดชายาบนตักทรงชามขนม ตะบอง และบ่วงบาศ
ที่งวงชูโถใส่น้ำผึ้ง</span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">อำนวยผลให้สมหวังในความรัก ควรตั้งบูชาไว้ในร้านเสื้อผ้า
ร้านค้าที่เกี่ยวกับการสมรส การแต่งงาน และความรัก ฯลฯ
<br />-----------------------------------------------------------------------------------------</span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<strong><span style="font-size: x-small;"><span style="color: #990000;"><img alt="" border="0" src="http://backoffice.tarad.com/shop/s/srichinda_amulet/img-lib/payslip_20080429155721.jpg" /></span></span></strong></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<strong><span style="font-size: x-small;"><span style="color: #990000;">ปางที่ 19 : พระตรีอักษรา คณปติ (Tryakshara Ganapati)
</span>ปางกำเนิดอักขระโอม<br />"โอม ศรี ตรีอักษรา คณปติ
ยะนะมะฮา"</span></strong></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">วรรณะสีทอง มี
4ทรงะบอง บ่วงบาศ มะม่วง และมีขนมโมทกะอยู่ที่งวง </span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">อำนวยผลด้านการเรียนพระเวท และอักษรศาสตร์
<br />-----------------------------------------------------------------------------------------</span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<strong><span style="font-size: x-small;"><span style="color: #990000;"><img alt="" border="0" src="http://backoffice.tarad.com/shop/s/srichinda_amulet/img-lib/payslip_20080429154953.jpg" /></span></span></strong></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<strong><span style="font-size: x-small;"><span style="color: #990000;">ปางที่ 20 : พระกศิปะ ปรสัท คณปติ (Kshipra-Prasada Ganapati)
</span>ปางประทานทรัพย์ และความรอบรู้<br />"โอม ศรี กศิปะ ปรสัท คณปติ
ยะนะมะฮา"</span></strong></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">วรรณะสีแดง มี 6 กร
ท้องที่ใหญ่นั้นเป็นสัญลักษณ์ของจักรวาล หมายถึงความอุดมสมบูรณ์แห่งโภคทรัพย์
และความรอบรู้อันกว้างไกลทรง้นทับทิม ตะบอง บ่วงบาศ ดอกบัว และผลทับทิม </span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">เหมาะสำหรับตั้งบูชาในสถานศึกษา มหาวิทยาลัย
สถานอบรมวิชาชีพต่างๆ หรือบริษัทห้างร้านทั่วไป
<br />-----------------------------------------------------------------------------------------</span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<strong><span style="font-size: x-small;"><span style="color: #990000;"><img alt="" border="0" src="http://backoffice.tarad.com/shop/s/srichinda_amulet/img-lib/payslip_20080429160213.jpg" /></span></span></strong></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<strong><span style="font-size: x-small;"><span style="color: #990000;">ปางที่ 21 : พระหริทรา คณปติ (Haridra Ganapati)
</span>ปางรวยเสน่ห์ และรวยทรัพย์<br />"โอม ศรี หริทรา คณปติ
ยะนะมะฮา"</span></strong></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">วรรณะสีเนื้อ
หรือสีเหลืองอ่อน มี 3 เนตร 4ทรงะบอง บ่วงบาศ และขนมโมทกะ
ใช้อำนาจของบ่วงเพื่อร้อยรัดศรัทธาของผู้เลื่อมใส
และตะบองผลักดันให้ก้าวเดินไปข้างหน้า </span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">อำนวยผลให้ทุกคนที่อยากมีเสน่ห์ และร่ำรวย เช่น
ดารานักแสดง นักดนตรี นักร้อง ดีเจ พิธีกร หรือผู้ให้ความบันเทิงแก่ผู้ชม
ซึ่งต้องใช้พรสวรรค์ และเสน่ห์ส่วนตัว
<br />-----------------------------------------------------------------------------------------</span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<strong><span style="font-size: x-small;"><span style="color: #990000;"><img alt="" border="0" src="http://backoffice.tarad.com/shop/s/srichinda_amulet/img-lib/payslip_20080429155409.jpg" /></span></span></strong></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<strong><span style="font-size: x-small;"><span style="color: #990000;">ปางที่ 22 : พระเอกทันตะ คณปติ (Ekadanta Ganapati)
</span>ปางสำเร็จทุกสิ่ง<br />"โอม ศรี เอกทันตะ ปะระสัท คณปติ
ยะนะมะฮา"</span></strong><br /><span style="font-size: x-small;">วรรณะสีฟ้า มี
4ทรงขวาน (เพื่อใช้กำจัดอวิชา)ทรงลูกประคำ (เพื่ออธิษฐาน) ผลไม้
และงาข้างที่หัก<br />เอกทันตะหมายถึงเทพเจ้าผู้มีงาข้างเดียว </span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">อำนวยผลให้ประสบความสำเร็จทุกสิ่งตามแต่จะอธิษฐาน
<br />-----------------------------------------------------------------------------------------</span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<strong><span style="font-size: x-small;"><span style="color: #990000;"><img alt="" border="0" src="http://backoffice.tarad.com/shop/s/srichinda_amulet/img-lib/payslip_20080429160317.jpg" /></span></span></strong></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<strong><span style="font-size: x-small;"><span style="color: #990000;">ปางที่ 23 : พระสะริสติ คณปติ (Shrishti Ganapati)
</span>ปางออกเดินทาง และสร้างสรรค์สิ่งใหม่<br />"โอม ศรี สะริสติ ปะระสัท คณปติ
ยะนะมะฮา"</span></strong></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">วรรณะสีแดงส้ม มี 4
กร ขี่หนูเป็นพาหนะทรงะบอง มะม่วง และบ่วงบาศ </span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">อำนวยผลให้กับผู้ประกอบอาชีพด้านการเดินทางที่ไม่หยุดนิ่ง
เช่น นักบิน สจ๊วต แอร์โฮสเตส กัปตันเรือ มัคคุเทศก์
ผู้ทำงานด้านสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆไม่หยุดนิ่งเช่น นักคิด นักเขียน นักโฆษณา
นักออกแบบ เป็นต้น
<br />-----------------------------------------------------------------------------------------</span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;"><img alt="" border="0" src="http://backoffice.tarad.com/shop/s/srichinda_amulet/img-lib/payslip_20080429162414.jpg" /></span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<strong><span style="font-size: x-small;"><span style="color: #990000;">ปางที่ 24 : พระอุททันตะ คณปติ (Uddanda Ganapati)
</span>ปางกำจัดภูตผี และคุณไสย<br />"โอม ศรี อุททันตะ คณปติ
ยะนะมะฮา"</span></strong></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">วรรณะสีแดง มี
10ทรงโถใส่ขนม หรือน้ำผึ้ง ดอกบัว ดอกลิลลี่สีฟ้า คทา ต้นอ้อย กิ่งไม้ บ่วงบาศ
พวงมาลัย และผลทับทิม โดยใช้กรซ้ายโอบพระชายาอยู่ที่ตักด้านซ้าย </span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">อำนวยผลด้านขจัดทุกข์ภัย และอาถรรพณ์ต่างๆ
บันดาลให้ครอบครัวมีความสุข<br />-----------------------------------------------------------------------------------------</span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;"><img alt="" border="0" src="http://backoffice.tarad.com/shop/s/srichinda_amulet/img-lib/payslip_20080429163940.jpg" /></span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;"><strong><span style="color: #990000;">ปางที่ 25 : พระรีนาโมจัน คณปติ (Runamochana Ganapati)
</span>ปางแก้กรรม และขจัดหนี้สิน<br />"โอม ศรีโอมจัน คณปติ
ยะนะมะฮา"<br /></strong>วรรณะสีขาว มี 4 กร
มีหน้าที่ปลดปล่อยมนุษย์ออกจากพันธนาการ คำสาป<br />และความผิดพลาดทั้งหลายทรงะบอง
บ่วงบาศ และขนมโมทกะ </span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">เหมาะบูชาสำหรับผู้ต้องการเปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่ให้ดีขึ้น
(พลิกดวงชะตา) แก้ไขกรรมเก่า ปลดหนี้สิน ล้างมลทินทั้งปวง
<br />-----------------------------------------------------------------------------------------</span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">
</span><div class="entry-content editor-content clearfix">
<table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0">
<tbody>
<tr>
<td id="TableLineBottomNoLine" style="padding: 5px 10px 5px 5px;"><img alt="" border="0" src="http://backoffice.tarad.com/shop/s/srichinda_amulet/img-lib/payslip_20080429164151.jpg" /></td></tr>
</tbody></table>
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
<br /></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<strong><span style="font-size: x-small;"><span style="color: #990000;">ปางที่ 26 : พระตันติ คณปติ (Dhundhi Ganapati)
</span>ปางขุมทรัพย์ทางปัญญา<br />"โอม ศรี ตันติ คณปติ
ยะนะมะฮา"</span></strong></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">วรรณะสีแดง มี
๔ทรงูกประคำ ขวาน โถใส่อัญมณี ที่แสดงขุมทรัพย์ของผู้มีพุทธิปัญญา </span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">อำนวยผลให้กับผู้ทำงานด้านใช้ความคิด
ใช้ปัญญาสร้างสรรค์ทุกแขนง
<br />-----------------------------------------------------------------------------------------</span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">
</span><div class="entry-content editor-content clearfix">
<table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0">
<tbody>
<tr>
<td id="TableLineBottomNoLine" style="padding: 5px 10px 5px 5px;"><img alt="" border="0" src="http://backoffice.tarad.com/shop/s/srichinda_amulet/img-lib/payslip_20080429163341.jpg" /></td></tr>
</tbody></table>
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
<br /></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<strong><span style="font-size: x-small;"><span style="color: #990000;">ปางที่ 27 : พระทวิมุข คณปติ (Dwimukha Ganapati) </span>ปาง 2
เศียร<br />"โอม ศรี ทวิมุข คณปติ ยะนะมะฮา"</span></strong></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">วรรณะสีเนื้อ มี 2
เศียร 4ทรงะบอง บ่วงบาศ และโถอัญมณี
เป็นปางที่เป็นคนที่ปรับตัวได้กับทุกคนให้ทรัพย์มาก และขจัดอวิชา </span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">อำนวยผลให้กับผู้ทำงานด้านประชาสัมพันธ์ ด้านติดต่อเจรจา
ประสานงาน เป็นสื่อกลางต่างๆ นักการทูต นักจิตวิทยาที่ต้องใช้มนุษย์สัมพันธ์สูง
<br />-----------------------------------------------------------------------------------------</span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">
</span><div class="entry-content editor-content clearfix">
<table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0">
<tbody>
<tr>
<td id="TableLineBottomNoLine" style="padding: 5px 10px 5px 5px;"><img alt="" border="0" src="http://backoffice.tarad.com/shop/s/srichinda_amulet/img-lib/payslip_20080429164229.jpg" /></td></tr>
</tbody></table>
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
<br /></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;"><strong><span style="color: #990000;">ปางที่ 28 : พระตรีมุข คณปติ (Trimukha Ganapati) </span>ปาง 3
เศียร<br />"โอม ศรี ตรีมุข คณปติ ยะนะมะฮา"<br /></strong>วรรณะสีแดง หรือสีชมพูสด
มี 3 เศียร 6 กร สามเศียรหมายถึง ภพทั้งสาม (สวรรค์,โอมนุษย์,
บาดาล)<br />ปางหนึ่งประทับนั่งบนดอกบัว ทรงประทานพร
พระหัตถ์ขวาประทานอภัย<br />พระหัตถ์ซ้ายอำนวยพร กรอื่นๆทรงถือตะบอง ลูกปะคำ บ่วงบาศ
และโถใส่น้ำผึ้ง </span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">อำนวยผลทางด้านโภคทรัพย์ มีอำนาจ และแคล้วคลาดปลอดภัย
<br />-----------------------------------------------------------------------------------------</span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">
</span><div class="entry-content editor-content clearfix">
<table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0">
<tbody>
<tr>
<td id="TableLineBottomNoLine" style="padding: 5px 10px 5px 5px;"><img alt="" border="0" src="http://backoffice.tarad.com/shop/s/srichinda_amulet/img-lib/payslip_20080429165013.jpg" /></td></tr>
</tbody></table>
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
<br /></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<strong><span style="font-size: x-small;"><span style="color: #990000;">ปางที่ 29 : พระสิงหะ คณปติ (Sinha Ganapati)
</span>ปางประทับราชสีห์<br />"โอม ศรี สิงหะ คณปติ
ยะนะมะฮา"</span></strong></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">วรรณะสีขาว มี 8 กร
พระหัตถ์ขวาประทานอภัย พระหัตถ์ซ้ายอำนวยพรทรงช่อดอกไม้ ราชสีห์ พิณ ดอกบัว
โถอัญมณี ประทับบนสิงโต (คล้ายพระเหรัมภะคณปติ) หมายถึงพลังอำนาจในการปกครองบริวาร
ผิววรกายขาวเป็นสัญลักษณ์ของพลังบริสุทธิ์ หรือการหลุดพ้น </span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">การอำนวยผลและสถานที่สำหรับตั้งบูชา เป็นดุจเดียวกับ
พระเหรัมภะคณปติ และพระวีรคณปติ คืออำนวยผลให้กับองค์กรบริหารราชการแผ่นดิน ทหาร
ตำรวจ พลเรือน ฝ่ายปกครอง ผู้นำ ผู้บริหาร หัวหน้าหน่วยงานทุกประเภท
<br />-----------------------------------------------------------------------------------------</span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">
</span><div class="entry-content editor-content clearfix">
<table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0">
<tbody>
<tr>
<td id="TableLineBottomNoLine" style="padding: 5px 10px 5px 5px;"><img alt="" border="0" src="http://backoffice.tarad.com/shop/s/srichinda_amulet/img-lib/payslip_20080429164059.jpg" /></td></tr>
</tbody></table>
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
<br /></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<strong><span style="font-size: x-small;"><span style="color: #990000;">ปางที่ 30 : พระโยคะ คณปติ (Yoga Ganapati) </span>ปางแห่งพระเวท
หรือปางสมาธิกรรมฐาน<br />"โอม ศรี โยคะ คณปติ ยะนะมะฮา"</span></strong></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">วรรณะสีทองคำ มี
4ทรงูกประคำ ต้นอ้อย บ่วงบาศ และขอสับช้าง เป็นปางแห่งพระเวท
และการรักษาโรคภัยต่างๆ </span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">อำนวยผลให้กับผู้เป็นอาจารย์
และนักศึกษาโยคะสมาธิแบบต่างๆ เหมาะสำหรับตั้งบูชาไว้ในสถานศึกษา<br />หรือบูชาไว้ใน
เทวสถาน เทวาลัย โรงเรียนสอนศาสนาฮินดู ห้องพระ ห้องปฏิบัติธรรมภายในบ้าน เป็นต้น
<br />-----------------------------------------------------------------------------------------</span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">
</span><div class="entry-content editor-content clearfix">
<table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0">
<tbody>
<tr>
<td id="TableLineBottomNoLine" style="padding: 5px 10px 5px 5px;"><img alt="" border="0" src="http://backoffice.tarad.com/shop/s/srichinda_amulet/img-lib/payslip_20080429165018.jpg" /></td></tr>
</tbody></table>
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
<br /></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<strong><span style="font-size: x-small;"><span style="color: #990000;">ปางที่ 31 : พระทุรคา คณปติ (Durga Ganapati)
</span>ปางมหาอำนาจ<br />"โอม ศรี ทุรคา คณปติ ยะนะมะฮา"</span></strong></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">วรรณะสีทอง มี
8ทรงะบอง คันศร ลูกศร บ่วงบาศ ธงชัย ลูกประคำ และขนมโมทกะ </span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">เป็นปางที่พระราชาในชมพูทวีปนิยมสักการบูชามากปางหนึ่ง<br />อำนวยผลดีต่อผู้มีหน้าที่ราชการ
ทหาร ตำรวจ ข้าราชการ ฝ่ายปกครอง ผู้บริหาร หัวหน้าหน่วยงานทุกระดับ
<br />-----------------------------------------------------------------------------------------</span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">
</span><div class="entry-content editor-content clearfix">
<table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0">
<tbody>
<tr>
<td id="TableLineBottomNoLine" style="padding: 5px 10px 5px 5px;"><img alt="" border="0" src="http://backoffice.tarad.com/shop/s/srichinda_amulet/img-lib/payslip_20080429165525.jpg" /></td></tr>
</tbody></table>
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
<br /></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<strong><span style="font-size: x-small;"><span style="color: #990000;">ปางที่ 32 : พระสังกตะหะรา คณปติ (Sankatahara Ganapati)
</span>ปางทำลายอุปสรรค และความเศร้าหมอง<br />"โอม ศรี สังกตะ หะรา คณปติ
ยะนะมะฮา"</span></strong></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">วรรณะสีแดงส้ม มี 4
กร ประทับนั่งบนดอกบัวสีแดง พระหัตถ์ขวาอำนวยพร<br />พระหัตถ์ซ้ายโอบชายาบนตักซ้าย
ส่วนกรอื่นทรงถือชามขนม ตะบอง และบ่วงบาศ </span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix">
</div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;">อำนวยผลให้ครอบครัวมีความสุข หรือประสบความสำเร็จ
ตามแต่จะอธิษฐาน</span></div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: center;">
<span style="font-size: x-small;"></span> </div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: left;">
<span style="font-size: x-small;"></span> </div>
<div class="entry-content editor-content clearfix" style="text-align: left;">
<span style="font-size: x-small;">ขอขอบพระคุณ แหล่งข้อมูลจาก <a href="http://www.srichinda.com/index.php?mo=3&art=172756">http://www.srichinda.com/index.php?mo=3&art=172756</a></span></div>
</div>
</div>
</div>
</div>
</div>
</div>
</div>
</div>
</div>
pinkhttp://www.blogger.com/profile/06273115781979449593noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8638023715322892693.post-47676248763710779852013-10-26T15:14:00.001+07:002013-10-26T15:14:02.697+07:00พระราชประวัติองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช (ร.9) โดยย่อ<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
<strong><span style="font-size: large;">พระราชประวัติ</span></strong> <br />
<div class="article-content">
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหิตลาธิเบศร รามาธิบดี จักรีนฤบดินทรสยามินทราธิราชบรมนาถบพิตรเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙ สืบแทนสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล ซึ่งเสด็จสู่สวรรคาลัยโดยกะทันหัน <br />
<table align="center" border="0" cellpadding="2" cellspacing="2"><tbody>
<tr valign="top"><td><img alt="King 001" border="0" src="http://www.belovedking.com/images/stories/his001.jpg" /></td><td><img alt="King 002" border="0" src="http://www.belovedking.com/images/stories/his002.jpg" /></td><td><img alt="King 003" border="0" src="http://www.belovedking.com/images/stories/his003.jpg" /></td></tr>
</tbody></table>
<br />
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชสมภพ เมื่อวันจันทร์ ขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะ จุลศักราช ๑๒๘๙ รัตนโกสินทร์ศก ๑๔๖ ตรงกับวันที่ ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๗๐ ณ โรงพยาบาลเมานท์ ออเบิร์น (Mount Auburn) เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสสาชูเซทท์ สหรัฐอเมริกา ซึ่งสมเด็จพระบรมราชชนกได้ทรงศึกษาวิชาแพทย์อยู่ทรงเป็นพระโอรสองค์ที่ ๓ พระนามเดิมว่า “พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูมิพลอดุลเดช” ต่อมาในปีพุทธศักราช ๒๔๗๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนพระฐานันดรศักดิ์เป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระเชษฐภคินี ๑ พระองค์ และสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช ๑ พระองค์ มีพระนามเดิมและพระอิสริยยศต่อมาตามลำดับ ดังนี้ <br />
<br />
หม่อมเจ้าหญิงกัลยาณิวัฒนา ประสูติเมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๖๖ ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ทรงได้รับการสถาปนาเป็น พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและทรงได้รับการสถาปนาพระฐานันดรศักดิ์ เมื่อพุทธศักราช ๒๔๗๘ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เป็นสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา <br />
<br />
ต่อมาปีพุทธศักราช ๒๕๓๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา ให้ทรงมีพระยศทรงกรมว่า กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ หม่อมเจ้าอานันทมหิดล ประสูติเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน พุทธศักราช ๒๔๖๘ ณ เมืองไฮเดลเบิร์ก ประเทศเยอรมนี ทรงได้รับการสถาปนาเป็นพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
<br />
เมื่อวันที่ ๒ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๗๗ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัติ รัฐบาลจึงได้ทูลเชิญพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอานันทมหิดล เสด็จขึ้นครองราชย์สืบสันตติวงศ์เป็น พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๘ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ เมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๔๗๘ ทรงพระปรมาภิไธยว่า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล เสด็จสวรรคตโดยกะทันหัน เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙ ณ พระที่นั่งบรมพิมาน ในพระบรมมหาราชวัง <br />
<table align="center" border="0" cellpadding="2" cellspacing="2"><tbody>
<tr valign="top"><td><img alt="King 004" border="0" src="http://www.belovedking.com/images/stories/his013.jpg" /></td><td><img alt="King" border="0" src="http://www.belovedking.com/images/stories/his007.jpg" /></td><td><img alt="King" border="0" src="http://www.belovedking.com/images/stories/his009.jpg" /></td><td><img alt="King" border="0" src="http://www.belovedking.com/images/stories/his008.jpg" /></td></tr>
</tbody></table>
<br />
สมเด็จพระบรมราชชนกและสมเด็จพระบรมราชชนนี ทรงพระนามว่า สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม <br />
<br />
<strong>พระบรมราชชนก และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี</strong><br />
สมเด็จพระบรมราชชนก ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี ทรงพระนามเดิมว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช ทรงได้รับการสถาปนามีพระยศทรงกรมว่า กรมหลวงสงขลานครินทร์ ได้เสด็จทรงศึกษาวิชาการแพทย์ ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา และ ทรงสำเร็จวิชา แพทยศาสตรบัณฑิตเกียรตินิยม จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด <br />
<br />
สมเด็จพระบรมราชชนนีทรงสำเร็จการศึกษาวิชาการพยาบาลจากโรงเรียนแพทย์ผดุงครรภ์และหญิงพยาบาลแห่งศิริราช เมื่อพุทธศักราช ๒๔๕๙ ต่อจากนั้นทรงได้รับทุนการศึกษาของสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ไปทรงเรียนวิชาพยาบาลเพิ่มเติมที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อพุทธศักราช ๒๔๖๐ ทรงอภิเษกสมรสกับสมเด็จพระบรมราชชนก ขณะดำรงพระยศ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ เมื่อพุทธศักราช ๒๔๖๓ <br />
<br />
เดือนธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๗๑ ขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระชนมพรรษาได้ ๑ พรรษา สมเด็จพระบรมราชชนกและสมเด็จพระบรมราชชนนี ทรงสำเร็จการศึกษาและเสด็จกลับประเทศไทย ครั้งนั้นได้ประทับที่วังสระปทุม ซึ่งเป็นที่ประทับของสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า <br />
<br />
อีกหนึ่งปีต่อมาในเดือนพฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๗๒ สมเด็จพระบรมราชชน ทรงพระประชวร และสิ้นพระชนม์ เมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน ในปีเดียวกัน เมื่อทรงพระเยาว์ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงรับพระราชภาระแห่งความเป็นแม่อย่างใหญ่หลวง เพราะ ต้องทรงอภิบาลพระโอรสธิดาองค์น้อยๆ โดยลำพังถึง ๓ พระองค์ และที่นับว่าเป็นพระราชภาระที่หนักยิ่งกว่าภาระของแม่ใดๆ ก็เพราะว่าพระโอรสธิดาที่ทรงอภิบาลรับผิดชอบนั้นต่อมาเป็นพระประมุขของประเทศถึง ๒ พระองค์ เพราะฉะนั้น การอภิบาลรักษาและการถวายการอบรมสั่งสอน จึงมีความยากและมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด <br />
<br />
พระราชจริยาวัตรในเชิงสร้างสรรค์ที่สำคัญประการหนึ่ง คือ สมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี ทรงสอนพระโอรสธิดา ให้เรียนรู้เรื่องแผนที่และการใช้แผนที่ กล่าวคือ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้โรงเรียนเพาะช่างในสมัยนั้นจัดทำแผนที่ประเทศไทยโดยผลิตเป็นรูปตัวต่อ เลื่อยเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กๆ มีกล่องไม้พร้อมฝาปิดเปิดสำหรับใส่เพื่อให้พระโอรสธิดาทั้ง ๓ พระองค์ ทรงเล่นเป็นเกมส์สนุกคล้ายการต่อรูปต่างๆ เป็นการสอนให้รู้จักประเทศไทย และรู้จักการดูการใช้แผนที่ไปพร้อมๆ กัน จึงกล่าวได้ว่าพระราชดำริสร้างสรรค์เหล่านี้ ประกอบกับคุณธรรมอีกหลายประการได้มีบทบาทอย่างใหญ่หลวงต่อการที่ทรงอภิบาลและฝึกสอนพระโอรสธิดา ดังจะเห็นได้ว่าพระราชอัธยาศัยและพระราชจริยาวัตรอันงดงามหลายประการในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีได้ส่งผล ไปถึงพระราชอัธยาศัยและพระราชจริยาวัตรของพระโอรสธิดา อาทิ พระราชอัธยาศัยโปรดการถ่ายรูปและถ่ายภาพยนตร์ ได้สืบทอดมายังพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างครบถ้วน ดังจะเคยได้เห็นการเสด็จพระราชดำเนินไปยังสถานที่ใดจะทรงมีสิ่งของประจำพระองค์ คือ ทรงมีแผนที่ กล้องถ่ายรูป และดินสอที่มียางลบด้วย เวลาทรงงานจะทรงใช้ยางลบเสมอ เมื่อทรงพบเห็นอะไรก็จะทรงขีดเขียนบนแผนที่เช่น เดียวกับพระบรมราชชนนีที่ทรงกระทำมาก่อน บางครั้งจะทรงพบว่า ณ จุดทรงงานนั้นเป็นสถานที่บนภูเขาแต่ตามระวางของกรมแผนที่ระบุไว้ว่าเป็นธารน้ำ จึงดูคล้ายกับน้ำไหลขึ้นสูง และได้พระราชทานข้อสังเกตนี้แก่กรมแผนที่ซึ่งกรมแผนที่ได้สำรวจใหม่จึงพบว่าเป็นเรื่องผิดพลาดของเจ้าหน้าที่เอง กลายเป็นน้ำไหลกลับขึ้นที่สูง จากนั้นกรมแผนที่ได้เขียนเป็นเอกสารถวายสดุดีเฉลิมพระเกียรติว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นนักแผนที่ผู้ชำนาญพระองค์หนึ่งด้วย <br />
<br />
พุทธศักราช ๒๔๗๕ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ ๕ พรรษา ได้เสด็จทรงเข้าศึกษาในโรงเรียนมาแตร์เดอี กรุงเทพมหานคร เป็นเวลา ๑ ปี หลังจากนั้นได้เสด็จไปประทับ ณ เมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ และสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช ทั้งนี้เนื่องจากสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชไม่ทรงแข็งแรง จำเป็นต้องประทับในสถานที่ซึ่งอากาศดีและไม่ชื้นพลเอก สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร พระปิตุลา ทรงแนะนำให้เสด็จไปประทับที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พระองค์ได้ทรงเข้าศึกษาชั้นประถมศึกษา ณ โรงเรียนเอกอลเมียร์มองต์ (Ecole Mieremont) เมืองโลซานน์ พร้อมด้วยพระเชษฐภคินีและสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช เมื่อจบชั้นประถมศึกษาแล้ว ก็ทรงเข้าศึกษาชั้นมัธยมศึกษา ณ โรงเรียนเอกอล นูแวล เดอ ลาซืออิส โรมองด์ (Ecole Nouvelle de la Suisse Romande) เมืองแชลลี ซูร โลซานน์ (Chailly-sur-Lausanne) <br />
<table align="center" border="0" cellpadding="2" cellspacing="2"><tbody>
<tr valign="top"><td><img alt="King" border="0" src="http://www.belovedking.com/images/stories/his005.jpg" /></td><td><img alt="King" border="0" src="http://www.belovedking.com/images/stories/his015.jpg" /></td><td><img alt="King" border="0" src="http://www.belovedking.com/images/stories/his014.jpg" /></td></tr>
</tbody></table>
พุทธศักราช ๒๔๘๑ ทรงจบการศึกษาจากโรงเรียนยิมนาส คลาสสิค กังโตนาล (Gymnase Classique Cantonal) แห่งเมืองโลซานน์ ทรงได้รับประกาศนียบัตรทางอักษรศาสตร์ แล้วทรงเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยโลซานน์ แผนกวิทยาศาสตร์ เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๘๘ ได้เสด็จนิวัตประเทศไทยเป็นครั้งที่ ๒ โดยเสด็จ สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช หลังจากเคยเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไทยชั่วคราวครั้งที่ ๑ เมื่อพุทธศักราช ๒๔๘๑ ครั้งหลังนี้ได้เสด็จประทับ ณ พระที่นั่งบรมพิมาน ในพระบรมมหาราชวังจนกระทั่งถึงวันที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช เสด็จสวรรคตโดยกะทันหัน คณะรัฐบาลไทยในขณะนั้นได้กราบบังคมทูลอัญเชิญ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดชเสด็จขึ้นครองราชย์สืบสันตติวงศ์ต่อจากสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชในวันเดียวกัน <br />
เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังทรงมีพระราชภารกิจในการศึกษาต่อ จึงได้เสด็จพระราชดำเนินกลับประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในเดือนมิถุนายนของปีนั้นรวมเวลาที่เสด็จประทับในประเทศไทยได้ ๖ เดือน ในการทรงศึกษาต่อครั้งนี้ ทรงเลือกเรียนวิชารัฐศาสตร์และนิติศาสตร์แทนวิชาวิทยาศาสตร์ที่ทรงศึกษาอยู่แต่เดิมก่อนเสด็จนิวัตประเทศไทย <br />
เมื่อวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๔๙๒ได้ทรงหมั้นหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ธิดาองค์ใหญ่ของหม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากร ผู้ซึ่ง ต่อมา เมื่อพุทธศักราช ๒๔๙๓ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯสถาปนาพระอิสริยยศขึ้นเป็น พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้านักขัตรมงคลและในพุทธศักราช ๒๔๙๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯสถาปนาขึ้นเป็นพระองค์เจ้าต่างกรมมีพระนามว่า พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ <br />
<br />
พุทธศักราช ๒๔๙๓ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินนิวัตประเทศไทยประทับ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลในเดือนมีนาคม ปีเดียวกัน วันที่ ๒๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๙๓ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ณ พระตำหนักสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ณ วังสระปทุม มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ สถาปนาหม่อมราชวงศ์สิริกิต กิติยากร ขึ้นเป็น สมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ และเป็น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในเดือนต่อมา<br />
<br />
ขอบพระคุณ แหล่งข้อมูลจาก<br />
<a href="http://www.belovedking.com/index.php/2008-10-30-01-59-59.html">http://www.belovedking.com/index.php/2008-10-30-01-59-59.html</a></div>
</div>
pinkhttp://www.blogger.com/profile/06273115781979449593noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-8638023715322892693.post-86748725251006950722013-10-26T15:05:00.000+07:002013-10-26T15:05:26.866+07:00ประวัติพระนางมณีจันทร์<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
<span style="font-size: large;"><strong>พระองค์หญิงมณีจันทร์</strong></span><br />
<br />ถ้าย้อนกลับไปยุคนั้นได้...ทำไม..ใคร ๆ ก็รุมเกลียดมณีจันทร์ เพราะว่ายังไงดีนะ ก้อ..พระองค์หญิงผู้นี้เป็นใคร มาจากไหน... เป็นมอญแท้ ๆ เป็นคนนอกแผ่นดินที่มาครองหัวใจพระองค์ท่าน..มหาบุรุษชาตินักรบ..สมเด็จนเรศวรมหาราช.. แล้วอย่างนี้จะไม่ให้อิสตรีในแผ่นดินนี้รุมเกลียดได้ยังไงกัน แต่ในชาตินี้มีแต่คนอยากชื่อมณีจันทร์...เฮ้ยคนหนอคน<br />
<br />.พระองค์หญิงมณีจันทร์ผู้นี้...ในพระชนม์ชีพของพระองค์ท่านมีแต่ความทุกข์ยากลำบากแสนเข็ญ พระชตาชีวิตมิได้มีความแตกต่างกับองค์สมเด็จนเรศวรและพระพี่นางพระสุพรรณกัลยาเลย จะแตกต่างกันตรงความเป็นอิสระเท่านั้น แต่ก็สูญเสียแผ่นดินเช่นกัน<br />มณีจันทร์...เป็นพระธิดาองค์โตของกษัตริย์เจ้ามอญ มีน้องร่วมพระมารดาเดียวกันสองพระองค์ คือน้องหญิงอายุประมาณ 12 ขวบ น้องชายอายุประมาณ 9 ขวบ แต่น้องทั้งสองของพระองค์ท่านก็สิ้นชีวิตเพราะสงครามที่พม่ารุกรานแย่งชิงเมือง ส่วนพระมารดานั้นท่านเป็นเหมือนคนสองสัญชาติหรือลูกครึ่งมอญกับฮอลันดาหรืออาจจะโปรตุเกต เพราะท่านมีผิวพรรณวรรณะเหมือนลูกครึ่งฝรั่ง ผิวขาวอมชมพูสวยมาก แต่ก็สิ้นพระชนม์ตั้งแต่อายุประมาณสี่สิบกว่าเท่านั้นพร้อมพระธิดาและพระโอรสเพราะการเกิดสงครามนั้น พระองค์หญิงมณีจันทร์จึงเป็นธิดาที่ติดตามพระบิดาไปอยู่ยังเมาะลำเลิง ซึ่งการติดตามไปนั้นพระองค์ท่านอายุไล่เรียงกับสมเด็จนเรศวร คือประมาณ 14-15 ปีเท่านั้น<br />พระองค์หญิงมณีจันทร์นั้น แท้จริงแล้วใครจะรู้ว่า พระองค์ท่านเป็นอิสตรีที่ถูกฝึกสอนอาวุธจากพระราชบิดาคือกษัตริย์เจ้ามอญ พร้อมด้วยคณาจารย์ทางด้านการรบ รวมถึงสมเด็จพระมหาเถรคันฉ่องสังฆราชของเจ้ามอญที่บังคับพระองค์ท่านฝึกเรียนทางด้านกรรมฐาน โดยเฉพาะวิชาอิทธิฤทธิ์ทั้งหลาย<br />พระองค์หญิงถูกฝึกการรบทุกชนิด ไม่ว่าจะโหดร้ายแค่ไหนพระองค์ท่านก็ต้องทำ เมื่อกษัตริย์เจ้ามอญและนักรบมอญทั้งหลายออกรบนั้น พระองค์หญิงต้องปลอมตัวเป็นบุรุษชาติอาชาไนย ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับกษัตริย์เจ้ามอญพร้อมด้วยแม่ทัพนายกองมอญและเหล่าทหารของแผ่นดินมอญ ความชาญฉลาดของพระนางนั้นหาใครเปรียบได้ยากยิ่ง ทรงกำหนดพิธีการรบให้และแผนที่เดินทัพให้กองทัพมอญ รวมถึงวิธีการรบที่เรียกว่า สงครามกองโจร หน่วยจู่โจมม้าเร็วนั้นก็มาจากแผนการรบที่ทรงวางไว้ให้กับมอญเช่นกัน<br />
<br />องค์สมเด็จนเรศวรฯ นั้นพระองค์ท่านทรงผิดสังเกตุตลอดเวลาที่เจอกองทัพมอญ เจ้าทหารมอญ(มณีจันทร์)ผู้นี้ทำไมถึงตัวเล็กนิดเดียว แถมร่วมรบทีไรก็ใช้เขม่าควันไฟทาหน้าจนดำปี๊ดปี๋ บางครั้งก็เอาผ้าโพกหัวพันหน้าจนเห็นแต่ดวงตา บางครั้งใบหน้านั้นก็สวยหวาน แต่บางครั้งก็ดูผิดแผกจากทหารทั่ว ๆ ไป แถมเมื่อศึกประชิดตัวทีไรทหารฝ่ายมอญก็ช่วยห้อมล้อมกันท่าพาหนีรอดทุกครั้ง ผิดสังเกตุจนพระองค์ท่านตั้งพระทัยไว้ว่าสักวันหนึ่งถ้าโอกาสมาถึง จะต้องจับตัวทหารมอญผู้นี้ให้ได้ จะได้คาดคั้นเอาความจริงว่า เป็นบุคคลสำคัญเช่นไรในกองทัพมอญ จึงได้รับการอารักขาเป็นพิเศษจากทหารฝ่ายมอญ<br />
<br />ความสงสัยบังเกิดขึ้นในใจขององค์สมเด็จนเรศวรฯ ตลอดเวลามา แต่โอกาสยังมาไม่ถึง จนวันหนึ่งเมื่อเหตุจะเกิด..พระองค์ท่านพาทหารออกลาดตระเวณ ในขณะเดียวกันทหารมอญพร้อมด้วยพระองค์หญิงมณีจันทร์ที่ปลอมเป็นนักรบชายก็ออกลาดตระเวณเช่นกัน องค์สมเด็จนเรศวรนั้นทรงรู้ว่าโอกาสอันดีของพระองค์ท่านมาถึงแล้ว จึงให้กองลาดตระเวณของพระองค์ท่านช่วยโอบล้อมเหล่าทหารมอญพร้อมพระองค์หญิง และกล่าวคำท้าไปยังทหารมอญผู้นั้นผู้เดียวเพื่อประดาบประลองฝีมือกัน<br />ส่วนพระองค์หญิงมณีจันทร์นั้นไม่อยากรับคำท้า เพราะพระองค์ตรองดูแล้วมีแต่จะเสียเปรียบ ถ้าชนะก็รอดตัวไป ถ้าแพ้ถูกจับได้ความลับ ใหญ่หลวงของพระองค์ท่านก็จะต้องถูกเปิดเผย แต่ไม่รับก็ไม่ได้เพราะถูกโอบล้อมไว้หมดแล้ว การชิงชัยกันเป็นไปด้วยความดุเดือด ไม่มีใครยอมรามือให้ใคร เพียงเพราะฝ่ายหนึ่งต้องการเปิดเผยความลับแต่อีกฝ่ายต้องการปกปิดความลับไว้ แต่ในที่สุดพระองค์หญิงก็ต้องพ่ายแพ้แก่องค์สมเด็จนเรศวรท่านด้วยกำลังของชายชาตินักรบ พระองค์หญิงถูกจับและถูกคาดคั้นเอาความจริง<br />
<br />มิมีวาจาใด ๆ หลุดออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์หญิงท่าน สมเด็จนเรศวรทรงกริ้วยิ่งนักที่ไม่สามารถบังคับทหารมอญผู้นี้ได้ จึงได้ออกคำสั่งให้ทหารถอดผ้าคลุมศรีษะที่พันใบหน้านั้นออก สิ่งที่ปรากฏต่อสายพระเนตรของพระองค์ท่าน คืออิสตรีที่ปลอมแปลงพระองค์เป็นบุรุษชาติอาชาไนย ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับทหารมอญทั้งหลายเพื่อกอบกู้แผ่นดินมอญ พระองค์ท่านทรงได้แต่ตะลึง เปล่งพระวาจาได้เพียงว่า "ทำไมถึงกล้าหาญชาญชัยเยี่ยงนี้" ความรักความพึงพอใจจึงเกิดขึ้นในพระทัยของพระองค์ท่าน คงเพราะทรงเกิดมาเพื่อกันและกัน ชตาชีวิตของทั้งสองพระองค์มิได้แตกต่างกันเลย ความทุกข์ยากในน้ำพระทัยทั้งหลายมีท่วมท้นเสมอเหมือนกัน ทรงถูกยึดครองแผ่นดินเหมือนกัน ทรงตกระกำลำบากระหกระเหินระเหเร่ร่อนเหมือนนกไร้รังไม่แตกต่างกันเลย ผู้หนึ่งสิ้นชาติสิ้นแผ่นดินและต้องตกไปเป็นเชลยศักดิ์ อิสตรีผู้หนึ่งสิ้นชาติสิ้นแผ่นดินจนไร้ที่อยู่เหมือนหงส์ไร้รัง ความทุกข์ยากในน้ำพระทัยไม่แตกต่างกันเลย ชีวิตจะมีความหมายอะไรเมื่อบัลลังก์ถูกกดขี่ยึดครอง ข้าคนอาณาประชาราษฏร์ต่างได้ร้อนนอนทุกข์จากการรุกรานของพม่า ความสัมพันธ์ของอโยธยาและมอญจึงเริ่มต้นตั้งแต่บัดนั้น<br />"กุหลาบเมาะลำเลิง"<br />
<br />องค์สมเด็จนเรศวรนั้น ทรงขอเข้าเฝ้ากษัตริย์เจ้ามอญเป็นการส่วนพระองค์ ทรงทูลขอพระธิดา พระองค์หญิงมณีจันทร์จากกษัตริย์เจ้ามอญ พระองค์ท่านไม่พึงประสงค์จะยกให้ แต่เมื่อตรองดูแล้วการยกพระธิดาให้แด่องค์สมเด็จนเรศวรนั้น ดีกว่าให้พระธิดาต้องตกไปเป็นสนมของกษัตริย์องค์อื่นเป็นไหน ๆ พระองค์จึงทรงตัดสินพระทัยยกพระธิดาให้แด่องค์สมเด็จนเรศวรท่าน ความรักความสัมพันธ์ของสองแผ่นดินจึงปรากฏขึ้นนับแต่เวลานั้น<br />
<br />พระองค์หญิงมณีจันทร์จึงถูกส่งไปอยู่กับพระพี่นางเพื่อฝึกหัดเรียนรู้ธรรมเนียมประเพณีของสยามประเทศ ซึ่งที่พระองค์ได้ไปอยู่นั้นถูกเรียกว่า "พระตำหนักนอก" เป็นตำหนักเรือนไทยอยุธยาที่ปลูกเรียงกันเป็นแถว เป็นตำหนักที่ปลูกไว้สำหรับเจ้านางทางฝ่ายอยุธยาที่ถูกขอตัวไป ที่พระตำหนักนอกนี้เป็นเรือนไทยใต้ถุนสูงประมาณ 1 เมตร 20 เซนต์ หน้าเรือนไทยมีระเบียงกว้าง ตัวระเบียงมีทางเดินรอบ ตัวเรือนทาสีเหลืองทองทั้งหลังเหมือนสีแป้งผงขมิ้นของพม่าที่เรียกว่า ตะนาคา เหตุที่เรียกว่า พระตำหนักนอกนั้น ทั้งนี้เพราะถูกปลูกอยู่นอกวังหลวง เป็นที่จัดไว้ให้สำหรับเจ้านางฝ่ายอยุธยา ที่พระตำหนักนี้พระองค์หญิงมณีจันทร์ทรงแต่งพระวรกายเป็นสตรี แต่ไม่ทรงพระยศและเครื่องยศของเจ้าหญิงมอญ ทั้งนี้เพราะทางพม่าไม่มีใครล่วงรู้ความลับนี้ เมื่อพระองค์ท่านแต่งกายเป็นหญิง เป็นอิสตรีเต็มตัวนั้น ทรงงามมาก ผิวพรรณขาวอมชมพู พระพักตร์สวยมาก รูปร่างสมส่วน องค์สมเด็จนเรศวรจึงทรงเรียกขานพระองค์หญิงว่าทรงเป็น "กุหลาบเมาะลำเลิง" นั่นจึงเป็นที่มาของพระนามนี้ เพราะทรงเป็นพระองค์หญิงที่พลัดถิ่นไปอาศัยอยู่ยังเมาะลำเลิง<br />
<br />
ขอขอบพระคุณข้อมูลจาก<br />
<a href="http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=2f7955ed9ce81625">http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=2f7955ed9ce81625</a></div>
pinkhttp://www.blogger.com/profile/06273115781979449593noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8638023715322892693.post-29881249519856845172013-10-26T14:58:00.001+07:002013-10-26T14:58:35.099+07:00ประวัติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (พระองค์ดำ)<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
<div align="left">
<span style="color: #0000cc; font-size: large;">สมเด็จพระนเรศวรมหาราช</span><br />
<br />
<span style="color: #000099;">ข้อมูลส่วนพระองค์ </span><br />
พระปรมาภิไธย <span style="color: #0000cc;">สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๒</span><br />
วันพระราชสมภพ <span style="color: #0000cc;">พ.ศ. ๒๐๙๘ </span><br />
วันสวรรคต <span style="color: #0000cc;"> ๒๕ เมษายน พ.ศ. ๒๑๔๘</span><br />
พระอิสริยยศ <span style="color: #0000cc;">พระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา</span><br />
พระราชบิดา <span style="color: #0000cc;">สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช</span><br />
พระราชมารดา <span style="color: #0000cc;">พระวิสุทธิกษัตรีย์</span> <br />
<br />
<span style="color: #000099;">การครองราชย์</span><br />
ราชวงศ์ <span style="color: #0000cc;">ราชวงศ์สุโขทัย</span><br />
ทรงราชย์ <span style="color: #0000cc;">๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๑๓๓ - ๒๕ เมษายน พ.ศ. ๒๑๔๘ </span><br />
ระยะเวลาครองราชย์ <span style="color: #0000cc;">๑๕ ปี </span><br />
รัชกาลก่อนหน้า <span style="color: #0000cc;">สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช</span> <br />
รัชกาลถัดมา <span style="color: #0000cc;">สมเด็จพระเอกาทศรถ </span><br />
<span style="color: #0000cc;"></span> </div>
<div align="left">
<div align="justify">
<span style="color: #0000cc;">พระบาทสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๒ (พระนเรศวรมหาราช) </span> <br />
มีพระนามเดิมว่าพระองค์ดำพระราชโอรสในสมเด็จพระมหาธรรมราชาและพระวิสุทธิกษัตริย์ (พระราชธิดาของสมเด็จพระ<br />
ศรีสุริโยทัยและสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ) พระองค์เสด็จพระบรมราชสมภพเมื่อ พ.ศ. ๒๐๙๘ ที่เมืองพิษณุโลกทรงมีพระเชษฐภคิณีคือพระสุพรรณกัลยาทรงมีพระอนุชาคือสมเด็จพระเอกาทศรถ(องค์ขาว) และทรงเป็นพระราชนัดดาของสมเด็จพระศรีสุริโยทัย พระนามของพระองค์ปรากฏในลายลักษณ์อักษรหลายฉบับ เช่น พระนเรศ วรราชาธิราช พระนเรสส องค์ดำ จึงยังไม่สามารถสรุปได้ว่าพระนาม นเรศวรได้มาจากที่ใด สันนิษฐานเบื้องต้นว่า เพี้ยนมาจาก สมเด็จพระนเรศ วรราชาธิราช เป็น สมเด็จพระนเรศวร ราชาธิราช เสด็จขึ้นครองราชเมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๑๓๓ รวมสิริดำรงราชสมบัติ ๑๕ ปี เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ. ๒๑๔๘ รวมพระชนมพรรษา ๕๐ พรรษาราชการสงครามในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่และสำคัญยิ่งของชาติไทย พระองค์ได้กู้อิสรภาพของไทยจากการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งแรก และได้ทรงแผ่อำนาจ<br />
ของราชอาณาจักรไทย อย่างกว้างใหญ่ไพศาล นับตั้งแต่ประเทศพม่าตอนใต้ทั้งหมด นั่นคือ จากฝั่งมหาสมุทรอินเดียทางด้านตะวันตก ไปจนถึงฝั่งมหาสมุทรปาซิฟิคทางด้านตะวันออก ทาง<br />
ด้านทิศใต้ตลอดไปถึงแหลมมลายู ทางด้านทิศเหนือก็ถึงฝั่งแม่น้ำโขงโดยตลอด และยังรวมไปถึงรัฐไทยใหญ่บางรัฐพระองค์ได้ทำสงครามเข้าไปในประเทศที่เป็นข้าศึกของไทย ในทุกทิศทาง จนประเทศไทยอยู่เป็นปกติสุขปราศจากศึกสงคราม เป็นระยะเวลายาวนาน พระราชกรณียกิจน้อยใหญ่ทั้งสิ้น<br />
ทั้งปวงของพระองค์ เป็นไปเพื่อประโยชน์ของบ้านเมืองและคนไทยทั้งมวล ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ จะอยู่ในสนามรบและชนบทโดยตลอด มิได้ว่างเว้น แม้แต่เมื่อเสด็จสวรรคต ก็<br />
เสด็จสวรรคตในระหว่างเดินทัพไปปราบศัตรูของชาติไทย นับว่าพระองค์ได้ทรงสละพระองค์ เพื่อชาติบ้านเมืองโดยสิ้นเชิง สมควรที่ชาวไทยรุ่นหลังต่อมา ได้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ<br />
ของพระองค์ และจดจำวีรกรรมของพระองค์ เทอดทูลไว้เหนือเกล้า ฯ ไปตราบชั่วกาลนาน</div>
<hr />
<span style="color: #0000cc;">พระราชประวัติเมื่อทรงพระเยาว์กับชีวิตและการศึกษาในหงสาวดี</span><br />
<div align="justify">
ตลอดระยะเวลาในวัยเยาว์ของพระนเรศวรทรงใช้ชีวิตอยู่ในพระราชวังจันทน์ เมืองพิษณุโลก จนกระทั่งเมื่อพระเจ้าบุเรงนองยกทัพมาตีเมืองพิษณุโลก สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช<br />
เจ้าเมืองพิษณุโลกยอมอ่อนน้อมต่อแห่งหงสาวดี และทำให้พิษณุโลกต้องแปรสภาพเป็นเมืองประเทศราชหงสาวดีไม่ขึ้นต่อกรุงศรีอยุธยา พระเจ้าบุเรงนองได้ทรงขอพระนเรศวรไปเป็น<br />
องค์ประกันที่หงสาวดี ทำให้พระองค์ต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนตั้งแต่มีพระชนม์มายุเพียง ๙พรรษานอกจากพระองค์แล้วยังมีองค์ประกันจากเมืองอื่น ๆ ที่เป็นเมืองขึ้นของหงสาวดีเป็นจำนวนมาก พระเจ้าบุเรงนองนั้นทรงให้เหล่าองค์ประกันได้รับการเลี้ยงดูและการศึกษาอย่างดี พระนเรศวรทรงใช้เวลา ๘ปีเต็มในหงสาวดีศึกษายุทธศาสตร์ของพม่า พระองค์ทรงศึกษาวิชาศิลปศาสตร์ และวิชาพิชัยสงคราม ทรงนิยมในวิชาการรบทัพจับศึก พระองค์ทรงมีโอกาสศึกษา <br />
ทั้งภายในราชสำนักไทย และราชสำนักพม่า มอญ และได้ทราบยุทธวิธีของชาวต่างชาติต่าง ๆ ที่มารวมกันอยู่ในกรุงหงสาวดีเป็นอย่างดี เช่น ชาวโปรตุเกส สเปน หรือชาวพม่าเอง ทรงนำ<br />
หลักวิชามาประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับเหตุการณ์ และสภาพแวดล้อมในการทำศึกได้เป็นเลิศ ดังเห็นได้จากการสงครามทุกครั้งของพระองค์ ยุทธวิธีที่ทรงใช้ ได้แก่ การใช้คนจำนวนน้อยเอาชนะคนจำนวนมาก และยุทธวิธีการรบแบบกองโจร พระองค์ทรงนำมาใช้ก่อนจอมทัพที่เลื่องชื่อในยุโรป นอกจากนั้น หลักการสงครามที่เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน เช่น การ<br />
ดำรงความมุ่งหมาย หลักการรุก การออมกำลัง และการรวมกำลัง การดำเนินกลยุทธ ความเด็ดขาดในการบังคับบัญชา การระวังป้องกัน การจู่โจม ฯลฯ พระองค์ก็ทรงนำมาใช้อย่างเชี่ยวชาญ <br />
และประสบผลสำเร็จอย่างงดงามมาโดยตลอด เนื่องจากการที่พระองค์มีชีวิตอยู่ในฐานะองค์ประกันทำให้ทรงมีความกดดันสูงจากมังกะยอชวา (พระราชโอรสในพระเจ้านันทบุเรง) จึง<br />
ทรงมีแรงผลักดันที่จะกอบกู้อิสรภาพให้กับบ้านเมืองของพระองค์ เช่น จากการชนไก่ของพระองค์กับมังกะยอชวา เป็นต้น รวมทั้งการเหยียดหยามว่าเป็นเชลย จากพวกพม่าด้วย</div>
<hr />
<div align="justify">
<span style="color: #0000cc;">ดำรงยศเป็นพระมหาอุปราช</span><br />
หลังจากที่พระเจ้าบุเรงนองตีกรุงศรีอยุธยาแตกเมื่อ พ.ศ. ๒๑๑๒ มะเส็งศก วันอาทิตย์ เดือน ๙ แรม ๑๑ ค่ำ และได้สถาปนาสมเด็จพระมหาธรรมราชาครองกรุงศรีอยุธยาในฐานะประเทศราชของหงสาวดีต่อไป หลังจากนั้น พระนเรศได้หนีกลับมาไทยโดยที่บุเรงนองยินยอมด้วยอันเนื่องมาจากพระสุพรรณกัลยาได้ขอไว้ โดยที่บุเรงนองยินยอม หลังจากที่พระองค์ดำกลับมากรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระมหาธรรมราชาได้ทรงพระราชทานนามให้ว่า พระนเรศวร และโปรดเกล้าฯให้เป็นพระมหาอุปราชไปปกครองเมืองพิษณุโลก ทรงปกครองเมืองอย่างดี<br />
และทรงเริ่มเตรียมการที่จะกอบกู้เอกราชของกรุงศรีอยุธยา</div>
<hr />
<div align="justify">
<span style="color: #0000cc;">การประกาศอิสรภาพ</span><br />
<br />
เมื่อปี พ.ศ. 2126 พระเจ้าอังวะเป็นกบฎ เนื่องจากไม่พอใจทางกรุงหงสาวดีอยู่หลายประการ จึงแข็งเมือง พร้อมกับเกลี้ยกล่อมเจ้าไทยใหญ่อีกหลายเมืองให้แข็งเมืองด้วย พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงจึงยกทัพหลวงไปปราบ ในการณ์นี้ได้สั่งให้เจ้าเมืองแปร เจ้าเมืองตองอู และเจ้าเมืองเชียงใหม่ รวมทั้งทางกรุงศรีอยุธยาด้วย ให้ยกทัพไปช่วย ทางไทย สมเด็จพระมหาธรรมราชาโปรดให้สมเด็จพระนเรศวรยกทัพไปแทน สมเด็จพระนเรศวรยกทัพออกจากเมืองพิษณุโลก เมื่อวันแรม 6 ค่ำ เดือน 3 ปีมะแม พ.ศ. 2126 พระองค์ยกทัพไทยไปช้า ๆ เพื่อให้การปราบปรามเจ้าอังวะเสร็จสิ้นไปก่อน ทำให้พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงแคลงใจว่า ทางไทยคงจะถูกพระเจ้าอังวะชักชวนให้เข้าด้วย จึงสั่งให้พระมหาอุปราชา คุมทัพ<br />
รักษากรุงหงสาวดีไว้ ถ้าทัพไทยยกมาถึงก็ให้ต้อนรับ และหาทางกำจัดเสีย และพระองค์ได้สั่งให้พระยามอญสองคน คือ พระยาเกียรติและพระยาราม ซึ่งมีสมัครพรรคพวกอยู่ที่เมืองแครง<br />
มาก และทำนองจะเป็นผู้คุ้นเคยกับสมเด็จพระนเรศวรมาแต่ก่อน ลงมาคอยต้อนรับทัพไทยที่เมืองแครง อันเป็นชายแดนติดต่อกับไทย พระมหาอุปราชาได้ตรัสสั่งเป็นความลับว่า เมื่อสมด็จพระนเรศวรยกกองทัพขึ้นไป ถ้าพระมหาอุปราชายกเข้าตีด้านหน้าเมื่อใด ให้พระยาเกียรติและพระยาราม คุมกำลังเข้าตีกระหนาบทางด้านหลัง ช่วยกันกำจัดสมเด็จพระนเรศวร<br />
เสียให้จงได้ พระยาเกียรติกับพระยาราม เมื่อไปถึงเมืองแครงแล้ว ได้ขยายความลับนี้แก่พระมหาเถรคันฉ่อง ผู้เป็นอาจารย์ของตน ทุกคนไม่มีใครเห็นดีด้วยกับแผนการของพระเจ้ากรุงหงสาวดี เพราะมหาเถรคันฉ่องกับสมเด็จพระนเรศวร เคยรู้จักชอบพอกันมาก่อนกองทัพไทยยกมาถึงเมืองแครง เมื่อวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 6 ปีวอก พ.ศ. 2127 โดยใช้เวลาเดินทัพเกือบสองเดือน กองทัพไทยตั้งทัพอยู่นอกเมือง เจ้าเมืองแครงพร้อมทั้ง<br />
พระยาเกียรติกับพระยารามได้มาเฝ้า ฯ สมเด็จพระนเรศวร จากนั้นสมเด็จพระนเรศวรได้เสด็จไปเยี่ยมพระมหาเถรคันฉ่อง ซึ่งคุ้นเคยกันดีมาก่อน พระมหาเถรคันฉ่องมีใจสงสาร จึงกราบทูลถึงเรื่องการคิดร้ายของทางกรุงหงสาวดี แล้วให้พระยาเกียรติกับพระยาราม กราบทูลให้ทราบตามความเป็นจริง เมื่อพระองค์ได้ทราบความโดยตลอดแล้ว ก็ทรงมีพระดำริเห็นว่า <br />
การเป็นอริราชศัตรูกับกรุงหงสาวดีนั้น ถึงกาลเวลาที่จะต้องเปิดเผยต่อไปแล้ว จึงได้มีรับสั่งให้เรียกประชุมแม่ทัพนายกอง กรมการเมือง เจ้าเมืองแครงรวมทั้งพระยาเกียรติพระยาราม และทหารมอญมาประชุมพร้อมกัน แล้วนิมนต์พระมหาเถรคันฉ่อง และพระสงฆ์มาเป็นสักขีพยาน ทรงแจ้งเรื่องให้คนทั้งปวงที่มาชุมนุม ณ ที่นั้นทราบว่า พระเจ้าหงสาวดีคิดประทุษร้ายต่อ<br />
พระองค์ จากนั้นพระองค์ได้ทรงหลั่งน้ำลงสู่แผ่นดินด้วยสุวรรณภิงคาร (พระน้ำเต้าทองคำ) ประกาศแก่เทพยดาฟ้าดินว่า ด้วยพระเจ้าหงสาวดี มิได้อยู่ในครองสุจริตมิตรภาพขัตติยราชประเพณี เสียสามัคคีรสธรรม ประพฤติพาลทุจริต คิดจะทำอันตรายแก่เรา ตั้งแต่นี้ไป กรุงศรีอยุธยาขาดไมตรีกับกรุงหงสาวดี มิได้เป็นมิตรร่วมสุวรรณปฐพีเดียวกันดุจดังแต่ก่อนสืบไป <br />
จากนั้นพระองค์ได้ตรัสถามชาวเมืองแครงว่าจะเข้าข้างฝ่ายใด พวกมอญทั้งปวงต่างเข้ากับฝ่ายไทย สมเด็จพระนเรศวรจึงให้จับเจ้าเมืองกรมการพม่า แล้วเอาเมืองแครงเป็นที่ตั้งประชุมทัพ <br />
เมื่อจัดกองทัพเสร็จ ก็ทรงยกทัพจากเมืองแครง ไปยังเมืองหงสาวดี เมื่อวันแรม 3 ค่ำ เดือน6ฝ่ายพระมหาอุปราชาที่อยู่รักษาเมืองหงสาวดี เมื่อทราบว่าพระยาเกียรติ พระยารามกลับไปเข้ากับสมเด็จพระนเรศวร จึงได้แต่รักษาพระนครมั่นอยู่ สมเด็จพระนเรศวรเสด็จยกทัพข้ามแม่น้ำสะโตงไปใกล้ถึงเมืองหงสาวดี ได้ทราบความว่า พระเจ้ากรุงหงสาวดีมัชัยชนะได้เมืองอังวะแล้ว กำลังจะยกทัพกลับคืนพระนคร พระองค์เห็นว่าสถานการณ์ครั้งนี้ไม่สมคะเน เห็นว่า<br />
จะตีเอาเมืองหงสาวดีในครั้งนี้ยังไม่ได้ จึงให้กองทัพแยกย้ายกันเที่ยวบอกพวกครัวไทย ที่พม่ากวาดต้อนไปแต่ก่อน ให้อพยพกลับบ้านเมือง ได้ผู้คนมาประมาณหมื่นเศษ ให้ยกล่วงหน้าไปก่อน พระองค์ทรงคุมกองทัพยกตามมาข้างหลังฝ่ายพระมหาอุปราชาทราบข่าวว่า สมเด็จพระนเรศวรกวาดต้อนคนไทยกลับ จึงได้ให้สุรกรรมาเป็นกองหน้า พระมหาอุปราชาเป็นกองหลวง ยกติดตามกองทัพไทยมา กองหน้าของพม่าตาม<br />
มาทันที่ริมฝั่งแม่น้ำสะโตง ในขณะที่ฝ่ายไทยได้ข้ามแม่น้ำไปแล้ว และคอยป้องกันมิให้ข้าศึกข้ามตามมาได้ ได้มีการต่อสู้กันที่ริมฝั่งแม่น้ำ สมเด็จพระนเรศวรทรงใช้พระแสงปืนนกสับยาว<br />
เก้าคืบ ยิงถูกสุรกรรมา แม่ทัพหน้าพม่าตายบนคอช้าง กองทัพของพม่าเห็นแม่ทัพตาย ก็พากันเลิกทัพกลับไป เมื่อพระมหาอุปราชาแม่ทัพหลวงทรงทราบ จึงให้เลิกทัพกลับไปกรุงหงสาวดีพระแสงปืนที่ใช้ยิงสุรกรรมาตายบนคอช้างนี้ได้นามปรากฏต่อมาว่า "พระแสงปืนต้นข้ามแม่น้ำสะโตง" นับเป็นพระแสงอัษฎาวุธ อันเป็นเครื่องราชูปโภค ยังปรากฏอยู่จนถึงทุกวันนี้เมื่อสมเด็จพระนเรศวรเสด็จกลับถึงเมืองแครง ทรงดำริว่าพระมหาเถรคันฉ่องกับพระยาเกียรติพระยารามได้มีอุปการะมาก สมควรได้รับการตอบแทนให้สมแก่ความชอบ จึงทรงชักชวน<br />
ให้มาอยู่ในกรุงศรีอยุธยา พระมหาเถรคันฉ่องกับพระยามอญ ที้งสองก็มีความยินดี พาพรรคพวกสเด็จเข้ามาด้วยเป็นอันมาก ในการยกกำลังกลับครั้งนี้ สมเด็จพระนเรศวรทรงเกรงว่า <br />
ข้าศึกอาจยกทัพตามมาอีก ถ้าเสด็จกลับทางด่านแม่ละเมา มีกองทัพของนันทสูราชสังครำตั้งอยู่ที่เมืองกำแพงเพชร จะเป็นอุปสรรคต่อการเดินทาง พระองค์จึงรีบสั่งให้พระยาเกียรติ พระยา<br />
ราม นำทัพเดินผ่านหัวเมืองมอญลงมาทางใต้ มาเข้าทางด่านเจดีย์สามองค์เมื่อกลับมาถึงกรุงศรีอยุธยาแล้ว สมเด็จพระมหาธรรมราชาก็พระราชทานบำเหน็จรางวัลแก่พวกมอญที่สวามิภักดิ์ ทรงตั้งพระมาหาเถรคันฉ่องเป็นพระสังฆราชา ที่สมเด็จอริยวงศ์ และให้พระยาเกียรติ พระยารามมีตำแหน่งยศ ได้พระราชทานพานทอง ควบคุมมอญที่เข้ามาด้วย ให้ตั้งบ้านเรือนที่ริมวัดขมิ้น และวัดขุนแสนใกล้วังจันทร์ของสมเด็จพระนเรศวร แล้วทรงมอบ<br />
การทั้งปวงที่จะตระเตรียมต่อสู้ข้าศึก ให้สมเด็จพระนเรศวรทรงบังคับบัญชาสิทธิขาดแต่นั้นมา</div>
<hr />
<div align="justify">
<span style="color: #0000cc;">ยุทธหัตถี</span><br />
นับตั้งแต่สมเด็จพระนเรศวรประกาศอิสรภาพเป็นต้นมา หงสาวดีได้เพียรส่งกองทัพเข้ามาหลายครั้ง แต่ก็ถูกกองทัพกรุงศรีอยุธยาตีแตกพ่ายไปทุกครั้ง เมื่อสมเด็จพระมหาธรรมราชา <br />
เสด็จสวรรคต เมื่อปี พ.ศ. ๒๑๓๓ พระองค์ได้เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๑๓๓ เมื่อพระชนมายุได้ ๓๕ พรรษา ทรงพระนามว่า สมเด็จพระนเรศวร หรือสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๒ และโปรดเกล้า ฯ ให้พระเอกาทศรถ พระอนุชา ขึ้นเป็นพระมหาอุปราช แต่มีศักดิ์เสมอพระมหากษัตริย์อีกพระองค์หนึ่งตลอดรัชสมัยของพระองค์ทรงกอบกู้กรุงศรีอยุธยาจากหงสาวดี และได้ทำสงครามกับอริราชศัตรูทั้งพม่าและเขมร จนราชอาณาจักรไทยเป็นปึกแผ่นมั่นคง ขยายพระราชอาณาเขตออกไป<br />
อย่างกว้างใหญ่ไพศาลกว่าครั้งใดในอดีตที่ผ่านมา งานสงครามในรัชสมัยของพระองค์ ทั้งในดินแดนไทยและดินแดนข้าศึก ได้ชัยชนะทุกครั้ง ทรงมีพระปรีชาสามารถในการนำทัพ ทรงริ<br />
เริ่มนำยุทธวิธีแบบใหม่มาใช้ในการทำสงคราม และเปลี่ยนแนวความคิดจากการตั้งรับมาเป็นการรุก และริเริ่มการใช้วิธีรบนอกแบบการสงครามกับพม่าครั้งสำคัญที่ทำให้พม่าไม่กล้ายกทัพมารุกรานไทยอีกเลย เป็นเวลาเกือบสองร้อยปีคือ สงครามยุทธหัตถี เมื่อปี พ.ศ. ๒๑๓๕ นั่นคือเมื่อหงสาวดีนำโดยพระมหาอุป<br />
ราชามังสามเกียดยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาอีกครั้ง สมเด็จพระนเรศวรก็นำทัพออกไปจนปะทะกันที่หนองสาหร่าย จังหวัดสุพรรณบุรี บ้างก็ว่าจังหวัดกาญจนบุรี สมเด็จพระนเรศวรได้ทรง<br />
กระทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชาจนกระทั่งสามารถเอาพระแสงง้าวฟันพระมหาอุปราชาขาดสะพายแล่งสิ้นพระชนม์อยู่กับคอช้างนั่นเอง</div>
<hr align="justify" />
<div align="justify">
<span style="color: #0000cc;">สวรรคต</span><br />
<br />
พ.ศ. ๒๑๓๗ พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงก็ให้พระเจ้าแปรมาตีกรุงศรีอยุธยาแต่ก็แตกทัพกลับไป พ.ศ. ๒๑๔๒ เสด็จฯออกไปตีกรุงหงสาวดี พระเจ้าหงสาวดีหนีไปเมืองตองอู กอง<br />
ทัพอยุธยาตามไปถึงเมืองตองอูแต่ขาดเสบียง พ.ศ. ๒๑๔๗ ยกกองทัพหลวง ๑๐๐,๐๐๐ นายออกจากกรุงศรีอยุธยาไปตีกรุงอังวะ ผ่านทางเมืองเชียงใหม่ โดยแรมทัพอยู่ที่เมือง <br />
เชียงใหม่เป็นเวลา ๑ เดือน ระดมทหารในดินแดนล้านนาสมทบอีก ๑๐๐,๐๐๐ นาย และทรงมอบหมายให้สมเด็จพระเอกาทศรถเป็นทัพหน้าออกเดินทางไปรับไพร่พลทหารล้านนาที่ <br />
เมืองฝาง (อำเภอฝาง เชียงใหม่) หลังจากนั้นกองทัพหลวงจึงกรีฑาทัพออกจากเมืองเชียงใหม่ไปยัง เมืองนายและกรุงอังวะ ครั้นกองทัพหลวงเดินทัพอยู่ระหว่างเมืองเชียงใหม่กับแม่น้ำ <br />
สาละวิน ครั้นถึง เมืองหลวง หรือเมืองห้างหลวง หรือเมืองห่างหลวง หรือเมืองหางหลวง อันเป็นเมืองขึ้นของเมืองเชียงใหม่และเป็นเมืองอยู่ชายพระราชอาณาเขตในสมัยนั้น เมื่อปลายเดือน <br />
๕ ปีมะเส็ง พ.ศ. ๒๑๔๘ ได้เสด็จฯ ประทับแรมอยู่ ณ ตำบลทุ่งดอนแก้ว (ขณะที่กองทัพสมเด็จพระเอกาทศรถอยู่ที่เมืองฝางหรืออำเภอฝาง เชียงใหม่) เกิดประชวรเป็นหัวระลอกขึ้น <br />
(บ้างว่าถูกตัวสัตว์พวกแมลงมีพิษต่อย) ที่พระพักตร์แล้วเลยเป็นบาดพิษจนเสด็จสวรรคต ณ เมืองห้างหลวง หรือ เมืองหางวันจันทร์ เดือน ๖ ขึ้น ๘ ค่ำ พ.ศ. ๒๑๔๘ เรื่องวัน <br />
สวรรคตนี้มีรายละเอียดกล่าวต่างกัน พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขากล่าวว่า เสด็จสวรรคตวันจันทร์ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๖ เพลาชายแล้ว ๒ บาท ปีมะเส็ง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญทางประวัติ <br />
ศาสตร์คำนวณแล้วตรงกับวันจันทร์ที่ ๒๕ เมษายน ๒๑๔๘ ในหนังสือ A History of Siam ของ W.A.R. Wood กล่าวว่าสวรรคตวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ค.ศ. <br />
๑๖๐๕ (พ.ศ. ๒๑๔๘) พระชันษาได้ ๕๐ ปี เสวยราชสมบัติได้ ๑๕ ปี </div>
<hr align="justify" />
<br />
<span style="color: #0000cc;">พระราชกรณียกิจ</span><br />
<br />
พ.ศ. 2113 เสด็จออกร่วมรบกับทหารโดยขับไล่กองทัพเขมรได้สำเร็จ <br />
พ.ศ. 2114 ได้รับสถาปนาให้ปกครองเมืองพิษณุโลก เมื่อพระชนมายุ ๑๖ พรรษา <br />
พ.ศ. 2117 เสด็จไปรบที่เวียงจันทน์ เผอิญทรงประชวรเป็นไข้ทรพิษจึงเสด็จกลับ <br />
พ.ศ. 2121 ทรงทำสงครามขับไล่พระยาจีนจันตุออกไปจากกรุงศรีอยุธยา <br />
พ.ศ. 2127 ทรงประกาศอิสรภาพที่เมืองแครง และกวาดต้อนคนไทยกลับพระนคร <br />
พ.ศ. 2127-พ.ศ. 2130 พม่ายกกองทัพมาตีไทยถึง ๔ ครั้ง แต่ถูกไทยตีแตกพ่ายกลับไป <br />
พ.ศ. 2133 ทรงเสด็จครองราชย์ ณ กรุงศรีอยุธยาเมื่อพระชนมายุ ๓๕ พรรษา <br />
พ.ศ. 2135 ทรงทำสงครามยุทธหัตถี จนมังกะยอชวา สิ้นพระชนม์ <br />
พ.ศ. 2136 ทรงยกกองทัพไปตีเขมรและจับพระยาละแวกทำพิธีปฐมกรรม <br />
พ.ศ. 2138 และ พ.ศ. 2141 ทรงกรีฑาทัพไปตีกรุงหงสาวดี ครั้งที่ ๑ และครั้งที่ ๒ <br />
พ.ศ. 2148 ทรงกรีฑาทัพไปตีกรุงอังวะ โดยยกทัพหลวง ๑๐๐,๐๐๐ นาย ออกจากอยุธยา ไปทางเมืองเชียงใหม่ และแรมทัพในเชียงใหม่ ๑ เดือน เพื่อรอการระดมทหารล้านนา<br />
เข้าสมทบอีก ๑๐๐,๐๐๐ คนเมื่อยกทัพหลวงออกจากเมืองเชียงใหม่ มุ่งหน้าไปยัง เมืองนาย ครั้นกรีฑาทัพช่วงระหว่างเมืองเชียงใหม่กับแม่น้ำสาละวิน และไปถึงเมืองหลวง หรือเมืองห้าง<br />
หลวง หรือเมืองห่างหลวง หรือเมืองหางหลวง ก็ทรงพระประชวรโดยเร็วพลัน เป็นหัวระลอกขึ้นที่พระพักตร์ และเสด็จสวรรคต ณ เมืองหลวง ตำบลทุ่งดอนแก้ว ตรงกับวันจันทร์ขึ้น ๘ ค่ำ <br />
เดือน ๖ ปีมะเส็ง ซึ่งตรงกับวันจันทร์ที่ ๒๕ เมษายน ๒๑๔๘ พระชนมายุ ๕๐ พรรษา ครองราชย์สมบัติได้ ๑๕ ปี<br />
<hr />
<div align="justify">
<span style="color: #0000cc;">สมเด็จพระนเรศวรมหาราชในวัฒนธรรมร่วมสมัย</span><br />
<br />
<br />
พระบรมราชานุสรณ์ดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรีตราประจำจังหวัดของไทยที่มีพระบรมรูปของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเป็นองค์ประกอบ ได้แก่ จังหวัดสุพรรณบุรี จังหวัดตาก และจังหวัดหนองบัวลำภู <br />
มีการสร้างพระบรมราชานุสรณ์ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชในหลายแห่งทั่วประเทศ เช่น พระบรมราชานุสรณ์ดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี ศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราชที่ริมหนองบัวลำภู ในจังหวัดหนองบัวลำภู เป็นต้น <br />
มีการนำพระนามของสมเด็จพระนเรศวรมหาราขไปตั้งเป็นชื่อของมหาวิทยาลัยนเรศวร และค่ายทหารต่างๆ ทั่วประเทศ เช่น ค่ายนเรศวร ที่จังหวัดลพบุรี ค่ายนเรศวรมหาราช ที่อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น ส่วนทางกรมตำรวจได้นำพระนามของพระองค์มาตั้งเป็นชื่อค่ายตำรวจตระเวนชายแดนที่อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรีว่า "ค่ายนเรศวร" ด้วยเช่นกัน <br />
ชาวไทยนิยมนำหุ่นรูปไก่ชนพันธุ์เหลืองหางขาวไปบนบานกับพระบรมรูปสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เพราะเชื่อกันว่าเป็นไก่พันธุ์เดียวกับตัวที่เอาชนะไก่ชนของพระมหาอุปราชาแห่งหงสาวดีได้ <br />
ในประเทศไทยได้มีการนำพระราชประวัติมาสร้างเป็นภาพยนตร์ 2 ครั้ง ครั้งแรก ใช้ชื่อว่า มหาราชดำ ในปี พ.ศ. 2522 และครั้งที่ 2 ใช้ชื่อว่า ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ในปี พ.ศ. 2550 <br />
เคยมีการสร้างละครเรื่อง สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เมื่อ พ.ศ. 2531 ทางไทยทีวีสีช่อง 3 และได้รับรางวัลโทรทัศน์ทองคำในปีนั้นถึง 5 รางวัล[2] ภายหลังมีการนำละครเรื่องนี้มาฉายใหม่ทางช่อง สทท.11 อีกครั้ง (ประมาณ พ.ศ. 2540) <br />
ไม้ เมืองเดิม ได้นำเหตุการณ์ในสมัยนี้ไปใช้เป็นฉากในนวนิยายเรื่อง ขุนศึก ซึ่งตัวเอกของเรื่องคือ เสมา ทหารในสมัยสมเด็จพระนเรศวรซึ่งมีชาติกำเนิดเป็นช่างตีเหล็ก นวนิยายเรื่องนี้ได้รับการสร้างเป็นภาพยนตร์และละครโทรทัศน์เช่นกัน <br />
มีการนำพระราชประวัติของพระองค์ไปเขียนเป็นหนังสือการ์ตูนอยู่หลายครั้ง เช่น มหากาพย์กู้แผ่นดิน ผลงานของมนตรี คุ้มเรือน เป็นต้น <br />
ได้มีการสร้างตำนานสมเด็จพระนเรศวรอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งใช้ชื่อว่า กษัตริยา ควบคู่กับ มหาราชกู้แผ่นดิน เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระชนมายุครบ 72 พรรษา ใน พ.ศ. 2542 โดยบริษัท กันตนา จำกัด เป็นผู้ผลิตรายการ ออกฉายทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 ในช่วงปี พ.ศ. 2545-พ.ศ. 2546 </div>
<hr />
<a href="https://sites.google.com/site/lanhin2224/prawati-smdec-phra-nreswr-mharach-phraxngkh-da/000000.bmp?attredirects=0" imageanchor="1"><img border="0" src="https://sites.google.com/site/lanhin2224/_/rsrc/1312271730397/prawati-smdec-phra-nreswr-mharach-phraxngkh-da/000000.bmp" /></a><br />
<br />
ขอขอบพระคุณ ข้อมูลจาก <a href="https://sites.google.com/site/lanhin2224/prawati-smdec-phra-nreswr-mharach-phraxngkh-da">https://sites.google.com/site/lanhin2224/prawati-smdec-phra-nreswr-mharach-phraxngkh-da</a></div>
</div>
pinkhttp://www.blogger.com/profile/06273115781979449593noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8638023715322892693.post-25790432492610905042013-10-26T14:52:00.000+07:002013-10-26T14:52:17.711+07:00ธรรมโอสถ (ผู้มีธรรมย่อมได้ทานยาอายุวัฒนะ)<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต : ระงับทุกขเวทนาด้วยธรรมโอสถ<br />
<a href="http://www.dlitemag.com/index.php?option=com_content&view=article&id=274:2010-11-10-14-12-17&catid=60:-lite-voyage&Itemid=59">http://www.dlitemag.com/index.php?option=com_content&view=article&id=274:2010-11-10-14-12-17&catid=60:-lite-voyage&Itemid=59</a><br />
<br />
<span style="color: #336699;"><strong><span style="color: #cc6666;"></span></strong></span><br />
<br />
<span style="color: #336699;"><strong><span style="color: #cc6666;">ธรรมะสำหรับผู้ป่วย</span></strong></span><span><span style="color: #cc6666;">โดย</span> พระไพศาล วิสาโล<br /><span style="color: #cc6666;">จัดพิมพ์โดย</span> ขจร ธนะแพสย์ และญาติมิตร <br /><span style="color: #cc6666;">พิมพ์ครั้งที่ ๑</span> ธันวาคม ๒๕๕๓</span><br />
<a href="http://www.visalo.org/book/dhammaSumrupPuPuay.htm">http://www.visalo.org/book/dhammaSumrupPuPuay.htm</a><br />
<br />
ลองเข้าไปอ่านดูตาม Link นะครับ<br />
<br />
ขอให้ธรรมะรักษา</div>
pinkhttp://www.blogger.com/profile/06273115781979449593noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8638023715322892693.post-58040453035521036992013-10-26T14:41:00.000+07:002013-10-26T14:41:20.653+07:00โพธิปักขิยธรรม 3<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
<strong><span style="background-color: #ffcc33; font-size: large;">โพธิปักขิยธรรม 37</span></strong>ภิกษุ ท. ! ธรรมเหล่าใดที่เราแสดงแล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง ธรรมเหล่านั้น<br />พวกเธอทั้งหลาย พึงรับเอาให้ดี พึงเสพให้ทั่วถึง พึงอบรม กระทำ<br />ให้มาก โดยอาการที่พรหมจรรย์นี้ จักมั่นคง ดำรงอยู่ได้ ตลอดกาลนาน.<br />ข้อนั้น จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่คนเป็นอันมาก เพื่อความสุขแก่คนเป็น<br />อันมาก เพื่ออนุเคราะห์โลก, และเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขทั้งแก่<br />เทวดาแลมนุษย์ทั้งหลาย.<br /><span style="font-size: x-small;"><span style="font-size: small;"><span style="color: #ff9900;"><b>ภิกษุ ท. ! ธรรมเหล่าไหนเล่า ที่เราแสดงด้วยปัญญาอันยิ่ง ? ธรรม<br />เหล่านั้นได้แก่ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕<br />พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคมีองค์ ๘.</b></span><br />ภิกษุ ท. ! ธรรมเหล่านี้แล ที่เราแสดงแล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง เป็นสิ่ง<br />ที่พวกเธอทั้งหลาย พึงรับเอาให้ดี พึงเสพให้ทั่วถึง พึงอบรม กระทำให้มาก<br />โดยอาการที่พรหมจรรย์นี้ จักมั่นคง ดำรงอยู่ได้ ตลอดกาลนาน. ข้อนั้น<br />จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่คนเป็นอันมาก เพื่อความสุขแก่คนเป็นอัน<br />มาก เพื่ออนุเคราะห์โลก, และเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข ทั้งแก่<br />เทวดาแลมนุษย์ทั้งหลาย.</span><br /><br /> </span><b><span style="font-size: small;"><span style="background-color: #66ccff;">เป็นคำกล่าวที่เราชาวพุทธอาจจะยังไม่เคยได้รู้ (บางท่าน) เพราะสาวกไม่ได้นำมาสั่งสอน บอกกล่าว เป็นธรรมะที่พระศาสดาได้ตรััสไว้ดังข้างต้น</span><br /><br /><span style="font-size: large;"><span style="color: #ff3366;"> มีรายละเอียดดังนี้</span></span></span></b><span style="font-size: x-small;"><span style="color: #ff9900;"><b>สติปัฏฐาน ๔<br /><span style="color: blue; font-size: small;">1.กาย<br />2.เวทนา<br />3.จิต<br />4.ธรรม</span><br /></b></span></span><span style="font-size: x-small;"><span style="color: #ff9900;"><b>สัมมัปปธาน ๔</b></span></span><br /><span class="size14"><strong></strong> </span><span class="size14" style="font-size: small;"><strong><span style="color: #cc6633;">สังวรปธาน</span></strong> คือ เพียรเพื่อไม่ให้อกุศลธรรม (ที่ยังไม่เกิด) เกิดขึ้น</span><br />
<div align="left">
<span class="size14" style="font-size: small;"> <strong><span style="color: #cc6666;">ปหานปธาน</span></strong> คือ เพียรเพื่อละอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว</span></div>
<div align="left">
<span class="size14" style="font-size: small;"> <strong><span style="color: #cc6699;">ภาวนาปธาน</span></strong> คือ เพียรเพื่อให้กุศลธรรม (ที่ยังไม่เกิด) เกิดขึ้น</span></div>
<span class="size14" style="font-size: small;"> <strong><span style="color: #cc33cc;">อนุรักขนาปธาน</span></strong> คือ เพียรเพื่อความเจริญ มั่นคง บริบูรณ์ของกุศล<br /><br /> ธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว</span><br />
<span style="font-size: x-small;"><span style="color: #ff9900;"><b>อิทธิบาท ๔ </b></span></span><br />
๑<span style="font-size: small;">. ฉันทะ ความพอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น<br /> ๒. วิริยะ ความพากเพียรในสิ่งนั้น<br /> ๓. จิตตะ ความเอาใจใส่ฝักใฝ่ในสิ่งนั้น<br /> ๔. วิมังสา ความหมั่นสอดส่องในเหตุผลของสิ่งนั้น</span><br />
<span style="font-size: x-small;"><span style="color: #ff9900;"><b>อินทรีย์ ๕</b></span></span><br />
<div class="MsoNormal">
<span style="font-size: xx-small;"><span angsana="" new="" style="font-size: 16pt;">1. <span class="SpellE"><span lang="TH">สันธิ</span></span><span lang="TH">นท<span class="SpellE">รีย์</span> คือ ความศรัทธาเป็นใหญ่ในอารมณ์ เป็นศรัทธาอันแรงกล้าในจิตใจ ซึ่งอกุศลไม่อาจทำให้ศรัทธานั้นเสื่อมคลายได้</span></span></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-size: xx-small;"><span angsana="" new="" style="font-size: 16pt;">2. <span lang="TH">วิริ<span class="SpellE">ยินทรีย์</span> มีความเพียรเป็นใหญ่ และต้องเป็นความเพียรที่บริบูรณ์ด้วยองค์ </span>4<span lang="TH"> แห่ง<span class="SpellE">สัมมัปปธาน</span></span></span></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-size: xx-small;"><span angsana="" new="" style="font-size: 16pt;">3. <span lang="TH">สตินท<span class="SpellE">รีย์</span> สติที่ระลึกรู้ในอารมณ์ปัจจุบัน อันเกิดจากสติปัฏฐาน </span>4 </span></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-size: xx-small;"><span angsana="" new="" style="font-size: 16pt;">4. <span lang="TH">สมาธินท<span class="SpellE">รีย์</span>การทำจิตให้เป็นสมาธิตั้งมั่นจดจ่ออยู่ในอารมณ์กรรมฐาน ไม่ฟุ้งซ่าน</span></span></span></div>
<span style="font-size: xx-small;"><span angsana="" new="" style="font-size: 16pt;">5. <span class="SpellE"><span lang="TH">ปัญญิ</span></span><span lang="TH">นท<span class="SpellE">รีย์</span> ปัญญาทำหน้าที่เป็นใหญ่ด้วยการรู้แจ้งเห็นจริงว่าขันธ์ </span>5<span lang="TH"> เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา</span></span></span><span style="font-size: x-small;"><span style="color: #ff9900;"><b>พละ ๕ <br /></b></span></span><span style="font-size: small;">๑. <strong>ศรัทธาพละ </strong> ไม่หวั่นไหวต่อความไม่มีศรัทธา<br /><br />๒. <strong>วิริยพละ</strong> ไม่หวั่นไหวต่อความเกียจคร้าน <br /><br />๓. <strong>สติพละ</strong> ไม่หวั่นไหวต่อการหลงลืมสติ<br /><br />๔. <strong>สมาธิพละ</strong> ไม่หวั่นไหวต่อความฟุ้งซ่าน<br /><br />๕. <strong>ปัญญาพละ</strong> ไม่หวั่นไหวต่อความไม่รู้</span><br /><span style="font-size: x-small;"><span style="color: #ff9900;"><b>โพชฌงค์ ๗</b></span></span><br />
<ol style="list-style-type: decimal;">
<li><span style="color: red;">สติ ความระลึกได้ </span></li>
<li><span style="color: red;">ธรรมวิจยะ การวินิจฉัยธรรม </span></li>
<li><span style="color: red;">วิริยะ ความเพียร </span></li>
<li><span style="color: red;">ปีติ ความอิ่มใจ </span></li>
<li><span style="color: red;">ปัสสัทธิ ความสงบ </span></li>
<li><span style="color: red;">สมาธิ จิตตั้งมั่น </span></li>
<li><span style="color: red;">อุเบกขา ความวางเฉย</span></li>
</ol>
<span style="color: #ff9900;"><b>อริยมรรคมีองค์ ๘.</b></span><span style="color: blue;"><b>๑ . สัมมาทิฐิ : ปัญญาอันเห็นชอบ </b>คือเห็นอริยสัจ ๔ (คือเห็นว่า ความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่และความตายเป็นทุกข์ การพลัดพรากสิ่งที่รักประสบสิ่งที่ไม่รัก ปรารถนาสิ่งใดไม่สมหวังสิ่งเหล่านี้ก็เป็นทุกข์ การเอาชนะความคิดดีหรือชั่วไม่ได้ปัดให้ออกจากตัวทันทีไม่ได้ก็เป็นทุกข์)<br /><b>๒. สัมมาสังกัปปะ : ความดำริชอบ</b> คือคิดออกจากกาม ไม่คิดพยาบาท และคิดที่จะไม่เบียดเบียนใคร<br /><b>๓. สัมมาวาจา : วาจาชอบ</b> คือ ไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดเพ้อเจ้อ<br /><b>๔. สัมมากัมมันตะ : กระทำชอบ </b>คือ เว้นจากการฆ่าสัตว์ เว้นจากการลักทรัพย์ เว้นจากการประพฤติผิดในกาม<br /><b>๕. สัมมาอาชีวะ :เลี้ยงชีวิตชอบ</b> คือ การประกอบอาชีพแต่ในทางสุจริต ไม่ผิดกฎหมายไม่ผิดศีลธรรม ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ไม่ผิดจากหน้าที่อันควร<br /><b>๖. สัมมาวายามะ : ความเพียรชอบ</b> คือ เพียรในที่ ๔ สถาน (พยายามละอกุศลที่ยังไม่ได้ละ…อันไหนที่ละได้แล้วก็พยายามไม่ให้เกิดขึ้นอีก พยายาทำให้กุศลเกิดขึ้น…อันไหนที่มีเกิดขึ้นแล้วก็พยายามทำให้เจริญยิ่ง ขึ้น)<br /><b>๗. สัมมาสติ : ระลึกชอบ</b> คือ ระลึกในสติปัฏฐาน ๔…กาย เวทนา จิต ธรรม (พยายามให้มีสติอยู่กับตัวเสมอ พยายามที่จะฝึกในแง่ที่จะทำให้กิเลสเบาบางลง)<br /><b>๘. สัมมาสมาธิ : สมาธิชอบ </b>(ตั้งใจมั่นชอบ) คือ เจริญฌานทั้ง ๔ (หมายถึงการเข้าสมาธิที่เป็นไปเพื่อละนิวรณ์โดยตรง คือตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป)</span><br />
<span style="font-size: x-small;">ขอขอบพระคุณข้อมูล จาก <a href="http://www.oknation.net/blog/buddha2600/2012/07/11/entry-2">http://www.oknation.net/blog/buddha2600/2012/07/11/entry-2</a></span><br />
<span style="font-size: x-small;"></span><br />
<span style="font-size: x-small;">ขอให้เจริญในธรรม และได้นิพพานสมบัติในที่สุด</span><br />
<span style="font-size: x-small;"></span></div>
pinkhttp://www.blogger.com/profile/06273115781979449593noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8638023715322892693.post-81433147297428238162013-07-06T17:12:00.001+07:002013-07-06T17:12:41.065+07:00แหลมตะลุมพุก อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
<a href="http://www.gotonakhon.com/2010/10/20/%e0%b8%a2%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%99%e0%b8%a3%e0%b8%ad%e0%b8%a2%e0%b8%ad%e0%b8%94%e0%b8%b5%e0%b8%95-%e0%b8%9b%e0%b8%b1%e0%b8%88%e0%b8%88%e0%b8%b8%e0%b8%9a%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b9%81%e0%b8%ab%e0%b8%a5/p6-%e0%b8%aa%e0%b8%a0%e0%b8%b2%e0%b8%9e%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b9%80%e0%b8%ab%e0%b9%87%e0%b8%99%e0%b9%80%e0%b8%9b%e0%b9%87%e0%b8%99%e0%b8%ab%e0%b8%a5%e0%b8%b1%e0%b8%81%e0%b8%90%e0%b8%b2/" rel="attachment wp-att-9657"><img alt="" class="aligncenter size-medium wp-image-9657" height="333" src="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/p6-สภาพที่เห็นเป็นหลักฐานเมื่อพายุผ่านไป-500x333.jpg" title="p6 สภาพที่เห็นเป็นหลักฐานเมื่อพายุผ่านไป" width="500" /></a><br />
<strong>ผู้เขียนเป็นชาวหัวสวน หมู่ 7 ต.เกาะทวด อ.ปากพนัง </strong><br />
ผู้เขียนมี<strong>ภาพอดีต</strong>ในความจำ(ถ้าถามว่าวัน/เดือน/ปีอะไรผู้เขียนจำไม่ได้)เพียงแต่พอจดจำเหตุการณ์ได้เนื่องจากอายุยังเด็กมากๆ บ้านที่ผู้เขียนอาศัยอยู่เป็นบ้านของ<strong>ปู่-ย่า(ปู่มด-ย่าแดง พันธรังษี</strong>)ตั้งอยู่ริมน้ำ คลองหัวสวน เป็นบ้านหลังใหญ่แบบ<strong>ทรงไทยโบราณ ยกพื้นสูงหลังคามุงด้วยกระเบื้องปูนของจีนรูปข้าวหลามตัด</strong> มีโรงข้าว(ที่เก็บข้าวที่เกี่ยวมาใหม่)ริมติดต่อโรงข้าวมีคอกวัว-คอกควาย บ้านปู่-ย่า<strong>ในคืนเกิดเหตุ</strong>เมื่อตื่นขึ้นมาตอนดึกด้วยความตกใจ ทั้งหมด ปู่ ย่า ลุง อา นั้งกันอยู่ที่บริเวณคอกวัว- คอกควายที่ปู่<strong>ทำยื่นออกไปเป็นที่นอนเฝ้าวัว-ควายยามคำ่คืน</strong>ใต้ต้นมะม่วง(คัน)ต้นใหญ่ ประมาณ 2 คนโอบ <strong>ด้านนอกมีเสียงลมแรงมาก</strong> มีเสียงร้องโหยหวลเมื่อลมประทะกับสิ่งกีดขวางและมีเสียงดังสนั่นทั้งเสียงหัก-พังของต้นไม้ และบ้านเรือน ทั้งบริเวณมีน้ำเจิงนอง และเสียงกระเบื้องที่โดนลมแรงตกลงไปในน้ำ เหมื่อนเราร่อนหินไประยะไกลตลอดเวลา เสียงดังไม่ขาดสาย <br />
<strong>พอขึ้นวันใหม่</strong> บ้านทั้งหลัง<strong>เหลือแต่โครงหลังคา กระเบื้องหายไปเกื่อบหมดและสภาพบ้านบางส่วนเสียหาย </strong> นี้คือภาพความจำอดีตสำหรับเหตุการณ์<strong>วาตภัยแหลมตะลุมพุก</strong><br />
<div style="text-align: center;">
<a href="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/Copy-of-แหลมตะลุมพุก-ร1-ร221.bmp"><img alt="" class="aligncenter size-full wp-image-1393" src="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/Copy-of-แหลมตะลุมพุก-ร1-ร221.bmp" title="Copy of แหลมตะลุมพุก ร1-ร2(2)" /></a></div>
<div style="text-align: center;">
<a href="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/Copy-of-ภาพ-พายุโซนร้อน-แฮเรียต-ที่พัดเข้าแหลมตะลุมพุก25053.jpg"><img alt="" class="aligncenter size-medium wp-image-1440" height="203" src="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/Copy-of-ภาพ-พายุโซนร้อน-แฮเรียต-ที่พัดเข้าแหลมตะลุมพุก25053-300x203.jpg" title="Copy of ภาพ พายุโซนร้อน แฮเรียต ที่พัดเข้าแหลมตะลุมพุก2505" width="300" /></a></div>
<ul>
<li style="text-align: center;"><strong>ภาพพายุโซนร้อน"แฮเรียต"ที่พัดถล่มแหลมตะลุมพุกเมื่อ 25 ตุลาคม 2505 (ภาพจากเวป)</strong></li>
</ul>
<br />
<ul>
<li><strong><span style="font-size: 14px;">"ภาพแปะฟ้า"ย้อนรอย"อดีตแหลมตะลุมพุก" </span></strong>เพื่อเป็นการสดุดีถึงบุคคลบ้านเราคนหนึ่ง ที่เป็นนักเขียน/นักกวี/นักประวัติศาสตร์/นักกลอน/นักแต่งเพลง/<u><span style="font-size: 16px;"><strong>"นักถ่ายภาพ"</strong></span></u>และอื่นๆ ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญบุคคลหนึ่งของ<strong>"เมื่องคอน"</strong> จากหลักฐานการตีพิมพ์ลงในหนังสือ<strong>"สารานุกรมบุคคลสำคัญภาคใต้"</strong>จึงขอสดุดีและนำผลงานของท่านที่ได้บรรยายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นผ่านมา<strong>ครบรอบ 48 ปี</strong> ในวันที่<strong>"</strong> <strong>25 ตุลาคม 2553 </strong>"ย้อนรอยอดีต<strong>"โดยบทประพันธ์ของครูตรึก พฤกษะศรี </strong>ซึ่งคุณครูได้อยู่ในเหตุการณ์ และพบเห็นผู้ประสพภัยด้วยตัวเอง ในวันพายุโซนร้อน<strong>"แฮเรียต" </strong>พัดถล่ม<strong> "แหลมตะลุมพุก"</strong> ในช่วงค่ำวันที่ <strong>25 ตุลาคม 2505</strong> ซึ่งข้อมูลทั้งหมด <strong>"ย้อนรอย"</strong>โดย <span style="font-size: 16px;"><strong>"คุณสถาพร พฤกษะศรี"</strong></span>ซึ่งเป็นสายเลือดของท่าน และบทประพันธ์เล่าถึงเหตุการณ์มหาวาตภัยที่เกิดขึ้นนี้ ได้จัดพิมพ์มาครั้งหนึ่งแล้ว เมื่อต้นปี 2506 ในบทประพันธ์ที่มีชื่อว่<strong>า "แหลมตลุมพุกพิลาป"</strong> เพื่อหารายได้จัดซื้่อเครื่องดนตรีเพิ่มเติมให้แก่วงดนตรีสากลโรงเรียนปากพนังโดยแบ่งเป็น 4 ตอน ตามลำดับ</li>
</ul>
<div style="text-align: center;">
<a href="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/Copy-of-1-ภาพถ่ายทางอากาศหมู่บ้านแหลมตะลุมพุกปัจจุบัน1.jpg"><img alt="" class="aligncenter size-full wp-image-1509" height="520" src="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/Copy-of-1-ภาพถ่ายทางอากาศหมู่บ้านแหลมตะลุมพุกปัจจุบัน1.jpg" title="Copy of 1 ภาพถ่ายทางอากาศหมู่บ้านแหลมตะลุมพุกปัจจุบัน" width="732" /></a></div>
<div style="text-align: center;">
<strong>ภาพถ่ายทางอากาศหมู่บ้านแหลมตะลุมพุกปัจจุบัน</strong></div>
<div style="text-align: center;">
<a href="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/2-ลูกเสือเดินทางไกลไปพักแรมที่แหลมพะลุมพุกก่อนเกิดลมพายุ.jpg"><img alt="" class="aligncenter size-full wp-image-1513" height="487" src="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/2-ลูกเสือเดินทางไกลไปพักแรมที่แหลมพะลุมพุกก่อนเกิดลมพายุ.jpg" title="2 ลูกเสือเดินทางไกลไปพักแรมที่แหลมพะลุมพุกก่อนเกิดลมพายุ" width="730" /></a></div>
<div style="text-align: center;">
<b>ลูกเสือเดินทางไกลไปพักแรมที่แหลมตะลุมพุกก่อนเกิดพายุ</b></div>
<div style="text-align: center;">
<span id="more-1240"></span><br /></div>
<a href="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/3-พักแรมแล้วรุ่งเช้าเดินทางกลับ.jpg"><img alt="" class="aligncenter size-full wp-image-1515" height="487" src="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/3-พักแรมแล้วรุ่งเช้าเดินทางกลับ.jpg" title="3 พักแรมแล้วรุ่งเช้าเดินทางกลับ" width="730" /></a><br />
<div style="text-align: center;">
<b>พักแรมแล้วรุ่งเช้าเดินทางกลับ</b></div>
<div style="text-align: center;">
<a href="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/4-เมื่อเสร็จสรรพทุกคนก็รีบกลับโรงเรียน.jpg"><img alt="" class="aligncenter size-full wp-image-1516" height="487" src="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/4-เมื่อเสร็จสรรพทุกคนก็รีบกลับโรงเรียน.jpg" title="4 เมื่อเสร็จสรรพทุกคนก็รีบกลับโรงเรียน" width="730" /></a></div>
<div style="text-align: center;">
<strong>เมื่อเสร็จสรรพทุกคนก็รีบกลับโรงเรียน</strong></div>
<div style="text-align: center;">
<a href="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/5-ต้นไม้ใหญ่ยังโคนล้มเมื่อโดนลมพายุ.jpg"><img alt="" class="aligncenter size-full wp-image-1517" height="464" src="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/5-ต้นไม้ใหญ่ยังโคนล้มเมื่อโดนลมพายุ.jpg" title="5 ต้นไม้ใหญ่ยังโคนล้มเมื่อโดนลมพายุ" width="730" /></a></div>
<div style="text-align: center;">
<b>ต้นไม้ใหญ่ยังโค่นล้มเมื่อโดนลมพายุ</b></div>
<div style="text-align: center;">
<a href="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/6-สภาพที่เห็นเป็นหลักฐานเมื่อพายุผ่านไป.jpg"><img alt="" class="aligncenter size-full wp-image-1518" height="487" src="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/6-สภาพที่เห็นเป็นหลักฐานเมื่อพายุผ่านไป.jpg" title="6 สภาพที่เห็นเป็นหลักฐานเมื่อพายุผ่านไป" width="730" /></a></div>
<div style="text-align: center;">
<strong>สภาพที่เห็นเป็นหลักฐานเมื่อพายุพัดผ่านไป</strong></div>
<div style="text-align: center;">
<a href="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/7-อยากเห็นถึงที่ก่อต้องมีความลำบาก.jpg"><img alt="" class="aligncenter size-full wp-image-1519" height="487" src="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/7-อยากเห็นถึงที่ก่อต้องมีความลำบาก.jpg" title="7 อยากเห็นถึงที่ก่อต้องมีความลำบาก" width="730" /></a></div>
<div style="text-align: center;">
<strong>อยากเห็นถึงที่ก็ต้องมีความลำบาก</strong></div>
<div style="text-align: center;">
<a href="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/8-ท่านผูกชมสนใจตามไปดูถึงที่.jpg"><img alt="" class="aligncenter size-full wp-image-1520" height="467" src="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/8-ท่านผูกชมสนใจตามไปดูถึงที่.jpg" title="8 ท่านผูกชมสนใจตามไปดูถึงที่" width="732" /></a></div>
<div style="text-align: center;">
<strong>ท่านผูกชมสนใจตามไปดูถึงที่</strong></div>
<div style="text-align: center;">
<a href="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/9-ยากเขนเช่นไรขอไปให้ถึง.jpg"><img alt="" class="aligncenter size-full wp-image-1521" height="465" src="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/9-ยากเขนเช่นไรขอไปให้ถึง.jpg" title="9 ยากเขนเช่นไรขอไปให้ถึง" width="732" /></a></div>
<div style="text-align: center;">
<strong>ยากเข็นเช่นไรขอไปให้ถึง</strong></div>
<div style="text-align: center;">
<a href="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/10-อาคารเรียนก่อนวาตภัยมาถึง-ก่อสร้างเมื่อ-กันยายน-พ.ศ.-2496.jpg"><img alt="" class="aligncenter size-full wp-image-1522" height="466" src="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/10-อาคารเรียนก่อนวาตภัยมาถึง-ก่อสร้างเมื่อ-กันยายน-พ.ศ.-2496.jpg" title="10 อาคารเรียนก่อนวาตภัยมาถึง ก่อสร้างเมื่อ กันยายน พ.ศ. 2496" width="732" /></a></div>
<div style="text-align: center;">
<strong>อาคารเรียนก่อนวาตภัยมาถึง ก่อสร้างเมื่อ กันยายน พ.ศ.2496</strong></div>
<div style="text-align: center;">
</div>
<div style="text-align: center;">
<a href="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/2505_2.jpg"><img alt="" class="alignnone size-full wp-image-1575" height="461" src="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/2505_2.jpg" title="2505_2" width="732" /></a></div>
<div style="text-align: center;">
<strong> เมื่อพายุผ่านไปอาคารเรืยนสองชั้นเหลือเพียงชั้นเดียว ถ่ายภาพโดยคุณครูวิไล พฤกษะศรี เมื่อตอนเช้าวันที่ 26 ต.ค. 2505</strong></div>
<br />
<div style="text-align: center;">
<a href="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/12-นักเรียนที่เคราะห์ร้ายกำลังช่วยกันขนโต็ะ-ม้านั่ง-ไปอาศัยเรียนในวิหารวัดต่อไป.jpg"><img alt="" class="aligncenter size-full wp-image-1525" height="456" src="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/12-นักเรียนที่เคราะห์ร้ายกำลังช่วยกันขนโต็ะ-ม้านั่ง-ไปอาศัยเรียนในวิหารวัดต่อไป.jpg" title="12 นักเรียนที่เคราะห์ร้ายกำลังช่วยกันขนโต็ะ ม้านั่ง ไปอาศัยเรียนในวิหารวัดต่อไป" width="732" /></a></div>
<div style="text-align: center;">
<strong>นักเรียนที่เคราะห์ร้ายกำลังช่วยกันขนโต๊ะ ม้านั้ง ไปอาศัยเรียนในวิหารวัดต่อไป</strong></div>
<div style="text-align: center;">
<a href="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/13-โรงเรืยนประจำอำเภอก่อเจอเข้าเหมือนกัน.jpg"><img alt="" class="aligncenter size-full wp-image-1526" height="488" src="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/13-โรงเรืยนประจำอำเภอก่อเจอเข้าเหมือนกัน.jpg" title="13 โรงเรืยนประจำอำเภอก่อเจอเข้าเหมือนกัน" width="732" /></a></div>
<ul>
<li style="text-align: center;"><strong>โรงเรียนประจำอำเภอปากพนังก็เจอเข้าเหมื่อนกัน</strong></li>
</ul>
<br />
<ul>
<li><span style="font-size: 18px;"><u><strong>ย้อนรอยภาพอดีตรำลึกวาตภัยแหลมตะลุมพุกผ่านมาแล้ว 48 ปี </strong></u></span></li>
<li><span style="font-size: 16px;"><strong>ตอนที่ 1</strong></span></li>
<li> เริ่มเกิดพายุโซนร้อน <strong>"แฮเรียต"</strong> พัดผ่านเข้ามาทางแหลมตะลุมพุก ในตอนค่ำของ<strong>วันที่ 25 ตุลาคม 2505</strong> ทำให้บ้านเรื่อนที่อยู่อาศัยของชาว<strong>ตำบลบ้านแหลมตะลุมพุก</strong> หายไปในทะเลเกื่อบหมด ดังภาพที่ปรากฏ ผู้คนที่รอดตาย <strong>ไปติดอยู่บนต้นไม้บ้าง</strong> ขึ้นไป<strong>อยู่บนหลังคา</strong>บ้าง ส่วนที่ทนกับแรงน้ำ แรงลมไม่ไหวก็เสียชีวิต หายไปในทะเลบ้าง บ้านพักทับบ้าง ส่วน<strong>ที่รอดตายบางคนเหลือแต่ร่างกาย </strong>เสื้อผ้าหายไปหมด <strong>บางคนก็สติฟั่นเฟือน</strong> รุ่งเช้าผู้คนที่รอดตาย <strong>ก็พยายามช่วยเหลือกัน</strong> บ้างก็ร่ำร้อง ผู้ประคองตัวเองได้ ก็ตามหาญาติ อาหารก็ไม่มีกิน ต้อง<strong>หามะพร้าวอ่อนกินประทังชีวิต</strong>ไว้ก่อน ผู้ที่แข็งแรงพอจะเดินได้ ก็พยายามเดินมุ่งหน้าเข้ามาใน<strong>อำเภอปากพนัง</strong> เพื่อแจ้งให้ทางการได้ทราบถึง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชม. เมื่อทางอำเภอได้รับทราบก็ร่วมมือกับพ่อค้า ประชาชนช่วยเหลือถึงแม้นในตัวอำเภอเสียหายเหมื่อนกันแต่ยังน้อยกว่า</li>
</ul>
<a href="http://www.gotonakhon.com/2010/10/20/%e0%b8%a2%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%99%e0%b8%a3%e0%b8%ad%e0%b8%a2%e0%b8%ad%e0%b8%94%e0%b8%b5%e0%b8%95-%e0%b8%9b%e0%b8%b1%e0%b8%88%e0%b8%88%e0%b8%b8%e0%b8%9a%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b9%81%e0%b8%ab%e0%b8%a5/p6-%e0%b8%aa%e0%b8%a0%e0%b8%b2%e0%b8%9e%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b9%80%e0%b8%ab%e0%b9%87%e0%b8%99%e0%b9%80%e0%b8%9b%e0%b9%87%e0%b8%99%e0%b8%ab%e0%b8%a5%e0%b8%b1%e0%b8%81%e0%b8%90%e0%b8%b2/" rel="attachment wp-att-9657"><img alt="" class="aligncenter size-medium wp-image-9657" height="333" src="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/p6-สภาพที่เห็นเป็นหลักฐานเมื่อพายุผ่านไป-500x333.jpg" title="p6 สภาพที่เห็นเป็นหลักฐานเมื่อพายุผ่านไป" width="500" /></a><br />
<strong>ผู้เขียนเป็นชาวหัวสวน หมู่ 7 ต.เกาะทวด อ.ปากพนัง </strong><br />
ผู้เขียนมี<strong>ภาพอดีต</strong>ในความจำ(ถ้าถามว่าวัน/เดือน/ปีอะไรผู้เขียนจำไม่ได้)เพียงแต่พอจดจำเหตุการณ์ได้เนื่องจากอายุยังเด็กมากๆ บ้านที่ผู้เขียนอาศัยอยู่เป็นบ้านของ<strong>ปู่-ย่า(ปู่มด-ย่าแดง พันธรังษี</strong>)ตั้งอยู่ริมน้ำ คลองหัวสวน เป็นบ้านหลังใหญ่แบบ<strong>ทรงไทยโบราณ ยกพื้นสูงหลังคามุงด้วยกระเบื้องปูนของจีนรูปข้าวหลามตัด</strong> มีโรงข้าว(ที่เก็บข้าวที่เกี่ยวมาใหม่)ริมติดต่อโรงข้าวมีคอกวัว-คอกควาย บ้านปู่-ย่า<strong>ในคืนเกิดเหตุ</strong>เมื่อตื่นขึ้นมาตอนดึกด้วยความตกใจ ทั้งหมด ปู่ ย่า ลุง อา นั้งกันอยู่ที่บริเวณคอกวัว- คอกควายที่ปู่<strong>ทำยื่นออกไปเป็นที่นอนเฝ้าวัว-ควายยามคำ่คืน</strong>ใต้ต้นมะม่วง(คัน)ต้นใหญ่ ประมาณ 2 คนโอบ <strong>ด้านนอกมีเสียงลมแรงมาก</strong> มีเสียงร้องโหยหวลเมื่อลมประทะกับสิ่งกีดขวางและมีเสียงดังสนั่นทั้งเสียงหัก-พังของต้นไม้ และบ้านเรือน ทั้งบริเวณมีน้ำเจิงนอง และเสียงกระเบื้องที่โดนลมแรงตกลงไปในน้ำ เหมื่อนเราร่อนหินไประยะไกลตลอดเวลา เสียงดังไม่ขาดสาย <br />
<strong>พอขึ้นวันใหม่</strong> บ้านทั้งหลัง<strong>เหลือแต่โครงหลังคา กระเบื้องหายไปเกื่อบหมดและสภาพบ้านบางส่วนเสียหาย </strong> นี้คือภาพความจำอดีตสำหรับเหตุการณ์<strong>วาตภัยแหลมตะลุมพุก</strong><br />
<div style="text-align: center;">
<a href="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/Copy-of-แหลมตะลุมพุก-ร1-ร221.bmp"><img alt="" class="aligncenter size-full wp-image-1393" src="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/Copy-of-แหลมตะลุมพุก-ร1-ร221.bmp" title="Copy of แหลมตะลุมพุก ร1-ร2(2)" /></a></div>
<div style="text-align: center;">
<a href="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/Copy-of-ภาพ-พายุโซนร้อน-แฮเรียต-ที่พัดเข้าแหลมตะลุมพุก25053.jpg"><img alt="" class="aligncenter size-medium wp-image-1440" height="203" src="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/Copy-of-ภาพ-พายุโซนร้อน-แฮเรียต-ที่พัดเข้าแหลมตะลุมพุก25053-300x203.jpg" title="Copy of ภาพ พายุโซนร้อน แฮเรียต ที่พัดเข้าแหลมตะลุมพุก2505" width="300" /></a></div>
<ul>
<li style="text-align: center;"><strong>ภาพพายุโซนร้อน"แฮเรียต"ที่พัดถล่มแหลมตะลุมพุกเมื่อ 25 ตุลาคม 2505 (ภาพจากเวป)</strong></li>
</ul>
<br />
<ul>
<li><strong><span style="font-size: 14px;">"ภาพแปะฟ้า"ย้อนรอย"อดีตแหลมตะลุมพุก" </span></strong>เพื่อเป็นการสดุดีถึงบุคคลบ้านเราคนหนึ่ง ที่เป็นนักเขียน/นักกวี/นักประวัติศาสตร์/นักกลอน/นักแต่งเพลง/<u><span style="font-size: 16px;"><strong>"นักถ่ายภาพ"</strong></span></u>และอื่นๆ ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญบุคคลหนึ่งของ<strong>"เมื่องคอน"</strong> จากหลักฐานการตีพิมพ์ลงในหนังสือ<strong>"สารานุกรมบุคคลสำคัญภาคใต้"</strong>จึงขอสดุดีและนำผลงานของท่านที่ได้บรรยายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นผ่านมา<strong>ครบรอบ 48 ปี</strong> ในวันที่<strong>"</strong> <strong>25 ตุลาคม 2553 </strong>"ย้อนรอยอดีต<strong>"โดยบทประพันธ์ของครูตรึก พฤกษะศรี </strong>ซึ่งคุณครูได้อยู่ในเหตุการณ์ และพบเห็นผู้ประสพภัยด้วยตัวเอง ในวันพายุโซนร้อน<strong>"แฮเรียต" </strong>พัดถล่ม<strong> "แหลมตะลุมพุก"</strong> ในช่วงค่ำวันที่ <strong>25 ตุลาคม 2505</strong> ซึ่งข้อมูลทั้งหมด <strong>"ย้อนรอย"</strong>โดย <span style="font-size: 16px;"><strong>"คุณสถาพร พฤกษะศรี"</strong></span>ซึ่งเป็นสายเลือดของท่าน และบทประพันธ์เล่าถึงเหตุการณ์มหาวาตภัยที่เกิดขึ้นนี้ ได้จัดพิมพ์มาครั้งหนึ่งแล้ว เมื่อต้นปี 2506 ในบทประพันธ์ที่มีชื่อว่<strong>า "แหลมตลุมพุกพิลาป"</strong> เพื่อหารายได้จัดซื้่อเครื่องดนตรีเพิ่มเติมให้แก่วงดนตรีสากลโรงเรียนปากพนังโดยแบ่งเป็น 4 ตอน ตามลำดับ</li>
</ul>
<div style="text-align: center;">
<a href="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/Copy-of-1-ภาพถ่ายทางอากาศหมู่บ้านแหลมตะลุมพุกปัจจุบัน1.jpg"><img alt="" class="aligncenter size-full wp-image-1509" height="520" src="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/Copy-of-1-ภาพถ่ายทางอากาศหมู่บ้านแหลมตะลุมพุกปัจจุบัน1.jpg" title="Copy of 1 ภาพถ่ายทางอากาศหมู่บ้านแหลมตะลุมพุกปัจจุบัน" width="732" /></a></div>
<div style="text-align: center;">
<strong>ภาพถ่ายทางอากาศหมู่บ้านแหลมตะลุมพุกปัจจุบัน</strong></div>
<div style="text-align: center;">
<a href="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/2-ลูกเสือเดินทางไกลไปพักแรมที่แหลมพะลุมพุกก่อนเกิดลมพายุ.jpg"><img alt="" class="aligncenter size-full wp-image-1513" height="487" src="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/2-ลูกเสือเดินทางไกลไปพักแรมที่แหลมพะลุมพุกก่อนเกิดลมพายุ.jpg" title="2 ลูกเสือเดินทางไกลไปพักแรมที่แหลมพะลุมพุกก่อนเกิดลมพายุ" width="730" /></a></div>
<div style="text-align: center;">
<b>ลูกเสือเดินทางไกลไปพักแรมที่แหลมตะลุมพุกก่อนเกิดพายุ</b></div>
<div style="text-align: center;">
<span id="more-1240"></span><br /></div>
<a href="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/3-พักแรมแล้วรุ่งเช้าเดินทางกลับ.jpg"><img alt="" class="aligncenter size-full wp-image-1515" height="487" src="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/3-พักแรมแล้วรุ่งเช้าเดินทางกลับ.jpg" title="3 พักแรมแล้วรุ่งเช้าเดินทางกลับ" width="730" /></a><br />
<div style="text-align: center;">
<b>พักแรมแล้วรุ่งเช้าเดินทางกลับ</b></div>
<div style="text-align: center;">
<a href="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/4-เมื่อเสร็จสรรพทุกคนก็รีบกลับโรงเรียน.jpg"><img alt="" class="aligncenter size-full wp-image-1516" height="487" src="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/4-เมื่อเสร็จสรรพทุกคนก็รีบกลับโรงเรียน.jpg" title="4 เมื่อเสร็จสรรพทุกคนก็รีบกลับโรงเรียน" width="730" /></a></div>
<div style="text-align: center;">
<strong>เมื่อเสร็จสรรพทุกคนก็รีบกลับโรงเรียน</strong></div>
<div style="text-align: center;">
<a href="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/5-ต้นไม้ใหญ่ยังโคนล้มเมื่อโดนลมพายุ.jpg"><img alt="" class="aligncenter size-full wp-image-1517" height="464" src="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/5-ต้นไม้ใหญ่ยังโคนล้มเมื่อโดนลมพายุ.jpg" title="5 ต้นไม้ใหญ่ยังโคนล้มเมื่อโดนลมพายุ" width="730" /></a></div>
<div style="text-align: center;">
<b>ต้นไม้ใหญ่ยังโค่นล้มเมื่อโดนลมพายุ</b></div>
<div style="text-align: center;">
<a href="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/6-สภาพที่เห็นเป็นหลักฐานเมื่อพายุผ่านไป.jpg"><img alt="" class="aligncenter size-full wp-image-1518" height="487" src="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/6-สภาพที่เห็นเป็นหลักฐานเมื่อพายุผ่านไป.jpg" title="6 สภาพที่เห็นเป็นหลักฐานเมื่อพายุผ่านไป" width="730" /></a></div>
<div style="text-align: center;">
<strong>สภาพที่เห็นเป็นหลักฐานเมื่อพายุพัดผ่านไป</strong></div>
<div style="text-align: center;">
<a href="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/7-อยากเห็นถึงที่ก่อต้องมีความลำบาก.jpg"><img alt="" class="aligncenter size-full wp-image-1519" height="487" src="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/7-อยากเห็นถึงที่ก่อต้องมีความลำบาก.jpg" title="7 อยากเห็นถึงที่ก่อต้องมีความลำบาก" width="730" /></a></div>
<div style="text-align: center;">
<strong>อยากเห็นถึงที่ก็ต้องมีความลำบาก</strong></div>
<div style="text-align: center;">
<a href="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/8-ท่านผูกชมสนใจตามไปดูถึงที่.jpg"><img alt="" class="aligncenter size-full wp-image-1520" height="467" src="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/8-ท่านผูกชมสนใจตามไปดูถึงที่.jpg" title="8 ท่านผูกชมสนใจตามไปดูถึงที่" width="732" /></a></div>
<div style="text-align: center;">
<strong>ท่านผูกชมสนใจตามไปดูถึงที่</strong></div>
<div style="text-align: center;">
<a href="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/9-ยากเขนเช่นไรขอไปให้ถึง.jpg"><img alt="" class="aligncenter size-full wp-image-1521" height="465" src="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/9-ยากเขนเช่นไรขอไปให้ถึง.jpg" title="9 ยากเขนเช่นไรขอไปให้ถึง" width="732" /></a></div>
<div style="text-align: center;">
<strong>ยากเข็นเช่นไรขอไปให้ถึง</strong></div>
<div style="text-align: center;">
<a href="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/10-อาคารเรียนก่อนวาตภัยมาถึง-ก่อสร้างเมื่อ-กันยายน-พ.ศ.-2496.jpg"><img alt="" class="aligncenter size-full wp-image-1522" height="466" src="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/10-อาคารเรียนก่อนวาตภัยมาถึง-ก่อสร้างเมื่อ-กันยายน-พ.ศ.-2496.jpg" title="10 อาคารเรียนก่อนวาตภัยมาถึง ก่อสร้างเมื่อ กันยายน พ.ศ. 2496" width="732" /></a></div>
<div style="text-align: center;">
<strong>อาคารเรียนก่อนวาตภัยมาถึง ก่อสร้างเมื่อ กันยายน พ.ศ.2496</strong></div>
<div style="text-align: center;">
</div>
<div style="text-align: center;">
<a href="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/2505_2.jpg"><img alt="" class="alignnone size-full wp-image-1575" height="461" src="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/2505_2.jpg" title="2505_2" width="732" /></a></div>
<div style="text-align: center;">
<strong> เมื่อพายุผ่านไปอาคารเรืยนสองชั้นเหลือเพียงชั้นเดียว ถ่ายภาพโดยคุณครูวิไล พฤกษะศรี เมื่อตอนเช้าวันที่ 26 ต.ค. 2505</strong></div>
<br />
<div style="text-align: center;">
<a href="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/12-นักเรียนที่เคราะห์ร้ายกำลังช่วยกันขนโต็ะ-ม้านั่ง-ไปอาศัยเรียนในวิหารวัดต่อไป.jpg"><img alt="" class="aligncenter size-full wp-image-1525" height="456" src="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/12-นักเรียนที่เคราะห์ร้ายกำลังช่วยกันขนโต็ะ-ม้านั่ง-ไปอาศัยเรียนในวิหารวัดต่อไป.jpg" title="12 นักเรียนที่เคราะห์ร้ายกำลังช่วยกันขนโต็ะ ม้านั่ง ไปอาศัยเรียนในวิหารวัดต่อไป" width="732" /></a></div>
<div style="text-align: center;">
<strong>นักเรียนที่เคราะห์ร้ายกำลังช่วยกันขนโต๊ะ ม้านั้ง ไปอาศัยเรียนในวิหารวัดต่อไป</strong></div>
<div style="text-align: center;">
<a href="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/13-โรงเรืยนประจำอำเภอก่อเจอเข้าเหมือนกัน.jpg"><img alt="" class="aligncenter size-full wp-image-1526" height="488" src="http://www.gotonakhon.com/wp-content/uploads/2010/10/13-โรงเรืยนประจำอำเภอก่อเจอเข้าเหมือนกัน.jpg" title="13 โรงเรืยนประจำอำเภอก่อเจอเข้าเหมือนกัน" width="732" /></a></div>
<ul>
<li style="text-align: center;"><strong>โรงเรียนประจำอำเภอปากพนังก็เจอเข้าเหมื่อนกัน</strong></li>
</ul>
<br />
<ul>
<li><span style="font-size: 18px;"><u><strong>ย้อนรอยภาพอดีตรำลึกวาตภัยแหลมตะลุมพุกผ่านมาแล้ว 48 ปี </strong></u></span></li>
<li><span style="font-size: 16px;"><strong>ตอนที่ 1</strong></span></li>
<li> เริ่มเกิดพายุโซนร้อน <strong>"แฮเรียต"</strong> พัดผ่านเข้ามาทางแหลมตะลุมพุก ในตอนค่ำของ<strong>วันที่ 25 ตุลาคม 2505</strong> ทำให้บ้านเรื่อนที่อยู่อาศัยของชาว<strong>ตำบลบ้านแหลมตะลุมพุก</strong> หายไปในทะเลเกื่อบหมด ดังภาพที่ปรากฏ ผู้คนที่รอดตาย <strong>ไปติดอยู่บนต้นไม้บ้าง</strong> ขึ้นไป<strong>อยู่บนหลังคา</strong>บ้าง ส่วนที่ทนกับแรงน้ำ แรงลมไม่ไหวก็เสียชีวิต หายไปในทะเลบ้าง บ้านพักทับบ้าง ส่วน<strong>ที่รอดตายบางคนเหลือแต่ร่างกาย </strong>เสื้อผ้าหายไปหมด <strong>บางคนก็สติฟั่นเฟือน</strong> รุ่งเช้าผู้คนที่รอดตาย <strong>ก็พยายามช่วยเหลือกัน</strong> บ้างก็ร่ำร้อง ผู้ประคองตัวเองได้ ก็ตามหาญาติ อาหารก็ไม่มีกิน ต้อง<strong>หามะพร้าวอ่อนกินประทังชีวิต</strong>ไว้ก่อน ผู้ที่แข็งแรงพอจะเดินได้ ก็พยายามเดินมุ่งหน้าเข้ามาใน<strong>อำเภอปากพนัง</strong> เพื่อแจ้งให้ทางการได้ทราบถึง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชม. เมื่อทางอำเภอได้รับทราบก็ร่วมมือกับพ่อค้า ประชาชนช่วยเหลือถึงแม้นในตัวอำเภอเสียหายเหมื่อนกันแต่ยังน้อยกว่า</li>
</ul>
</div>
pinkhttp://www.blogger.com/profile/06273115781979449593noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8638023715322892693.post-44077810670341141162013-07-06T16:57:00.002+07:002013-07-06T16:57:29.312+07:00ศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
<span style="color: blue; font-size: medium;">ย้อนรอย..การสร้างศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช สู่ศรัทธาองค์พ่อจตุคามรามเทพ</span><br />
<span style="font-size: medium;"> </span><br />
<img alt="" height="360" src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201209/08/328181ebf.jpg" style="cursor: pointer;" width="591" /><br />
<span style="color: teal;">หลักเมื่องนครศรีธรรมราชที่สร้างขึ้น และประดิษฐานในศาลโดดเด่นเป็นสง่า ณ บริเวณสนามหน้าเมืองนครศรีธรรมราช มีรูปลักษณ์และองค์ประกอบที่ช่างผู้สลักบรรจงแกะขึ้น ตั้งแต่ฐานถึงยอดหลักเมืองมีลาดลายเก้าแบบ ทุกแบบแกะสลักขึ้นด้วยคติธรรมความเชื่อในเรื่องกฏวัฏจักรและโลกธรรมเป็นหลัก.</span><br />
<span style="color: teal;">ท่านพลตำรวจตรีขุนพันธ์รักษ์ราชเดช กล่าวว่า วัตถุมงคลที่ระลึกศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช คือ วัตถุมงคลที่เป็นสุดยอดของความเข้มขลัง มีความศักดิ์สิทธิที่ไม่เคยสร้างสิ่งใด ๆ ได้เหนือไปกว่านี้แล้ว เป็นการประกอบพิธีทางไสยศาสตร์ที่สมบูรณ์แบบได้ประจาตุกายสิทธิ์ทุกชนิดที่ท่านมีอยู่ เช่น เหล็กไหล เหล็กหลบ เหล็กย้อย ธาตุอรหันต์ คนธรรม์ เขี้ยวแก้ว คตต่าง ๆ ที่เป็นธาตุกายสิทธิ์ สะสมไว้ตั้งแต่สมัยหนุ่มรวบรวมนำลงไปผสมในวัตถุมงคลรุ่นนี้จนหมดสิ้น วิชาความรู้ต่างๆ ที่ร่ำเรียนมาในโอกาสดำเนินการครั้งนี้ ทำตามความรู้ที่ได้รับถ่ายทอดจากครูบาอาจารย์ทุกอย่าง ขอรับรองว่าคงหาวัตถุมงคลใดเทียบเทียมได้ยาก ใครมีโอกาสได้รับก็ขอให้เก็บไว้ และ ถ่ายทอดให้แก่ลูกหลานคุ้มครองวงศ์ตระกูลให้เจริญรุ่งเรืองต่อไปเถิด "</span><br />
<span style="color: teal;"> </span><br />
<span style="color: teal;"><img alt="" height="492" src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201209/08/328189c73.jpg" style="cursor: pointer; width: 617px;" width="647" /></span><br />
<br />
<span style="color: #993300;">ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพระบรมธาตุ</span><br /><span style="color: #993300;">หลักฐานทางเอกสาร</span><br />
<span style="color: #993300;">๑. ตำนาน ได้แก่ ตำนานเมืองนครศรีธรรมราช ตำนานพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช และพระนิพพานโสตร (ตำนานพระบรมธาตุฉบับกลอนสวด) ให้ข้อมูลที่แตกต่างกันเกี่ยวกับปีที่สร้างพระบรมธาตุ ดังต่อไปนี้</span><br />
<span style="color: #993300;">๑.๑ พระนิพพานโสตร เป็นตำนานพระบรมธาตุสำนวนร้อยกรอง (กลอนสวด) แต่งขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ ๒๔-๒๕ หรือประมาณรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระนิพพานโสตรมีหลายสำนวน ต้นฉบับเป็นหนังสือบุด (สมุดข่อย) แต่งเพื่อใช้สวดอ่าน ลักษณะคำประพันธ์มี ๓ ประเภท คือ กาพย์ยานี ๑๑ กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ และกาพย์ฉบัง ๑๖ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา เนื้อหาของเรื่องกล่าวถึงเหตุการณ์สำคัญ ๖ ประการ คือ การถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ พระเจ้าอชาตศัตรูกับพระบรมสารีริกธาตุ พระเจ้าธรรมโศกราชกับพระบรมสารีริกธาตุ การอัญเชิญพระธาตุไปลังกา การประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ณ หาดทรายแก้ว และการสร้างบ้านแปลงเมืองของนครศรีธรรมราช (พระนิพพานโสตรฉบับศูนย์วัฒนธรรมภาคใต้ สำนวนที่ ๑ ๒๕๒๘: ๑)</span><br /><span style="color: #993300;">ศักราชที่กล่าวถึงการสร้างพระบรมธาตุในพระนิพพานโสตร สำนวนที่ ๓ กล่าวว่า</span><br /><span style="color: #993300;">"...ฝ่ายพระเจ้าลังกา เมื่อถึงเวลาแห่งพุทธทำนายว่าในศักราช ๗๐๐ เจ้าพระยาโศกราชจะสร้างพระบรมธาตุเจดีย์ ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ที่หาดทรายแก้ว จึงได้รับสั่งให้แต่งสำเภาบรรทุกเงินทอง เสื้อผ้ามากมาย เพื่อช่วยสร้างพระบรมธาตุเจดีย์..." (พระนิพพานโสตร ฉบับศูนย์วัฒนธรรมภาคใต้ สำนวนที่ ๓ ๒๕๒๘: ๑๓, ๑๘)</span><br /><span style="color: #993300;">พระนิพพานโสตรเป็นเอกสารที่แต่งขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อค้ำจุนและเผยแผ่ศาสนาเป็นหลัก มิได้ตั้งใจจะบันทึกเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ เค้าโครงเรื่องในตอนต้น เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอินเดีย และลังกา ส่วนในตอนท้ายเป็นการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ทางศาสนา ระหว่างลังกากับนครศรีธรรมราช ดังนั้น ศักราชที่ปรากฎควรใส่เครื่องหมายคำถาม (?) ไว้ด้วย</span><br />
<span style="color: #993300;"> </span><br />
<span style="color: #993300;"><img alt="" height="664" src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201209/08/32818d29b.jpg" style="cursor: pointer; width: 617px;" width="632" /></span><br />
<br />
<span style="color: magenta;">ปัจจุบัน หลักเมืองนครศรีธรรมราช สร้างเสร็จสมบูรณ์ครบถ้วนทุกขั้นตอน ตามพิธีกรรมโบราณของชาวศรีวิชัย ประดิษฐานภายในศาลหลักเมืองอันสวยงามโดดเด่นและวิจิตรบรรจง ณ บริเวณทิศเหนือของสนามหน้าเมืองนครศรีธรรมราช พรั่งพร้อมด้วยศาลบริวารประจำทิศทั้ง ๔ เรียกว่า ศาลจตุโลกเทพ ทำหน้าที่พิทักษ์รักษานครศรีธรรมราช ให้แคล้วคลาดปลอดภัย จากอาถรรพณ์เสนียดจัญไร ประสบพบแต่ความสงบร่มเย็น เจริญรุ่งเรือง สืบไปในกาลเบื้องหน้า</span><br />
<span style="color: magenta;">เป็นที่เคารพกราบไว้บูชา บนบาลศาลกล่าว ของชาวเมืองนครฯ และผู้สัญจรผ่านไปมา เพื่อขอพึ่งบารมีมหิทธานุภาพความศักดิ์สิทธิ์แห่งองค์เทพเทวาผู้รักษาเมืองนคร เสมือนศูนย์รวมจิตใจของชาวพาราคู่กันมากับองค์พระบรมธาตุเจดีย์</span><br />
<span style="color: magenta;"> </span><br />
<span style="color: magenta;"><img alt="" src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201209/08/32818a796.jpg" style="cursor: pointer;" /></span><br />
<br />
<span style="color: purple;">จตุคามรามเทพ หมายถึงเทพรักษาพระบรมธาตุจังหวัดนครศรีธรรมราชสององค์ คือ ท้าวขัดตุคาม และ ท้าวรามเทพ ซึ่งเดิมในความเชื่อของศาสนาพราหมณ์เป็นเทพชั้นสูง และมีอยู่ทั่วไปทุกภาคของประเทศไทย แต่เมื่อภูมิภาคแถบอุษาคเนย์นี้รับอิทธิพลของพุทธศาสนาเข้ามา ท้าวขัดตุคาม และ ท้าวรามเทพ จึงถูกเปลี่ยนสถานะเป็นเทวดารักษาพระบรมธาตุและเปลี่ยนชื่อให้เป็นมงคลเป็น ท้าวจตุคาม และสถิตอยู่บนที่บานประตูทางขึ้นพระบรมธาตุ ในปี พ.ศ. 2530 เมื่อมีการตั้งดวงเมืองนครศรีธรรมราชขึ้นใหม่ จึงมีการอัญเชิญจตุคามรามเทพไปสถิต ณ ที่นั้นเป็นต้นมา</span><br />
<span style="color: purple;"> </span><br />
<span style="color: purple;"><img alt="" src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201209/08/32818dff8.jpg" style="cursor: pointer;" /></span><br />
<br />
<span style="color: #333399;">แม้กาลต่อมาจะล่มสลายไปตามกาลเวลาและยุคสมัยเปลี่ยนไป ธ ยังสถิตอยู่ ณ รูปจำหลักที่บานประตูไม้ทั้งสอง ทางขึ้นลานประทักษิณรอบองค์พระบรมธาตุเจดีย์ นครศรีธรรมราชนั่นเอง ส่วนบริวารทั้ง ๔ เป็นเทวดารักษาเมืองประจำทิศของเมืองเช่นกัน</span><br />
<span style="color: #333399;"> </span><br />
<span style="color: #333399;"><img alt="" src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201209/08/32818cc35.jpg" style="cursor: pointer;" /></span><br />
<br />
<span style="color: #ff6600;">ส่วนเทวดารักษาเมืองโดยรอบศาลหลักเมืองนั้น อธิบายไว้เป็น สามแนวหรือ สามระดับ คือ </span><br /><span style="color: #ff6600;">แนวแรก (ระดับล่าง) เป็นเทวดารักษาทิศ </span><br /><span style="color: #ff6600;">เทวดารักษาทิศเหนือชื่อ ท้าวกุเวร </span><br /><span style="color: #ff6600;">เทวดารักษาทิศตะวันออก ชื่อ ท้าวธตรฐ </span><br /><span style="color: #ff6600;">เทวดารักษา ทิศใต้ ชื่อ ท้าววิรุฬหก</span><br /><span style="color: #ff6600;">เทวดารักษาทิศ ตะวันตก ชื่อ ท้าววิรุฬปักษ์</span><br />
<span style="color: #ff6600;">แนวที่สอง (ระดับกลาง) เป็นจตุโลกเทพ </span><br /><span style="color: #ff6600;">พระเสื้อเมือง</span><br /><span style="color: #ff6600;">พระทรงเมือง</span><br /><span style="color: #ff6600;">พระพรหมเมือง</span><br /><span style="color: #ff6600;">พระบันดาลเมือง</span><br />
<span style="color: #ff6600;"> </span><br />
<span style="color: #ff6600;"><img alt="" height="520" src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201209/08/32818e8bb.jpg" style="cursor: pointer; width: 617px;" width="714" /></span><br />
<br />
<span style="color: green;">แนวที่สาม (ระดับสูง ) เป็นไปตามคติพระพุทธเจ้าห้าพระองค์ในจักรวาลของพุทธศาสนามหายาน</span><br /><span style="color: green;">พระธยานิพุทธไวโรจนะพุทธเจ้าอยู่ตรงกลาง </span><br /><span style="color: green;">พระธยานิพุทธอักโษภยะพุทธเจ้าอยู่ด้าน ตะวันออก </span><br /><span style="color: green;">พระธยานิพุทธอมิตาภะพุทธเจ้าอยู่ด้านตะวันตก </span><br /><span style="color: green;">พระธยานิพุทธรัตนสมภวพุทธเจ้าอยู่ด้านทิศใต้</span><br /><span style="color: green;">พระธยานิพุทธอโมฆสิทธิพุทธเจ้าอยู่ด้านเหนือ</span><br /><span style="color: green;">หลักเมืองอันงดงามที่ปรากฏอยู่ในทุกวันนี้ องค์จตุคามรามเทพ และบริวารนี่เองที่ได้แสดงความอัศจรรย์ให้ปรากฏด้วยการประทับทรง หรือ ผ่านร่าง มาบอกกล่าวให้สร้างหลักเมือง แก้อาถรรพณ์ สร้างความรุ่งเรือง สงบร่มเย็น คืนสู่นครศรีธรรมราชอีกวาระหนึ่ง</span><br />
<span style="color: green;">ในการสร้างหลักเมืองนครศรีธรรมราชนั้น ทราบกันดีว่าประกอบด้วยพิธีกรรมสำคัญๆ หลายครั้งหลายวาระ ซึ่งในพิธีกรรมแต่ละครั้ง คณะกรรมการผู้ดำเนินการสร้างหลักเมือง ได้จัดสร้างวัตถุมงคลขึ้นมาเป็นที่ระลึก แจกจ่ายสมณาคุณแก่ผู้ร่วมบริจาคทรัพย์ สมทบทุนในการสร้างหลักเมือง</span><br />
<span style="color: green;"> </span><br />
<span style="color: green;"><img alt="" height="540" src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201209/08/32818817f.jpg" style="cursor: pointer; width: 617px;" width="741" /></span><br />
<br />
<span style="color: red;">ศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช อันเป็นที่ประดิษฐานหลักเมืองของจังหวัดนครศรีธรรมราช สร้างขึ้นตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสร้างสิ่งที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ ประกอบด้วยคณะ กรรมการหลายฝ่าย ทั้งภาครัฐ พ่อค้า ประชาชน ในที่ดินของราชพัสดุ บริเวณทิศเหนือของสนามหน้าเมือง มีเนื้อที่ประมาณ ๒ไร่</span><br />
<span style="color: red;">อาคารหลัก ประกอบไปด้วยอาคาร ๕ หลัง หลังกลางเป็นที่ประดิษฐานหลักเมือง ลักษณะของการออกแบบมีศิลปะคล้ายศิลปะศรีวิชัย วางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ ๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๒ ส่วนอาคารเล็ก ๔ หลัง ถือเป็นบริวารประจำทิศทั้ง ๔ เรียกว่า ศาลจตุโลกเทพ ประกอบด้วย พระเสื้อเมือง , พระทรงเมือง , พระพรหมเมือง , และ พระบันดาลเมือง วางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ ๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ เสร็จสมบูรณ์ในปี พ.ศ. ๒๕๔๒ ผู้ออกแบบอาคารศาลหลักเมืองคือ ยุทธนา โมรากุล</span><br />
<span style="color: red;"> </span><br />
<span style="color: red;"><img alt="" src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201209/08/328182014.jpg" style="cursor: pointer;" /></span><br />
<br />
<span style="background-color: white; color: navy;">พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯให้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯ มาทรงเปิดอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๓</span><br />
<span style="background-color: white; color: navy;">การก่อสร้างศาลหลักเมืองของนครศรีธรรมราช ใช้เวลาดำเนินการตั้งแต่เริ่มต้นจนเสร็จสมบูรณ์เป็นเวลาสิบกว่าปี เหตุที่ล่าช้าเนื่องมาจาก การดำเนินการแต่ละขั้นตอน ประกอบด้วยพิธีกรรมสำคัญ ๆ หลายครั้งต่างวาระอย่างต่อเนื่อง บางพิธีกรรมจำเป็นต้องใช้ระยะเวลา</span><br />
<span style="background-color: white; color: navy;">ย้อนกลับไปเมื่อช่วงประมาณปีพุทธศักราช ๒๕๒๘ พื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้เกิดปัญหาอาชญากรรม อิทธิพลอำนาจมืด และนับวันจะเพิ่มทวีความรุนแรงขึ้น รัฐบาลภายใต้การนำของ ฯพณฯ พลเอกปราม ติณสูลานนท์ นายรัฐมนตรีและ พล.อ.สิทธิ์ จิระโรจน์ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เร่งรัดให้กรมตำรวจ คัดเลือกนายตำรวจฝีมือดีไปแก้ไขปัญหาโดยด่วน</span><br />
<span style="background-color: white; color: navy;">พล.ต.อ. สรรเพชญ ธรรมาธิกุล (ยศขณะนั้น) คือนายตำรวจที่ได้รับการคัดเลือกในครั้งนั้นให้ไปดำรงตำแหน่งผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อปราบปรามโจรผู้ร้าย และเหล่ากลุ่มอิทธิพลอำนาจมืดทั้งหลาย</span><br />
<span style="background-color: white; color: navy;"> </span><br />
<span style="background-color: white; color: navy;"><img alt="" height="569" src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201209/08/328181c31.jpg" style="cursor: pointer; width: 617px;" width="781" /></span><br />
<br />
<span style="color: grey;">วันหนึ่ง ณ วัดนางพระยา บ้านปากนคร เทวดารักษาเมือง (องค์จตุคามรามเทพ) ได้สร้างความอัศจรรย์ด้วยการประทับทรงบอกกล่าว ต้องการให้ช่วยสร้างหลักเมือง ทำจากไม้ตะเคียนทองงอกอยู่ทางทิศเหนือของเมืองนครศรีธรรมราช</span><br />
<span style="color: grey;">องค์จตุคามรามเทพ บอกและอธิบายอีกว่า..ในตอนนี้เราต้องทำพิธีกรรมก่อน มีหลายพิธีที่ต้องใช้เวลา เช่น พิธีกรรมเทพชุมนุมตัดชัย ทำในวิหารหลวง ให้ปักธงศรีวิชัยขึ้นห่มพระธาตุ เป็นนัยว่าเราเปิดธงรบกับพวกเหล่าร้าย เช่น พวกโจร หรืออาถรรพ์จัญไรต่าง ๆที่รบกวนเมืองนครฯ..</span><br />
<span style="color: grey;"> </span><br />
<span style="color: grey;"><img alt="" height="565" src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201209/08/3281887aa.jpg" style="cursor: pointer; width: 617px;" width="775" /></span><br />
<br />
<span style="color: #003300;">และคณะดำเนินการสร้างศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช ตั้งแต่ปีพ.ศ. ๒๕๒๘ เป็นต้นมา ได้มีการประกอบพิธีกรรมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งส่วนใหญ่ดำเนินไปตามคำบอกกล่าวของเทวดารักษาเมืองหรือองค์จตุคามรามเทพทุกขั้นตอนเป็นลำดับ</span><br />
<span style="color: #003300;"> </span><br />
<span style="color: #003300;"><img alt="" height="573" src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201209/08/328186995.jpg" style="cursor: pointer; width: 617px;" width="786" /></span><br />
<br />
<span style="color: navy;">สุริยคติกาล : วันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2539</span><br /><span style="color: navy;">จันทรคติกาล : วันพฤหัสบดี ขึ้น 25 ค่ำ เดือน 6 ปีชวด จ.ศ. 1358</span><br /><span style="color: navy;">สมภพกาล : เวลา 14.29 นาฬิกา</span><br /><span style="color: navy;">ลัคนากำเนิด : สถิตราศีสิงห์ 24 องศาโดยประมาณ เกาะนวางค์อังคาร ตรียางอังคาร ตรงกลุ่มชื่อ ปุรผลคุนี อันเป็น มหัธโนแห่งกฤษ์</span><br />
<span style="color: navy;"> </span><br />
<span style="color: navy;"><img alt="" height="603" src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201209/08/3281805f8.jpg" style="cursor: pointer; width: 617px;" width="827" /></span><br />
<br />
<span style="color: #333399;">หลักการและเหตุผล</span><br /><span style="color: #333399;">ทฤษฎีในวิชาจตุโลกธาตุเชื่อว่า ดวงอาทิตย์ เป็นขุมคลังแห่งพลังความร้อน แสง และแรงดึงดูดมหาศาล ยึดเหนี่ยวดาวเคราะห์ทั้งหลายให้โคจรหมุนเวียนรอบตนเองเพื่อรับแสงและพลังความร้อนสะท้องรังสีไปมาถึงกันดุจดังครอบครัว และสังคมของดวงดาวในระบบสุริยะจักรวาล โหราจารย์ซึ่งเรียนรู้ถึงความสัมพันธ์อันยิ่งใหญ่ดังกล่าวนี้อย่างลึกซึ้ง จึงผูกเรื่องราวเป็นนิทานชาติเวรแห่งดาวเคราะห์ว่า มีสภาพความเป็นไปคล้ายกับชีวิตของคนเรา ทั้งยังมีอิทธิพลให้คุณและให้โทษต่อมนุษย์ สัตว์ พืช ตลอดจนสรรพสิ่งในโลกด้วย เช่นกล่าวไว้ตอนหนึ่ง</span><br />
<span style="color: #333399;">เมื่อมิตรก็ชื่นชอบ บ่มีโทษแถงทัณฑ์</span><br /><span style="color: #333399;">ปางเป็นศัตรูสรร พบาปะอุบัติเป็น</span><br />
<span style="color: #333399;"> </span><br />
<span style="color: #333399;"><img alt="" src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201209/08/32818eade.jpg" style="cursor: pointer;" /></span><br />
<br />
<span style="color: purple;">แม้ว่าในวิชาดาราศาสตร์กล่าวถึงดวงอาทิตย์ว่าเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์ ตัวการก่อให้เกิดคลื่นพลังทั้งมวลก็ตาม แต่วิชาโหราศาสตร์ก็เชื่อว่า โลกของเราเป็นดาวเคราะห์เพียงดวงเดียวในระบบสุริยะจักรวาลซึ่งเป็นแหล่งรวมของกระแสธาตุสำคัญ อันได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ในขณะที่ดาวเคราะห์อื่น ๆ </span><br /><span style="color: purple;">มีอยู่ไม่ครบถ้วน</span><br />
<span style="color: purple;">ความสัมพันธ์ระหว่างโลกกับจักรวาลได้ก่อให้เกิด มวลชีวิต วัตถุ ปรากฏการณ์ของธรรมชาติดังที่รู้เห็นกันอยู่ ความเป็นมาพัฒนาการของมนุษยชาติตั้งแต่สมัยอดีตจนถึงปัจจุบัน ยังคงเป็นความลับที่ยังไม่สารารถอธิบายตามหลักวิชาการได้แน่ชัด</span><br />
<span style="color: purple;"> </span><br />
<span style="color: purple;"><img alt="" src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201209/08/32818d222.jpg" style="cursor: pointer;" /></span><br />
<br />
<span style="color: red;">ด้วยเหตุ พิธีพุทธไภรพ หรือที่หนังสือประวัติศาสตร์อินโดนิเชีย เรียกว่า “ ปาลาปา ” อันเป็นพิธีกรรมโบราณของราชสำนักศรีวิชัยนั้น โดยแท้จริงแล้วก็คือ การนำความรอบรู้ในวิชาโหราศาสตร์ระบบจันทรคติ ซึ่งหยั่งรู้ถึงความหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงของวัฏจักร มีรากฐานสำคัญมาจากความสัมพันธ์อันยิ่งใหญ่ระหว่าง ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ โลก ดาวเคราะห์ และมนุษย์ นำมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์เร้นลับซึ่งมีอยู่เฉพาะในโลก เรียกว่า วิญญาณธาตุ หรือ ดาวพระเกตุ สามารถกดดันบันดาลให้เกิดความมหัศจรรย์ได้นานาประการ</span><br />
<span style="color: red;"> </span><br />
<span style="color: red;"><img alt="" src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201209/08/3281898eb.jpg" style="cursor: pointer;" /></span><br />
<br />
<span style="color: magenta;">ศาสนาพุทธนิกายมหายานเชื่อว่า จิตตานุภาพของมนุษย์ทรงพลังยิ่งใหญ่เหนือสิ่งทั้งปวงมีภูมิปัญญาสามารถในการสร้างสรรค์โลกให้เกิดความสมบูรณ์พูนสุข ขจัดความทุกข์ยากเดือดร้อนได้ หากบุคคลนั้นบำเพ็ญบารมีธรรมจนบรรลุความเป็น พระโพธิสัตว์ ย่อมปรุงแต่งแปลงสภาพสรรพสิ่งเหมือนดังปรากฏการณ์ธรรมชาติ คติธรรมการสร้างรูป พระศิวะ พระวิษณุ พระพรหม ในศาสนาพราหมณ์ก็ดี รูปพระโพธิสัตว์ พระพุทธรูป ในศาสนาพุทธก็ดี ล้วนกระทำขึ้นตามวัน เวลาที่ถือว่าเป็นมงคลสูงสุด ตามหลักวิชาโหราศาสตร์ทั้งสิ้น โดยมุ่งหมายสืบสร้างวาสาบารมี ประคับประคองค้ำจุนดวงชะตาให้เกิดความมั่นคงมั่งคั่ง สมัยโบราณพระมหากษัตริย์ เสนาบดีชั้นสูง ผู้มีอำนาจวาสนาเท่านั้น ที่มีโอกาสได้ประกอบพิธีกรรมดังกล่าว คนธรรมดาทั่วไปอาจทำได้เพียงทำบุญให้ทาน ค้ำต้นโพธิ์ต้นไทร สะเดาะเคราะห์ด้วยวิธีอย่างอื่น </span><br />
<span style="color: magenta;"> </span><br />
<span style="color: magenta;"><img alt="" src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201209/08/32818eff9.jpg" style="cursor: pointer;" /></span><br />
<br />
<span style="color: #993300;">การเพิ่มพลังแสดงอาทิตย์ คลื่นพลังแสงจันทร์ให้แก่ดวงชะตาที่เรียกว่า พิธีพุทธไภรพ นั้นจำเป็นต้องผ่านการรองรับของรูปธรรมจำลองที่คงทนถาวร เช่นโลหธาตุ หรือ ศิลา โดยสร้างขึ้นตามศิลปกรรมแห่งยุค เพื่อให้เป็นสถานที่ซึมซับคลื่นพลังแสง กระแสธาตุของดวงดาว อานุภาพของจิตอธิฐาน วิชาการเก่าแก่นี้เชื่อว่า ตราบใดที่ดวงเคราะห์ในท้องฟ้ายังสะท้อนแสงไปมา พระราหูยังลักลอบขโมยธาตุจากชั้นฟ้าลงมาป้อนให้แก่โลก สื่อสัญญาณซึ่งประดิษฐ์ขึ้นอย่างถูกต้องตามพิธีกรรมในทางจิตศาสตร์ ย่อมแผ่รังสีสะท้องกันไปมาระหว่าง ดวงชะตาของบุคคล กับรูปจำลอง อยู่ตราบนั้น</span><br />
<span style="color: #993300;"> </span><br />
<span style="color: #993300;"><img alt="" src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201209/08/32818e5a1.jpg" style="cursor: pointer;" /></span><br />
<br />
<span style="color: green;">วันพฤหัสบดี ขึ้น 2 ค่ำเดือน 6 ปี ชวด อันประกอบด้วยมหัธโนแห่งฤกษ์ในราศีสิงห์ นั้นกำหนดให้ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ฉายแสงเจิดจ้าตรงจุดศูนย์สูตร เพื่อขับคลื่นพลังแสงและกระแสธาตุแผ่กระจายไปรอบทิศทาง ควบคุมเหล่าดาวบาปเคราะห์ร้ายมิให้ก่ออันตรายจนเกินไป ตามกฎแห่งความสมดุลย์เพื่อการแผ่ขยายอำนาจไปสู่ความยิ่งใหญ่ ฤกษ์พานาทีเช่นนี้กล่าวกันว่า ถ้าปราศจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยินยอมพร้อมใจแล้ว เท่ากับเป็นการอวดดุตริมนุษย์ธรรมที่ล่อแหลมใกล้เขตฉิมทฤกษ์ ซึ่งเสี่ยงต่อความวิบัติล่มจมแต่ในภาวะที่ต้องแข่งขันช่วงชิงให้ได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาด เมื่อดาวเคราะห์ในระบบสุริยคติเปิดช่อง ดวงชะตาบ้านเมืองกำลังตกต่ำ ดวงดาวจะโคจรวิปริต การประกอบพิธีสร้างรูปพระโพธิสัตว์นาคปรกขึ้น ท่ามกลางมหาสมุทรอันไพศาล จึงอุปมาดังการสร้างหลักชัยของชีวิตขึ้นใหม่อย่างเป็นรูปธรรม</span><br />
<span style="color: green;"> </span><br />
<span style="color: green;"><img alt="" src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201209/08/328185c51.jpg" style="cursor: pointer;" /></span><br />
<br />
<span style="color: navy;">หลักเมืองนครศรีธรรมราช ได้พิสูจน์ให้เห็นหลายครั้งหลายหนถึงการับรู้ของฟ้าดินหากการประกอบพิธีกรรมนั้นถูกต้องเป็นต้นว่า พระอาทิตย์ทรงกลด พระจันทร์ทรงจักร ฝนตก ฟ้าสลัว</span><br />
<span style="color: navy;"> </span><br />
<img alt="" height="573" src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201209/08/3281874be.jpg" style="cursor: pointer; width: 617px;" width="786" /><br />
<br />
<span style="color: olive;">ท่านพลตำรวจตรีขุนพันธ์รักษ์ราชเดช กล่าวว่า วัตถุมงคลที่ระลึกศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช คือ วัตถุมงคลที่เป็นสุดยอดของความเข้มขลัง มีความศักดิ์สิทธิที่ไม่เคยสร้างสิ่งใด ๆ ได้เหนือไปกว่านี้แล้ว เป็นการประกอบพิธีทางไสยศาสตร์ที่สมบูรณ์แบบได้ประจาตุกายสิทธิ์ทุกชนิดที่ท่านมีอยู่ เช่น เหล็กไหล เหล็กหลบ เหล็กย้อย ธาตุอรหันต์ คนธรรม์ เขี้ยวแก้ว คตต่าง ๆ ที่เป็นธาตุกายสิทธิ์ สะสมไว้ตั้งแต่สมัยหนุ่มรวบรวมนำลงไปผสมในวัตถุมงคลรุ่นนี้จนหมดสิ้น วิชาความรู้ต่างๆ ที่ร่ำเรียนมาในโอกาสดำเนินการครั้งนี้ ทำตามความรู้ที่ได้รับถ่ายทอดจากครูบาอาจารย์ทุกอย่าง ขอรับรองว่าคงหาวัตถุมงคลใดเทียบเทียมได้ยาก ใครมีโอกาสได้รับก็ขอให้เก็บไว้ และ ถ่ายทอดให้แก่ลูกหลานคุ้มครองวงศ์ตระกูลให้เจริญรุ่งเรืองต่อไปเถิด "</span><br />
<span style="color: olive;"> </span><br />
<span style="color: olive;"><img alt="" height="582" src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201209/08/3281838af.jpg" style="cursor: pointer; width: 617px;" width="799" /></span><br />
<br />
<span style="color: #993366;">รูปแบบ ประดิษฐ์เป็นรูปวงกลมวัฏจักรตามอุดมคติศิลปะศาสตร์ศรีวิชัย ทำรูปพญาราหูอมจันทร์รายล้อมทั้ง 8 ทิศ กงจักรล้อมดวงตรา 12 นักษัตร ตรงกลางปติมากรรมพระเทวะโพธิสัตว์แห่งทะเลใต้เป็นองค์ประธาน ด้านหลังสลักยันต์หัวใจธรณี หัวใจมนุษย์ หัวใจพระคาถากำกับธาตุตามคติธรรมชาวศรีวิชัย พระเนื้อผงสริยัน – จันทรา คณะช่างได้บรรจงสร้างขึ้นอย่างประณีตงดงามสุดยอดศิลปกรรมแห่งยุค สอดคล้องตรงตามศาสตร์ชาวชวากะ เป็นแบบแผนสืบไป </span><br />
<span style="color: #993366;"> </span><br />
<span style="color: #993366;"><img alt="" height="596" src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201209/08/328184374.jpg" style="cursor: pointer; width: 617px;" width="818" /></span><br />
<br />
<span style="color: maroon;">พิธีกรรม ดวงตราพญาราหูอมจันทร์ อันเป็นดวงตราแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ของชาวทะเลใต้ซึ่งไม่เคยมีผู้ใดล่วงรู้มาก่อนว่า รูปรอยตรามหาจักรพรหม เป็นตราประจำองค์ ราชันดำจตุคามรามเทพ ที่หวงแหน ล่วงละเมิดมิได้ พลตำรวจตรีขุนพันธรักษ์ราชเดช พันตำรวจเอกสรรเพชญ์ ธรรมาธิกุล ได้หยั่งรู้ในความหมาย จึงประกอบพิธีกรรมอันเชิญดวงวิญญาณของ องค์จตุคามรามเทพ ปฐมกษัตริย์ศรีวิชัย ขออนุญาตให้ใช้ดวงตราศักดิ์สิทธิ์ประดิษฐ์ พระสุริยัน – จันทรา ให้ปรากฏตามเบญจเทพนิมิตบอกกล่าวส่วนผสมตามแบบโบราณ</span><br />
<span style="color: maroon;"> </span><br />
<span style="color: maroon;"><img alt="" height="571" src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201209/08/32818e47f.jpg" style="cursor: pointer; width: 617px;" width="783" /></span><br />
<br />
<span style="color: #ff6600;">ประการแรก สมมุติหมายถึง ทิศสำคัญ 8 ทิศ คือทิศใหญ่ 4 ทิศ ทิศน้อย 4 ทิศ โดยเฉพาะทิศตะวันออก ซึ่งดวงอาทิตย์เริ่มให้แสงสว่างแก่โลกบังเกิดความอบอุ่น อันเป็นมูลฐานปรุงแต่งธาตุให้เกิดมวลชีวิต วัน คืน ฤดูกาล กำหนดในดวงตราให้พญาราหูตรงกลางเป็นรูปหนูเป็นทิศตะวันออก พญาราหูตรงกับรูปกระต่าย เป็นทิศเหนือ ในแต่ล่ะทิศสมมุติว่ามีจตุโลกเทพและจตุโลกบาล เฝ้ารักษาผู้ตรัสสู้ธรรมย่อมหยั่งรู้ด้วยญาณทัศนะ ทราบถึงธรรมชาติสามารถให้พญาราหูประจำทิศ กำหนดควบคุมให้เกิดประโยชน์แก่ตนมากที่สุด หากเป็นโทษอาจเปลี่ยนแปลงแก้ไขตามกาลจักรศาสตร์</span><br />
<span style="color: #ff6600;"> </span><br />
<span style="color: #ff6600;"><img alt="" height="595" src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201209/08/3281893ae.jpg" style="cursor: pointer; width: 617px;" width="816" /></span><br />
<br />
<span style="color: magenta;">ประการสอง สมมุติแทนสัญลักษณ์ของดาวเคราะห์สำคัญที่มีอิทธิพลต่อโลกมนุษย์ ด้วยเป็นขุมพลังแสง อนุภาคแสง ปรุงแต่งกระแสธาตุบนพื้นโลก คือ ดวงอาทิตย์ กำหนดให้พญาราหูตรงกับรูปกระต่าย แทนนามวัน คือ วันอาทิตย์ นับเวียนขวา มีพญาราหูแทนนาม วันจันทร์ วันอังคาร วันพุธ วันพฤหัสบดี วันศุกร์ วันเสาร์ ส่วนพญาราหูตรงกับรูปเสือ สัตว์ดุร้ายกินสัตว์อื่นเป็นภักษาหารลำดับที่ 8 มิได้นำมากำหนดเป็นนามวัน เพราะดาวโลกเป็นที่อยู่อาศัย เกิด แก่ เจ็บ ตาย เวียนว่ายตายเกิดตามวัฏจักรโหราจารย์เรียกว่า วันราหู หรือ จุดฆาต เพราะทั้งมวลชีวิตทุกรูปแบบจะต้องเกิดต้องตายลงในวันใดวันหนึ่งอย่างแน่นอน โดยพญาราหูลำดับที่ 8 เป็นผู้กำหนด และเป็นสถานที่รองรับความหมายแห่งดาวเคราะห์ที่มีอยู่มากมาย สุดที่จะอธิบายให้หมดสิ้นได้</span><br />
<span style="color: magenta;"> </span><br />
<span style="color: magenta;"><img alt="" height="591" src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201209/08/32818a69b.jpg" style="cursor: pointer; width: 617px;" width="811" /></span><br />
<br />
<span style="color: green;">ครั้นได้รับอนุญาตแล้ว จึงประกอบพิธีกรรมปลุกเสกเนื้อผงทั้งปวงกลางทะเลลึก ปลุกเสกบนภูเขาขุนพนม ปลุกเสกกลางทุ่งนา ครบถ้วนตามภูมิ 3 ภูมิ คือภาคพื้นดิน ภาคพื้นน้ำ ภาคพื้นอากาศ อาราธนาพระอาจารย์แห่งสำนักวัดเขาอ้อ ปลุกเสกสาธยายมนต์ตามประเพณีชาว 12 นักษัตร รูปแบบและพิธีกรรมพระเนื้อผง สุริยัน - จันทรา จึงอุปมาดังจำลองจักรราศีบนฟากฟ้า ปรากฏในประติมากรรมโน้นนำพลังกระแสคลื่น และรังสีทั้งหลายในอากาศธาตุ ตลอดจนคลื่นลมในมหาสมุทร และพื้นธรณีประจุเข้าสู่มวลวัตถุมงคล ให้ทรงฤทธานุภาพยิ่งใหญ่เป็นครั้งแรก และครั้งเดียวที่ครบถ้วยตามแบบแผนของบรรพบุรุษชาว ชวา</span><br />
<span style="color: green;"> </span><br />
<span style="color: green;"><img alt="" height="591" src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201209/08/32818505c.jpg" style="cursor: pointer; width: 617px;" width="811" /></span><br />
<br />
<span style="color: blue;">รูปสัตว์ดาว 12 นักษัตร</span><br />
<span style="color: blue;">ห้วงสุริยจักรวาลอันเวิ้งว้างหาขอบเขตมิได้ประกอบด้วยดาวฤกษ์สำคัญ มองเห็นเป็นรูปสัตว์ 12 ชนิด เรียงรายไปบรรจบกันเป็นรูปวงกลม เมื่อแบ่งรัศมีวงกลมออกเป็นราศีอาณาเขตของกลุ่มดวงฤกษ์โดยเฉลี่ยกัน ดาวนักษัตรเหล่านี้กว่าที่โลกจะโคจรผ่านพ้นไปได้ ใช้เวลา 1 ปี จะต้องเดินทางนานถึง 12 ปี จึงจะครบรอบ 1 นักษัตร ตามความเป็นจริง กลุ่มดาวนักษัตรอยู่ห่างไกลจากเส้นทางโคจรของโลกและไม่มีทางไปถึงดาวนักษัตรเหล่านั้นได้เลย แต่เมื่อโลกล่องลอยอยู่ตรงกับอาณาเขตของกลุ่มดาวนักษัตรใด ด้านหลังของโลกจะกลายเป็นเงามืดมหึมา ดำมืดทอดยาวแผ่รัศมีกว้างไกลออกไปในห้วงจักรวาลสุดพรรณนา จึงสมมุติเงาของโลกอุปมาดังพญาราหู อสุราจอมมารร้าย ด้วยห้วงบรรยากาศอันหนาวเย็น บริเวณเงาพญาราหูปกคลุมไปด้วยมวลธาตุคลื่นพลังรังสีนานาชนิด คราใดต้องอนุภาคแสดงดาวบาปเคราะห์เข้า จะเกิดปฏิกิริยาปั่นป่วนพลังร้ายขึ้นทันที ยิ่งประกอบกับดาวนักษัตรร้ายด้วยแล้วอำนาจของดาวนักษัตรจะส่งเสริมความเลวร้ายหลายเท่าทวีคูณ โลกจะพบกับความวิบัติร้ายแรง ด้วยพญาราหูที่มีหน้าที่ปฏิบัติตามคำบัญชาของจักรวาลโดยไม่บิดพลิ้ว มวลชีวิตและวัตถุในโลกก็พบกับควาทุกข์ยาก เช่น ดาวนักษัตรปีมะแม รูปแพะ ธรรมชาติของสัตว์อาศัยหากินตามป่าดอน ไม่ชอบน้ำในช่วงปีนักษัตรนั้นจะบังเกิดความแห้งแล้งขึ้นในโลก หากดาวนักษัตรปีมะโรง สัญลักษณ์จอมนาคราชสัตว์ผู้เป็นเจ้าแห่งสมุทร โปรดปรานการเล่นน้ำ มักเกิดน้ำท่วมใหญ่ แผ่นดินถล่มทลาย ผู้คนล้มตายด้วยพิษนาค ดังนี้เป็นต้น</span><br />
<span style="color: blue;"> </span><br />
<span style="color: blue;"><img alt="" height="579" src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201209/08/32818e5ea.jpg" style="cursor: pointer; width: 617px;" width="794" /></span><br />
<br />
<span style="color: #333399;">แม้แต่ชีวิตของบุคคล การถือกำเนิดขึ้นในปีนักษัตรใด บุคลิกภาพ นิสัย ความพอใจมักโน้มเอียงไปตามอุปนิสัยของรูปสัตว์ประจำดาวนักษัตร เหตุการณ์บ้านเมืองก็มักเปลี่ยนแปลงไปตามอำนาจของดวงดาว การก่อกบฏ การสงคราม ที่เกิดขึ้นในนักษัตรรูปเสือ ผู้คนจะฆ่าฟันกันล้มตายเลือดนอนแผ่นดิน ยิ่งในปีนั้นพญาราหูดับแสงเดือนแสงตะวันจนมืดมิด เรียกว่า จันทรคราส – สุริยคราส ด้วยแล้ว ผลแห่งภัยพิบัติจะเพิ่มความร้ายแรงหลายเท่าตัว </span><br />
<span style="color: #333399;"> </span><br />
<span style="color: #333399;"><img alt="" src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201209/08/328187508.jpg" style="cursor: pointer; width: 617px;" /></span><br />
<br />
<span style="color: teal;">รูปวงกลมตรงศูนย์กลาง</span><br />
<span style="color: teal;">รูปสมมุติแห่งความว่างเปล่ามีความหมายหลายประการ เช่น วิญญาณ ธาตุศูนย์กลางจักรวาล การตั้งฟ้าตั้งดิน เป็นต้น ตำนานชาวชวากะถือว่า ตรงจุดศูนย์กลางแห่งดวงตราพญาราหูอมจันทร์เป็นจุดสำคัญที่สุด คล้ายกับคติธรรมการสร้างพระพุทธเจดีย์ อันเป็นการจำลองโน้มนำสังเวชนีย์สถานทุกแห่งไปรวมกันไว้ ณ จุดเดียว อุปมาดังศูนย์กลางปลงธรรมสังเวชซึ่งบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง หมายถึง นิพพานภพ</span><br />
<span style="color: teal;">วิญญาณธาตุ เป็นนามธรรม ไม่มีตัวตน ว่างเปล่า คล้ายกับอากาศธาตุ แต่ไม่ใช่ลมเพราะลมเป็นสะสารที่สามารถวัด สัมผัส จำกัดขอบเขต นักวิทยาศาสตร์ทั่วไปเล่นแร่แปรอากาศธาตุได้เช่นเดียวกับวัตถุอื่น ทราบถึงที่มาสาเหตุทางวิชาการ ก่อให้เกิดประโยชน์มหาศาลจากพลังงานธรรมชาติชนิดนี้ แต่วิญญาณาธาตุไม่เคยปรากฏอยู่ในศาสตร์สาขาใด นอกจากคำสอนของศาสนาเรียนรู้อยู่ในหมู่ผู้ปฏิบัติธรรม เรียกว่า “ ดวงจิต ” คนเราเมื่อยังมีชีวิตอยู่ร่างกายเปรียบประดุจบ้านเรือนที่พักอาศัย จิตใจเป็นเหมือนเจ้าของคอยควบคุมบงการไปตามสัญชาติ คือ กิเลสตัณหาความต้องการไม่มีที่สิ้นสุด สามัญสำนึกคล้ายกับสัตว์เดรัจฉานทั่วไป หากปราศจากความถูกต้องชอบธรรมขนบธรรมเนียมศาสนาช่วยสั่งสอน ขัดเกลา ปลูกฝัง หลักจริยธรรมให้เกิด จิตสำนึกก็ไม่อาจเรียกมนุษย์ว่าเป็นสัตว์ประเสริฐได้ พุทธศาสนาจึงชี้หนทางให้เห็นกฎวัฏสงสารว่า รูปธรรมย่อมถึงกาลแตกดับไปตามอายุขัย ร่างกายก็กาลายเป็นศพ ส่วนดวงจิตอันเป็นนามธรรมก็พลันสละเรือนร่างไปพร้อมกับการสิ้นลมหายใจ ไม่มีผู้ใดทราบว่าไปอยู่ที่ไหน จึงเรียกดวงจิตของผู้ตายไปแล้วว่า วิญญาณ หรือ ผี</span><br />
<span style="color: teal;"> </span><br />
<span style="color: teal;"><img alt="" src="http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201209/08/32818a054.jpg" style="cursor: pointer; width: 617px;" /></span><br />
<br />
<span style="color: #ff6600;">ชาวชวากะเชื่อว่า วิญญาณเป็นธาตุที่ 5 มิได้สลายหายสูญ ได้แปรสภาพกลับคืนกระจายไปกับกระแสลมที่อยู่รอบตัวเรา วิญญาณของคนชั่วมิได้พัฒนา ดวงจิตตกต่ำถูกเหยียดหยามเป็น ภูตผีปีศาจ ส่วนวิญญาณของผู้ปฏิบัติธรรม ดวงจิตใจสูงได้รับการยอย่องเป็น เทพ หรือ เทวดา สุดแต่สร้างบารมีถึงระดับใด ต่างรอเวลากลับมาเกิดใหม่เป็นวัฏสงสาร การล่วงรู้ดังนี้ ชาวชวากะโบราณจึงแนะนำลูกหลานให้ทำบุญอุทิศทานแก่บรรพบุรุษ ญาติมิตรที่ล่วงลับไปแล้ว แผ่บารมีธรรมปกป้องมิให้ดวงวิญญาณทั้งหลายกลับมาจุติในท้องสุนัขในเทศกาลเดือนสิบ นักบวชชาวจีนสมัยโบราณเคยเดินทางมาศึกษา ณ จักรวรรดิศรีวิชัย ได้กลับไปเผยแพร่ในประเทศจีน จึงเกิดเป็นประเพณีนิยมทางศาสนาที่คล้ายคลึงกัน</span><br />
<span style="color: #ff6600;">พระผงสุริยัณ – จันทรา เป็นวัตถุมงคลชนิดหนึ่งในหลายอย่างที่ถูกสร้างขึ้น ตามพิธีกรรมในแบบโบราณอย่างแท้จริง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการสร้างปูชนียสถานของตนเองให้มากทีสุด ด้วยทุนทรัพย์เพียงเล็กน้อย แต่ได้รับสิ่งที่มีคุณค่ามหาศาลเปรียบดังแก้วมณีที่ได้รับการเจียรนัยแล้ว โดยเฉพาะ พระผงสุริยัณ – จันทรา นี้ทำขึ้นตามคติธรรมความเชื่อในระบบจักรวาลวิทยา อันมีดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ เป็นผู้นำในระบบสุริยคติ และระบบจันทรคติ แล้วยังสร้างขึ้นตามหลักการสำคัญของจักรพรรดิจีนในอดีต เมื่อราชทูตจีนเดินทางไปเจริญพระราชไมตรีกับอาณาจักรใดจักรพรรดิจะพระราชทาน คันฉ่องสำริด อันหนึ่งฉายรูปพระพักตร์องค์จักรพรรดิ อันหนึ่งฉายพระพักตร์ฮองเฮา ก็คือ คันฉ่องสุริยัณ – จันทรา ถือกันว่าเป็นวัฒนะรรมอันศักดิ์สิทธิ์และสูงส่งของจีน ที่เคยติดต่อกับศรีวิชัยมาไม่น้อยกว่าสองพันปี เพื่อแสดงให้เห็นว่าดินแดนแห่งนี้เป็นจุดเชื่อมโยงของชาติที่เคยมีอำนาจยิ่งใหญ่ในโลก คือ จีน กับ อินเดีย ไว้ในรูป พระผงสุริยัณ – จันทรา อันเป็นที่มาของรูปแบบศิลปกรรมเก่าแก่ ซึ่งไม่เคยเปิดเผยมาก่อน</span><br />
<span style="color: #ff6600;"> </span><br />
<span style="color: #ff6600; font-size: medium;">ขอบคุณที่มา หลักเมือง ปี 30 ดอทคอม (ข้อมูลได้จาก <a href="http://www.oknation.com/">www.oknation.com</a>)</span><br />
<span style="color: #ff6600; font-size: medium;"></span> </div>
pinkhttp://www.blogger.com/profile/06273115781979449593noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8638023715322892693.post-77734340275389060352013-07-06T16:48:00.002+07:002013-07-06T16:48:40.762+07:00จ่าดำ วีรบุรุษไทย สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
<span style="color: #ff2700;"></span><br />
<span style="color: #ff2700;"><a href="http://1.bp.blogspot.com/_c0r6e7-GsAg/SxJy7GEAXRI/AAAAAAAABsc/FOiTrHUU1po/s1600/%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%88%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%B3+600x450.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" closure_uid_321522706="1" src="http://1.bp.blogspot.com/_c0r6e7-GsAg/SxJy7GEAXRI/AAAAAAAABsc/FOiTrHUU1po/s400/%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%88%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%B3+600x450.jpg" yr="true" /></a></span><br />
<span style="color: #ff2700;"></span><br />
<span style="color: #ff2700;"></span><br />
<span style="color: #ff2700;"> อนุสาวรีย์วีรไทย หรือที่ชาวคอนเรียกกันว่า พ่อจ่าดำ
หรือเจ้าพ่อดำ ตั้งอยู่ภายในใจกลางของค่ายวชิราวุธ กองทัพภาคที่ 4
จังหวัดนครศรีธรรมราช ห่างจากตัวเมืองนครศรีธรรมราชไปตามถนนสายนครศรีธรรมราช-ท่าแพ
ทางทิศเหนือประมาณ 6 กิโลเมตร เป็นหนึ่งในผลงานชิ้นเอกของศาสตราจารย์ ศิลป์
พีระศรี</span><br />
<span style="color: #ff2700;"> ตัวอนุสาวรีย์หล่อด้วยทองแดงรมดำ
เป็นรูปทหารสองมือจับปืนติดดาบเตรียมแทง ขนาดเท่าครึ่งของคนจริง
สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ของทหารไทยในภาคใต้ที่เสียชีวิตในการปะทะกับทหารญี่ปุ่น
ในสงครามมหาเอเซียบูรพา เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2484
เพื่อเป็นการรำลึกถึงวีรกรรมของเหล่าบรรดาทหารหาญที่พลีชีพ ต่อสู้ข้าศึก
เพื่อปกป้องมาตุภูมิ เหตุการณ์การสู้รบในวันนั้น กองทัพไทยต้องสูญเสียกำลังทหาร
และยุวชนทหารช่วยรบในจังหวัดปัตตานี สงขลา สุราษฎร์ธานี ชุมพร ประจวบคีรีขันธ์
และนครศรีธรรมราช รวมกว่า 100 นาย ดังปรากฏนามจารึกไว้ที่ฐานอนุสาวรีย์ทั้ง 6
ด้านอนุสาวรีย์จ่าดำ หรืออนุสาวรีย์วีรไทย
ยังยืนตระหง่านบนจุดที่ได้สู้รบปกป้องปฐพีไทยสืบมา</span><br />
<span style="color: #ff2700;"> เรื่องราวการต่อสู้ดังกล่าวนั้น
มีดังนี้ คือ<br /> ใน พ.ศ.2482 ได้เกิดวิกฤตการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2
ในทวีปยุโรป โดยมีเยอรมนี และอิตาลีซึ่งเรียกว่าฝ่ายอักษะฝ่ายหนึ่ง
กับสัมพันธมิตรซึ่งประกอบด้วยสหราชอาณาจักร และฝรั่งเศษอีกฝ่ายหนึ่ง
การสงครามได้ขยายตัวกว้างขวาง ครั้นถึง พ.ศ.2484 ญี่ปุ่นเข้าร่วมกับฝ่ายอักษะ
สงครามได้ลุกลามเข้าสู่ทวีปเอเชีย โดยญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกพร้อมกันในประเทศสิงคโปร์
อินโดนีเซีย มลายู และประเทศไทย เมื่อเช้าตรู่วันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ.2484
ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่โจมตีฐานทัพเรือเพิร์ลฮาเบอร์ของสหรัฐอเมริกา
ในประเทศไทย ญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกพร้อมกันที่สมุทรปราการ ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร
สุราษฎร์ธานี สงขลา ปัตตานี นครศรีธรรมราช และปราจีนบุรี
โดยที่ฝ่ายไทยไม่คาดคิด<br />
จังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นที่ตั้งกองกำลังสำคัญของภาคใต้ คือมณฑลทหารบกที่ 6
ในเวลานั้นมีพลตรีหลวงเสนาณรงค์เป็นผู้บัญชาการมณฑล เช้าวันเกิดเหตุ
ได้รับแจ้งข่าวจากนายไปรษณีย์ นครศรีธรรมราชว่า ญี่ปุ่นได้ส่งเรือรบประมาณ 15 ลำ
มาลอยลำในอ่าวสงขลา และได้ยกพลขึ้นบกที่เมืองสงขลา<br /> พลตรีหลวงเสนาณรงค์
ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 6
จึงสั่งการรับศึกและสั่งให้เตรียมกำลังเคลื่อนย้ายไปสนับสนุนกองทัพสงขลาโดยด่วน
ขณะเตรียมการอยู่นั้น ก็ได้รับแจ้งจากพลทหารว่า ญี่ปุ่นได้ยกพลขึ้นบกที่บ้านท่าแพ
ตำบลปากพูน ผู้บัญชาการมณฑลจึงสั่งการให้ทุกคนทำการต่อสู่เต็มกำลัง
โดยความมุ่งหมายที่จะมิให้กองทหารญี่ปุ่นเข้ายึดโรงทหารได้เป็นอันขาด
การสู้รบระหว่างทหารไทย ยุวชนทหาร กับทหารญี่ปุ่นเป็นไปในลักษณะประจัญหน้า
พื้นที่บริเวณสู้รบอยู่ในแนวเขตทหารด้านเหนือ กับบริเวณตลาดท่าแพ
มีถนนราชดำเนินผ่านพื้นที่ในแนว เหนือ-ใต้ การรบทำได้ไม่สะดวกนัก เพราะ
ตลอดเวลาตั้งแต่ 07.00-10.00 น. ฝนได้ตกลงมาอย่างหนัก<br />
</span><br />
<span style="color: #ff2700;">การเตรียมรับมือข้าศึก<br /> </span><br />
<span style="color: #ff2700;"> ภายหลังที่ได้รับโทรเลขฉบับนั้น
ผู้บังคับบัญชาการมณฑลทหารบกที่ 6 จึงสั่งการให้แตรเดี่ยว ณ
กองทัพรักษาการณ์ประจำกองบัญชาการ เป็นสัญญาณเหตุสำคัญ
และเรียกหัวหน้าหน่วยที่ขึ้นครงมาประชุมที่กองบัณชาการมณฑลเพื่อเตรียมรับมือข้าศึกซึ่ง
ผบ.มณฑล คาดว่าคงจะบุกขึ้นนครศรีธรรมราชด้วย ในขณะที่ฝนตกลงมาอย่างหนัก<br />
ขณะที่ ผบ.มณ ได้สั่งการและมอบหมายหน้าที่รับข้าศึกอย่างรีบเร่งอยู่นั้น
ก็ได้รับแจ้งข่าวจาก พลฯ จ้อน ใจชื่อ และ พลฯ เติม ลูกเสือ สังกัดหน่วยป.พัน 15
ซึ่งเป็นเวรตรวจเหตุการณ์ที่บ้านท่าแพ (ใกล้ค่ายวชิราวุธ)
ว่าได้พบกองทหารญี่ปุ่นกำลังยกขึ้นจากเรือรบไม่ทราบจำนวนพลทหาร และลำเลียงกำลังด้วย
เรือท้องแบนมาตามคลองท่าแพ จะขึ้นที่ท่าแพ
ในขณะที่จะพยายามจะกลับมารายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบก็ถูกทหารญี่ปุ่นควบคุมตัว แต่
พลฯ จ้อน ใจซื่อ พยายามหลบหนี มารายงานผู้บังคับบัญชาได้ในเวลา07.00 น.
และในเวลาเดียวกัน ส.ท.ประศาสน์ ลิทธิ์วิลัย
ก็วิ่งกระหืดกระหอบมาแจ้งขาวนี้แก่ผู้บังคับการมณฑลด้วย<br /> ผบ.มณฑล
ได้สั่งการให้เปิดคลังแสงและจ่ายอาวุธปืนเล็ก ปืนกล
และปืนประสุนให้แก่ทุกคนที่ยังไม่มีอาวุธประจำกาย
และประกาศให้ทุกคนทำการสู้อย่างเต็มสติกำลัง
โดยความมุ่งหมายที่จะมิให้กองทหารญี่ปุ่นเข้ายึดโรงทหารได้เป็นอันขาด
ผู้ที่ไม่มีผู้บังตับบัญชาแน่นอน
ก็ให้เข้าสมทบกับหน่วยใดหน่วยหนึ่งซึ่งประจำอยู่ตามแนวต่างๆ ในหน่วยร.17<br />
พอคำสั่งด้วยวาจาไม่ว่าจะเป็นคำสั่งประกาศขาดคำลง
ผู้รับคำสั่งทุกคนทุกหมู่ทุกเหล่า ได้รีบลงมือปฏิบัติตามโดยทันที
โดยมิได้มีการสะทกสะท้านหวาดกลัว หรือแสดงอาการตื่นเต้นลังเลแม้แต่น้อย
ทหารทุกหน่วยในมณฑลที่6 ได้เข้าประจำการในลักษณะและหน้าที่ ดังนี้<br /> </span><br />
<span style="color: #ff2700;">1 หน่วย ป.พัน
15 หน่วยนี้ได้ทำหน้าที่ดังนี้<br /> -
เติมน้ำมันแก่รถยนต์ทุกคันและสำรองไว้อีกคันละ 2 ปีบ
ที่เหลือให้กองพลาธิการนำไปซุกซ่อนตามภูมิประเทศหลังโรงที่อยู่ของหมวด สภ.<br />
- พลาธิการเตรีบมสัมภาระพร้อม เสบียงอาหาร เพื่อขนย้ายได้ทันท่วงที<br />
-ส่งทหารเข้ายึดแนวรั้วไร่กสิกรรม ของ ป.พัน 15 ร้อย 2 ด้านใต้
เพื่อยิงต้านทานและเมื่อมีกำลังมาเสริมก็ได้ต่อแนวไปทางทิศตะวันตก
สักครู่ปรากฏว่ามีกระสุนของฝ่ายญี่ปุ่นยิงมาจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือของโรงอาหาร
ผบ.ร้อย 1 จึงนำปืนใหญ่ 2 กระบอกไปตั้งยิงสวนไป<br /> - กองร้อย 1 ใช้ปืน ปบค.105
จำนวน 4 กระบอก ปืน ป.63 จำนวน 2 กระบอก
จากโรงเก็บออกมาตั้งยิงบริเวณหน้าและข้างโรงเก็บ
ส่วนทหารในกองรักษาการณ์ภายในใช้ปืนเล็กทำการต่อสู้<br /> - กองร้อย 2 ลากปืนใหญ่
ป.105 จำนวน 1 กระบอก ซึ่งไปนำคืนมาจากร้านงานฉลองรัฐธรรมนูญ ณ สนามหน้าเมือง
ในตอนเช้าตรู่มาตั้งยิงใกล้คลังกระสุน
แต่เนื่องจากกองร้อยนี้ต้องไปรักษาการณ์ภายนอก
จึงมีทหารอยู่น้อยไม่พอที่จะทำหน้าที่พลประจำปืน
ประกอบกับที่อยู่ของกองร้วยนี้อยู่ใกล้ไปทางท่าแพมาก
พอฝ่ายญี่ปุ่นเริ่มเคลื่อนที่และยิงมา
ก็ทำให้หมดความสามารถที่ทหารจะเข้าไปลากเอาปืนใหญ่มาตั้งยิงเสียแล้ว
จึงต้องใช้ปืนเล็กยิงต่อสู้</span><br />
<span style="color: #ff2700;">2 หน่วย ร.พัน39 หน่วยนี้ได้ทำหน้าที่ดังนี้<br />
- ร้อย 1 และหมวด ส. เป็นกองรบซึ่งยกไปต้านทานทหารญี่ปุ่นที่ตลาดท่าแพ
โดยวางแนวรบเป็น 2 แนว แนวแรกคือ แนวบ้านพักนายทหาร ป.พัน 15 กับโรงที่อยู่ของทหาร
ป.พัน15 ส่วนแนวที่ 2 คือ แนวตลาดท่าแพ<br /> - รอง ผบ.ร.พัน 39
นำกำลังบางส่วนคือ ทหารของ ร.17 ที่ฝากฝึกในหมวด สภ.
นายสิบกองหนุนที่เข้ารับการอบรมกับ ปก.หนัก 1 หมวด
ที่เหลือไปยึดภูมิประเทศทางทิศตะวันออกของที่ตั้ง ร.พัน 39
เพื่อป้องกันมิให้ฝ่ายญี่ปุ่นเข้ายึดโรงทหารจากทิศตะวันออกได้<br /> -
เข้าเสริมแนวรบโดยต่อแนวไปทางปีกขวาบ้าง ปีกซ้ายบ้าง ยึดภูมิประเทศข้างหลัง
แนวรบเพื่อทำหน้าที่เป็นกองหนุนบ้าง
และเมื่อฝ่ายญี่ปุ่นได้กำลังส่วนหนึ่งเข้าโอบทางปีกขวา
หน่วยนี้ก็ได้ส่งกำลังเข้า</span><br />
<span style="color: #ff2700;">ปะทะต้านทานไว้</span><br />
<span style="color: #ff2700;">3 หน่วย พ.มณฑล 6
หน่วยนี้ได้ทำหน้าที่ดังนี้<br />
เป็นผู้รับมอบหมายนำทหารขึ้นรถยนต์มายังหน้าที่ตั้งกองรักษาการณ์ของ ป.พัน 15
แล้วขยายแถวเข้ายึดแนวไร่กสิกรรมของ ป.พัน 15 ร้อย 2 โดยสมทบกับทหาร ป.พัน 15
และกองรักษาการณ์ภายนอกประจำ จว.ทบ.นศ. บ้าง และเข้าต่อแนวไปทางปีกขวาบ้าง
ทหารหน่วยนี้แบ่งกำลังออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก เข้าประจำแนวยิงแรก
อีกส่วนหนึ่งคงมียึดภูมิประเทศในแนวที่ 2 ซึ่งห่างจากแนวแรกประมาณ 100 เมตร
แต่ยังมิได้ทำการยิง ก็ได้เวลาสงบศึกเสียก่อน</span><br />
<span style="color: #ff2700;">4 หน่วย ส.พัน 6
ได้ทำหน้าที่ดังนี้<br /> จัดทหารถือปืนเล็กยึดภูมิประเทศบริเวณโรงที่อยู่ของทหาร
ใน พ.มณฑล และโรงที่อยู่ของทหารใน ส.พัน 6 เพื่อไว้เป็นกำลังหนุนในโอกาสต่อไป
แต่ยังมิได้ทำการยิง ก็พอดีการรบยุติลง</span><br />
<span style="color: #ff2700;">5 หน่วย สร.มณฑล 6
ได้ทำหน้าที่ดังนี้<br /> จัดเปลออกไปรับคนเจ็บ ขนเวชภัณฑ์และสัมภาระมีค่า
ออกมาจากแนวยิง นอกจากนี้ยังมียุวชนทหารจากหน่วยฝึกยุวชนที่ 55
จังหวัดนครศรีธรรมราช จำนวนประมาณ 30 คน มีปืนเล็กประจำกายมาสมทบ เมื่อเวลาประมาณ
09.00 น. และได้รับคำสั่งให้ยึดภูมิประเทศในแนวเดียวกับหน่วย ส.พัน 6
แต่ยังมิได้ทำการยิงก็พอดีการรบยุติลง<br /> เวลาประมาณ 11.00 น. เศษ
ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 6 ได้รับสำเนาโทรเลขคำสั่งให้ยุติการรบ
การต่อสู้ระหว่างทหารไทยกับทหารญี่ปุ่นจึงสงบลง ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 6
สั่งให้นำกำลัง ยุวชนทหารกลับ และติดต่อให้ญี่ปุ่นส่งผู้แทนมาเจรจา
เพื่อตกลงกันในรายละเอียด ผลการเจรจายุติการรบ โดยสรุป มีดังนี้<br /> </span><br />
<span style="color: #ff2700;">1.
ญี่ปุ่นขอให้ถอนทหารไทยจากที่ตั้งปกติไปให้พ้นแนวคลองสะพานราเมศวร์
ให้เสร็จสิ้นภายในเวลา 3 ชั่วโมง เพราะญี่ปุ่นต้องการใช้สนามบินโดยด่วน<br /> </span><br />
<span style="color: #ff2700;">2.
ฝ่ายไทยยินยอมให้หน่วยทหารญี่ปุ่น เข้าพักอาศัยในโรงทหารของไทยได้ทั้งหมด
โดยฝ่ายไทยพร้อมทั้งครอบครัวนายทหารและนายสิบจะย้ายไปพักในบริเวณตัวเมืองนครศรีธรรมราช
โดยอาศัยตาม โรงเรียน วัด และบ้านพักข้าราชการเป็นต้น<br /> </span><br />
<span style="color: #ff2700;">3.
ฝ่ายไทยขอขนอาวุธและสัมภาระติดตัวไปด้วย ยกเว้นอาวุธหนัก กระสุน และวัตถุระเบิด
และน้ำมันเชื้อเพลิงบางส่วน ตลอดจนเครื่องบิน แต่ฝ่ายญี่ปุ่นไม่ยินยอม<br /> </span><br />
<span style="color: #ff2700;">4.
ฝ่ายญี่ปุ่นแสดงความเสียใจที่ได้มีการสู้รบกัน มีความรู้สึกเห็นใจ
และยกย่องชมเชยวีรกรรมของทหารไทย<br /> </span><br />
<span style="color: #ff2700;">ฝ่ายไทยสูยเสียชีวิต 38 คน
เป็นนายทหารสัญญาบัตร 3 คน นายทหาร 3 คน พลทหาร 32 คน ฝ่ายญี่ปุ่นไม่ทราบจำนวน
ภายหลังเสร็จสิ้นสงครามมหาเชียบูรพา
ประชาชนและข้าราชการได้ร่วมใจกันสร้างอนุสาวรีย์ วีรไทย(พ่อจ่าดำ)
เป็นรูปทหารถือดาบปลายปืนในท่าออกศึก ซึ่งออกแบบปั้นโดยนายสนั่น ศิลากรณ์
ข้าราชการกรมศิลปากรในสมัยนั้น และได้ประดิษฐานในค่าย วชิราวุธเมื่อ
พ.ศ.2492</span><br />
<span style="color: #ff2700;"></span><br />
<span style="color: #ff2700;">ขอบพระคุณข้อมูลจาก <a href="http://www.bp.or.th/">www.bp.or.th</a></span><br />
<span style="color: #ff2700;"></span><br />
<br /></div>
pinkhttp://www.blogger.com/profile/06273115781979449593noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8638023715322892693.post-68303911206806605802013-07-06T16:19:00.001+07:002013-07-06T16:19:22.718+07:00วัดนางพระยา ต.ปากนคร อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
<span class="thaifont"><u><span style="color: #333333;">ประวัติวัดนางพระยา</span></u></span><span class="Fixfont"><br /><br /><span style="color: #333333;"> วัดนางพระยา ตั้งอยู่ที่ ตำบลปากนคร อำเภอเมือง
จังหวัดนครศรีธรรมราชมีประวัติความเป็นมายาวนานหลายร้อยปี ตัววัดตั้งอยู่ริมแม่น้ำที่ต่อเชื่อระหว่างทะเลกับเมืองนครศรีธรรมราช
เป็นแม่น้ำสายสำคัญทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ
สังคมของประวัติศาสตร์นครศรีธรรมราชแต่เดิมเมื่อพันปีก่อนบริเวณวัดนางพระยามีชัยภูมิที่มี
จึงได้ถูกกำหนดให้เป็นท่าเรือขนส่งสินค้า รวมทั้งเรือรบของอาณาจักรในสมัยโบราณ
ฉะนั้นโดยรวมแล้ว พื้นที่แห่งนี้จึงมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์มาตั้งแต่เดิม
ต่อมามีกษัตริย์ในอดีตพระองค์หนึ่งสร้างวัดในพระพุทธศาสนาตามพระราชประเพณีโบราณที่สืบมา
โดยได้พระราชอุทิศให้กับ<br />พระราชมารดา หรือที่เรียกตามภาษาถิ่นโบราณว่า
"แม่เจ้าอยู่หัว" หรือ "แม่นางพระยา" ตามตำนานยังได้กล่าวถึงพระนางจันทรา
นางพระยาทะเลใต้อีกด้วย โดยมีชื่อวัดว่า "วัดนางพระยา"
ดังปฐมเหตุแห่งที่มาของวัดนี้ ซึ่งนัยความหมายคือ วัดของแม่เจ้าเมือง
เป็นการแสดงความกตัญญูต่อพระราชมารดา<br /> ต่อมาภายหลังได้ปรากฏว่ามีการตั้งรูปของ
"แม่นางพระยา"
ขึ้นและผู้เฒ่าผู้แก่ได้บอกเล่าว่ามีมานานเป็นร้อยปีคู่กับวัดนางพระยา
กล่าวกันว่าเป็นเทพชั้นสูงที่มีคุณธรรมและความเมตตามาก
เป็นที่กล่าวขานเลื่องลือมาช้านาน ผู้สัญจรไปมาในแม่น้ำหน้าวัด
หรือจะเดินทางออกทะเล
เมื่อผ่านหน้าวัดนางพระยาก็ต้องยกมือไหว้ทุกครั้งเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่บรรพบุรุษจวบกระทั่งปัจจุบัน
</span></span>
<br />
<table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" class="Fixfont" style="width: 69%px;">
<tbody>
<tr>
<td height="138"><div align="center">
<img height="223" src="http://www.siristore.com/Images/Products/Jartukam_Nangpaya2/Sala_nangpraya.jpg" width="350" /></div>
</td></tr>
<tr>
<td><div align="center">
<span style="color: black;">ศาลาแม่นางพระยาหลังเก่า</span></div>
</td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" class="Fixfont" style="width: 69%px;">
<tbody>
<tr>
<td height="154"><div align="center">
</div>
</td></tr>
<tr>
<td><div align="center">
</div>
</td></tr>
</tbody></table>
<span style="color: #333333;"><span class="Fixfont"><br />
</span></span><br />
<table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" class="Fixfont" style="width: 71%px;">
<tbody>
<tr>
<td><div align="center">
<img height="343" src="http://www.siristore.com/Images/Products/Jartukam_Nangpaya2/PraNangpraya.jpg" width="269" /></div>
</td></tr>
<tr>
<td height="25"><div align="center">
<span style="color: black;">รูปปั้นแม่นางพระยาองค์เก่าดั้งเดิม</span></div>
</td></tr>
</tbody></table>
<br />
<span style="color: black;"><span class="Fixfont"><br /> โดยสรุปแล้ว
วัดนางพระยา
เป็นวัดที่กษัตริย์สร้างและเป็นที่ประดิษฐานรูปเคารพของแม่นางพระยามารดาของเจ้าเมือง
อันเป็นที่เคารพกราบไหว้ของคนนครฯ
มาหลายชั่วอายุคน<br /> <br />
ตามประวัติที่ได้บันทึกและเป็นที่ทราบกันดีในหมู่ชาวนครศรีธรรมราชที่สนใจเรื่องตำนานการสร้างหลัก
เมืองนครศรีธรรมราช โดยเมื่อปี พ.ศ.2528
ได้มีนายตำรวจใหญ่ท่านหนึ่งได้ย้ายมารับราชการที่จังหวัดนครศรีธรรมราชและได้รับคำบอกกล่าวแนะนำจากผู้เคารพนับถือว่า
ทางทิศตะวันออกของเมืองนครศรีธรรมราชมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่
โดยจะยกบทความอ้างอิง ซึ่งเขียนโดยคุณสุวัฒน์ เหมอังกูร
ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่ค้นคว้าศึกษาเกี่ยวกับจตุคามรามเทพดังนี้<br />
<br /> "ประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่แห่งเมืองนครศรีธรรมราชที่ต้องจารึกไว้อีกครั้งหนึ่งก็คือ
การสร้างหลักเมือง เพื่อเป็นหลักชัย เป็นศูนย์รวมใจ
สร้างความสามัคคีในหมู่ประชาชน เรื่องนี้เริ่มต้นขึ้นที่วัดเล็กๆ
วัดหนึ่งนอกเมืองนครศรีธรรมราช
เป็นวัดที่ไม่ได้มีถาวรวัตถุมากมายใหญ่โตเหมือนกับวัดในเมือง
ดูไปแล้วค่อนข้างจะเก่าและขาดแคลนมีโบสถ์และศาลาเล็กๆ
เพื่อให้พุทธศาสนิกชนที่อยู่รอบๆ ได้มาทำบุญปฏิบัติศาสนกิจ
สิ่งสำคัญที่เป็นศูนย์รวมของชาวบ้านแถบนั้นคือศาลเล็กๆ
หลังหนึ่งที่ตั้งอยู่<br />ภายใตวัด เรียกกันว่า "ศาลแม่นางพระยา"
ซึ่งเป็นชื่อเดียวกับวัด คือ วัดนางพระยา ณ
ศาลแห่งนี้ประชาชนแถวนั้นให้ความเคารพนับถือกันอย่างมากเพราะมีการประทับทรงช่วยเหลือชาวบ้านที่เดือดร้อนในการดำรงชีพ
ดังนั้นคนส่วนใหญ่ที่เข้าไปมักเป็นคนที่มีฐานะไม่ร่ำรวยมีปัญหาต่างๆ
ไปให้แม่นางพระยาช่วย
คนที่เข้าไปทำบุญถวายปัจจัยให้วัดจึงมีน้อย<br />
<br />
เหตุการณ์ที่วัดนางพระยา
เมื่อนายตำรวจใหญ่เดินทางไปที่วัดได้เล่าว่าขณะนั้นตัวท่านเองก็ไม่แน่ใจเรื่องการทรงเกรงว่าจะมีการหลอกลวงกันขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านเป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่
ถ้ามาถูกหลอกโดยชาวบ้านแบบนี้ก็คงเสียชื่อแน่
ท่านจึงระมัดระวังตัวพร้อมกับเดินขึ้นไปพบ เมื่อไปถึงเทพนางพระยาที่ประทับในร่างทรง
ก็ทักขึ้นด้วยเสียงดังว่า<br />
"โอ้โฮ! รอมาเป็นพันปีแล้ว" ท่านนึกในใจว่า
นี่จะมาใช้จิตวิทยาอะไรกับท่านและด้วยประสบการณ์
ที่ผ่านมาเรื่องราวแบบนี้มามากมายประกอบกับจิตใจเข้มแข็ง ไม่กลัวอะไร
ท่านจึงเดินเข้าไปนั่งคุยใกล้ๆ จุดบุหรี่แล้วจี้ไปที่ขาที่แขนของคนทรง
ปรากฏว่าร่างทรงไม่แสดงอาการสะดุ้งสะเทือนแต่ประการใด
ถึงขนาดนั้นท่านก็ยังแสดงอาการไม่ค่อยเชื่ออยากจะทดลองทดสอบให้มากกว่านั้น
แต่เนื่องจากชาวบ้าน อยู่กันเต็มไปหมด
จึงไม่อยากทำอะไรที่ชาวบ้านจะมองว่าเป็นการดูหมิ่นหรือไม่เคารพเทพที่<br />พวกเขานับถือ
จึงได้แต่ถามไปว่า เรียกผมมามีธุระอะไร?
แม่นางพระยาเห็นว่าท่านไม่เชื่อถือและไม่มั่นใจว่าเป็นการเข้าทรงจริง จึงได้แสดงให้เห็นว่าท่านไม่ได้หลอกลวง
โดยการไล่เรียงบรรพบุรุษและดวงดาวต่างๆ ในดวงของท่าน
ให้ฟังปรากฏว่าถูกต้องทุกอย่างสร้างความประหลาดใจให้กับท่านเป็นอย่างมาก
เพราะร่างทรงก็คอชาวบ้านธรรมดามารู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับตัวท่าน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงดาวต่างๆ
ในดวงชะตาของท่านนี้น่าจะเป็นข้อพิสูจน์ได้ประการหนึ่งว่า
จะเป็นการทรงจริงและผู้ที่มาเข้าประทับทรง
ต้องไม่ใช่เจ้าหรือเทพธรรมดา จะต้องเป็นเทพที่มีความรู้ในเรื่องของโหราศาสตร์เป็นอย่างดี
จึงตกลงใจที่จะพูดคุยกันอย่างเป็นงานเป็นการคำตอบที่ท่านได้รับ
สร้างความแปลกใจให้ท่านเป็นอย่างมากนั่นคือ
แม่นางพระยาขอให้ท่านช่วยดำเนินการสร้างหลักเมืองนครศรีธรรมราช
พร้อมทั้งพูดถึงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของเมืองนครฯ
รวมทั้งเรื่องของดวงเมืองนครศรีธรรมราช
ที่ท่านได้ศึกษาพบในจดหมายเหตุปูมโหรพร้อมกล่าวว่าท่านเองก็ทราบดีอยู่แล้วว่าเมืองนครฯ
ถูกสาปและมีดวงเมืองเก็บไว้อยู่
นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ตอกย้ำให้ท่านฉงนว่าแม่นางพระยาทราบได้อย่างไรว่าท่านมีดวงเมืองนครฯที่ถูกสาปนี้อยู่และเมื่อได้ฟังเรื่องทางประวัติศาสตร์
ซึ่งเป็นเรื่องที่ท่านศึกษาค้นคว้า จนมีความรู้ทางด้านอย่างแตกฉาน
ทำให้ท่านสงสัยว่าแม่นางพระยา
ในร่างทรงคือผู้ที่เกี่ยวข้องกับต้นตระกูลของเจ้าพระยานคร
ท่านจึงได้สอบถามเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ในเรื่องของเจ้าพระยานคร
แม่นางพระยากลับตอกว่าอยากรู้ก็ไปถามลูกหลานของเขาซิ
นั่นแสดงว่าแม่นางพระยาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรตามที่ท่านสงสัยถาม
จึงสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นยุคเก่ากว่านั้นขึ้นไปอีก แต่ยังไม่ทราบว่าเป็นยุคใดแน่
ซึ่งท่านได้เก็บความสงสัยไว้ไม่ได้สอบถามไป เพียงแต่บอกว่า
ท่านเป็นตำรวจไปสร้างหลักเมืองไม่ได้หรอก งานนี้เป็นหน้าที่ของฝ่ายปกครอง
ทางแม่นางพระยาก็ยืนยันว่าต้องเป็นท่านคนเดียวเท่านั้นที่สร้างได้
เมื่อยังหาข้อยุติไม่ได้ประกอบกับชาวบ้านรออยู่ เมื่อทราบว่าท่านคือผู้กำกับก็แตกฮือออกไป
แต่ยังด้อมๆ มองๆ อยู่ห่าง
ท่านเกรงว่าจะรบกวนเวลาของชาวบ้านและมีความศักดิ์สิทธิ์จริงก็ช่วยให้พวกเขาร่ำรวยมีเงินมีทองกันมากๆ
แม่นางพญาจึงบอกด้วยเสียงดังๆ ว่า อยากรวยให้ไปดูที่ศาลา
จากนั้นทางท่านคิดอยู่ตลอดเวลาถึงเหตุการณ์ที่ท่านได้ประสบมาโดยไม่ได้ได้คาดหมาย
พร้อมกับคิดทบทวนถึงการโดยไม่เสียงานบ้านเมือง<br />
ซึ่งเรื่องราวของดวงเมืองของนครศรีธรรมราชที่ลักษณะดังคำสาปที่ท่านเก็บไว้และติดใจท่านอยู่ตลอดเวลามาพ้องต้องกันพอดีกับคำพูดบอกกล่าวของแม่นางพระยา
นี่! น่าจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คิดได้ว่า
การเข้าประทับทรงดังกล่าวไม่ใช่เป็นการหลอกลวง
เพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่จะมาหลอกให้สร้างหลักเมือง
จะต้องเป็นเรื่องที่มีเหตุผลลึกซึ้งและน่าจะต้องติดตามสืบสาวราวเรื่องให้กระจ่าง*
<br />(* หมายเหตุ: ได้ขออนุญาตต่อคุณสุวัฒน์ ผู้เขียนบทความลงในนิตยสารพระเครื่อง
เพื่อนำมาเผยแผ่ให้ประชาชนได้รับทราบ ข้อมูลเกี่ยวกับวัดนางพระยา)</span>
</span><br />
<br />
<table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" class="Fixfont" style="width: 87%px;">
<tbody>
<tr>
<td height="170" width="52%"><div align="center">
<img height="201" src="http://www.siristore.com/Images/Products/Jartukam_Nangpaya2/Pra1.jpg" width="250" /></div>
</td>
<td width="48%"><div align="center">
<img height="203" src="http://www.siristore.com/Images/Products/Jartukam_Nangpaya2/Pra2.jpg" width="150" /></div>
</td></tr>
<tr>
<td height="25"><div align="center">
<span style="color: black;">ศาลาแม่นางพระยาหลังใหม่ที่ก่อสร้างอยู่</span></div>
</td>
<td><div align="center">
<span style="color: black;">พระครูสันติพัฒนาการเจ้าอาวาสวัดนางพระยา<br />ประกอบพิธีบวงสรวงที่ศาลหลักเมือง
ในการ<br />ซ่อมแซมบูรณะศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช<br />ให้มีความสง่างาม
</span></div>
</td></tr>
</tbody></table>
<span style="color: black;"><span class="Fixfont"><br /> </span><span class="thaifont">บทสรุป</span><span class="Fixfont"><br /> จะเห็นได้ว่าจากบทข้อเขียนนี้
แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของวัดนางพระยาและแม่นางพระยาได้เป็นอย่างดีทั้งยังมีเรื่องราวอีกหลายอย่างที่มิสามารถ
กล่าวอ้างหรือเปิดเผยได้แต่เรื่องการกำเนิดตำนานการสร้างศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราชหรือกำเนิดจตุคามรามเทพนั้นจุดเริ่มต้น
ทั้งหมดอยู่ที่วัดนางพระยาแห่งนี้แน่นอน
มีบุคคลที่เกี่ยวข้องอยู่ในเหตุการณ์รู้เห็นหลายคนด้วยกันที่สามารถสอบถามได้
แม้ว่าการบอกเล่าต่อมาภายหลังจะแตกแขนงออกไปก็ตาม
จึงควรที่จะได้มีการบันทึกเรื่องหลัก ๆ ไว้ให้ผู้ที่สนใจได้รับทราบข้อมูลในเบื้องต้นบ้างตามควร
ซึ่งการทรงจตุคามรามเทพนั้นเป็นเรื่องภายหลัง
แต่ก็ตรงกันในการสร้างหลักเมืองนครศรีธรรมราช <br /><br /> </span><span class="thaifont">วัดนางพระยาวันนี้</span><span class="Fixfont"><br /> แต่เดิมหลายสิบปีอยู่ในสภาพเป็นวัดเล็กๆ
เสนาสนะต่างอยู่ในสภาพที่ชำรุดทรุดโทรม
มาเมื่อเรื่องราวของจตุคามรามเทพโด่งดังไปทั่วประเทศ
จึงทำให้วัดนางพระยาได้รับการกล่าวถึง
มีผู้ที่เคารพกราบไหว้ได้เดินทางมาสักการะแม่นางพระยากันไม่ขาดสายด้วย
ข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์ มิอาจปฏิเสธได้
ได้มีการสร้างศาลาแม่นางพระยาหลังใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม
จากการสร้างวัตถุมงคลรุ่นกำเนิดจตุคามมอบให้กับผู้มีจิตศรัทธาและครั้งนี้มีผู้มีจิตศรัทธาจากประเทศมาเลเซียได้เล็งเห็นคุณค่าของวัดนางพระยาจึงได้พาคณะมาดำเนินการหล่อรูปองค์จตุคามรามเทพขนาด
1 เมตร เอาไปประดิษฐาน ที่เมืองอิโป ประเทศ<br />มาเลเซีย ให้ประชาชนได้กราบไหว้
ซึ่งเป็นนิมิตหมายที่ดี แสดงให้เห็นถึงการเผยแผ่บารมีขององค์จตุคามรามเทพ
บารมีของแม่นางพะยาและเมืองนครศรีธรรมราช ออกไปสู่ประชาชนทั้งในและต่างประเทศ
และในโอกาสนี้จึงได้ประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์วิหาร
จตุคามรามเทพโดยเฉพาะเป็นแห่งแรกของเมืองนครศรีธรรมราช
เพื่อให้เป็นอนุสรณ์สถานระลึกถึงในตำนสนจตุคามรามเทพและพัฒนาวัดนางพระยาให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอีกแห่งหนึ่งของนครศรีธรรมราช
ซึ่งต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก
ทั้งนี้ก็คงต้องพึ่งบารมีแม่นางพระยาและองค์จตุคามรามเทพ ได้ชักนำผู้มีจิตศรัทธา
ผู้เคารพนับถือจากทั่วทุกสารทิศได้มาร่วมกุศลสร้างวิหารจตุคามรามเทพและองค์จตุคามรามเทพเพื่อประดิษฐานภายในวิหารต่อไป</span></span>
<br />
<table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" class="Fixfont" style="width: 62%px;">
<tbody>
<tr>
<td height="138"><div align="center">
<img height="302" src="http://www.siristore.com/Images/Products/Jartukam_Nangpaya2/Jartukam.jpg" width="200" /><br />
<br />
ขอขอบพระคุณ ข้อมูลอ้างอิงจาก <a href="http://www.siristore.com/">www.siristore.com</a><br />
</div>
</td></tr>
</tbody></table>
</div>
pinkhttp://www.blogger.com/profile/06273115781979449593noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8638023715322892693.post-34237121737380844242013-06-21T14:25:00.004+07:002013-06-21T14:25:45.725+07:00ถ้ำพระยานคร จ.ประจวบคีรีขันธ์ (ในอดีตถูกค้นพบโดยเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช)<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
<div align="center">
<img alt="ถ้ำพระยานคร" border="0" class="img-mobile" height="752" src="http://img.kapook.com/image/travel1/22/page.jpg" style="height: 752px; width: 602px;" title="ถ้ำพระยานคร" width="602" /><span style="font-weight: bold;"> </span><br /></div>
<div align="left">
<br /><span style="color: #0000e8;"><span style="color: black;"><strong>ถ้ำพระยานคร</strong> ถ้ำพระยานครเป็นถ้ำขนาดใหญ่ในบริเวณแหลมศาลา
เพดานถ้ำมีปล่องให้แสงสว่างลอดเข้ามาได้ ด้านล่างเป็นป่า ต้นไม้ค่อนข้างสูงชะลูด
ถ้ำพระยานครถูกค้นพบกว่า 200 ปีมาแล้ว
โดยพระยานครผู้คลองเมืองนครศรีธรรมราชแต่ไม่ทราบนาม
ขณะที่ขึ้นฝั่งมาหลบพายุภายในถ้ำ
</span></span></div>
ภายในถ้ำมีโบราณสถานที่สำคัญคือพระที่นั่งคูหาคฤหาสน์ เป็นพลับพลาจตุรมุข
สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อ พ.ศ.2433
พระที่นั่งนี้ใช้เป็นตราประจำจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในปัจจุบัน<br />
<div align="left">
</div>
ต่อมาพระบาทสมเด็จประปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 เสด็จมาที่ถ้ำพระยานคร ในปี
พ.ศ.2469 ซึ่งมีลายพระหัตถ์ของทั้งสองพระองค์อยู่ที่ผนังถ้ำ<br />
<div align="left">
</div>
และรัชกาลที่ 9 ทรงเสด็จประพาสเยือน 2 ครั้ง เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2501
และเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2524<br />
<div align="left">
</div>
<div style="text-align: center;">
<img alt="" border="0" src="http://img.kapook.com/image/travel_3/prayanakorncave02.jpg" /></div>
<div align="left">
<br /><br /> <span style="font-weight: bold;">"ถ้ำพระยานคร"</span> เป็นถ้ำขนาดใหญ่ที่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ อยู่ห่างจากหาดแหลมศาลาประมาณ 500 เมตร และห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด ไปทางทิศเหนือประมาณ 17 กิโลเมตร ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปที่ถ้ำได้สองทาง คือ ทางเรือ โดยเช่าเรือจากหมู่บ้านบางปู ราคาประมาณ 300 บาทต่อลำ นั่งได้ประมาณ 7 – 8 คน ใช้เวลาเดินทางอ้อมเขาประมาณ 20 นาที (ประหยัดแรงดี) หรือจะเดินเท้าข้ามเขาเทียนที่มีระยะทางประมาณ 530 เมตร (เหนื่อยหน่อย แต่ก็สนุก กินลม ชมวิวเพลิน ๆ กับบรรยากาศแสนดี) เหมาะกับผู้ที่มีพละกำลังเหลือเฟือ<br /></div>
<div style="text-align: center;">
<img alt="ถ้ำพระยานคร" border="0" class="img-mobile" height="399" src="http://img.kapook.com/image/travel1/22/DSC_1900.jpg" style="height: 399px; width: 600px;" title="ถ้ำพระยานคร" width="600" /><span style="font-weight: bold;"><br /> </span><br /><div style="text-align: center;">
<img alt="ถ้ำพระยานคร" border="0" class="img-mobile" height="451" src="http://img.kapook.com/image/travel1/22/66.jpg" style="height: 451px; width: 600px;" title="ถ้ำพระยานคร" width="600" /><br /> <span style="font-weight: bold;"><br /> <img alt="ถ้ำพระยานคร" border="0" class="img-mobile" height="451" src="http://img.kapook.com/image/travel1/22/667.jpg" style="height: 451px; width: 600px;" title="ถ้ำพระยานคร" width="600" /><br /> </span><span style="font-weight: bold;"><br /> </span></div>
</div>
<div align="left">
ฮึบ!! หลังจากข้ามเขามาแล้ว ก็จะมาถึงทางเดินเท้าเพื่อไปขึ้นถ้ำพระยานคร ระหว่างทางมีบ่อน้ำกรุด้วยอิฐดินเผารูปสี่เหลี่ยมคางหมู กว้าง 1 เมตร ลึก 4 เมตร เรียกว่า <span style="font-weight: bold;">"บ่อพระยานคร"</span> ตามประวัติเล่าว่าในสมัยรัชกาลที่ 1 เจ้าพระยานคร ผู้ครองเมืองนครศรีธรรมราชได้แล่นเรือผ่านทางเขาสามร้อยยอด และเกิดพายุใหญ่ไม่สามารถเดินทางต่อไปได้ จึงจอดพักเรือหลบพายุที่ชายหาดแห่งนี้เป็นเวลาหลายวัน และได้สร้างบ่อน้ำเพื่อใช้ดื่ม<br /></div>
<div style="text-align: center;">
<img alt="" border="0" src="http://img.kapook.com/image/travel_3/prayanakorncave03.jpg" /></div>
<div style="text-align: center;">
<br /><img alt="" border="0" src="http://img.kapook.com/image/travel_3/prayanakorncave05.jpg" /></div>
<div style="text-align: center;">
<img alt="" border="0" src="http://img.kapook.com/image/travel_3/prayanakorncave06.jpg" /></div>
<div style="text-align: center;">
<br /><img alt="" border="0" src="http://img.kapook.com/image/travel_3/prayanakorncave07.jpg" /></div>
<div align="left">
<br /> <span style="color: maroon;">สำหรับทางขึ้นถ้ำนั้นก็ค่อนข้างสะดวก ระยะทางประมาณ 430 เมตร อาจจะดูน้อยๆ แต่พอขึ้นจริงๆ แล้วเหนื่อยเอาการทีเดียว (หอบแฮ่กๆ เลย) แต่ก็มีป้ายเตือนบอกนักท่องเที่ยวว่า </span><span style="color: maroon; font-weight: bold;">"ท่านผู้มีโรคประจำตัว กรุณาพิจารณาก่อนขึ้น"</span><span style="color: maroon; font-style: italic;"> </span><span style="color: maroon;">เพื่อความปลอดภัย ระหว่างเดินเท้าขึ้นถ้ำ จะมีจุดหยุดพักชมวิว (แต่เป็นจุดพักเอาแรงสำหรับพวกเรา อิอิ) จากจุดนี้สามารถชมทิวทัศน์บริเวณรอบ ๆ ได้</span><br style="color: maroon;" /></div>
<div style="text-align: center;">
<img alt="" border="0" src="http://img.kapook.com/image/travel_3/prayanakorncave10.jpg" /><br /><br /><img alt="" border="0" src="http://img.kapook.com/image/travel_3/prayanakorncave11.jpg" /></div>
<div style="text-align: center;">
<br /><img alt="" border="0" src="http://img.kapook.com/image/travel_3/prayanakorncave08.jpg" /></div>
<div style="text-align: center;">
<br /><img alt="" border="0" src="http://img.kapook.com/image/travel_3/prayanakorncave09.jpg" /></div>
<div style="text-align: center;">
<br /><img alt="" border="0" src="http://img.kapook.com/image/travel_3/prayanakorncave12.jpg" /></div>
<div align="left">
<br />บนเพดานถ้ำมีปล่องให้แสงสว่างลอดเข้ามาได้ มองขึ้นไปข้างบน จะเห็นสะพานหินอยู่ทางปากปล่อง เรียกว่า <span style="font-weight: bold;">"สะพานมรณะ"</span> <br /></div>
<div style="text-align: center;">
<img alt="ถ้ำพระยานคร" border="0" class="img-mobile" height="399" src="http://img.kapook.com/image/travel1/22/DSC_1970.jpg" style="height: 399px; width: 600px;" title="ถ้ำพระยานคร" width="600" /></div>
<div style="text-align: center;">
<br /><img alt="ถ้ำพระยานคร" border="0" class="img-mobile" height="399" src="http://img.kapook.com/image/travel1/22/DSC_1978.jpg" style="height: 399px; width: 600px;" title="ถ้ำพระยานคร" width="600" /></div>
<div style="text-align: center;">
<br /><img alt="ถ้ำพระยานคร" border="0" class="img-mobile" height="399" src="http://img.kapook.com/image/travel1/22/DSC_1982.jpg" style="height: 399px; width: 600px;" title="ถ้ำพระยานคร" width="600" /></div>
<div align="left">
<br /><span style="font-weight: bold;">"พระที่นั่งคูหาคฤหาสน์"</span> เป็นพลับพลาแบบจตุรมุข สร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 คราวเสด็จประพาสเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2433 เป็นฝีพระหัตถ์ของพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าขจรจรัสวงศ์ ทรงสร้างขึ้นในกรุงเทพฯ แล้วส่งมาประกอบทีหลัง โดยให้พระยาชลยุทธโยธินเป็นนายงานก่อสร้าง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จมายกช่อฟ้าด้วยพระองค์เอง<br /><br /> <span style="color: #0000eb;">ที่กำแพงหินด้านขวามีพระปรมาภิไธยย่อในรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 7 เป็นตัวหนังสือใหญ่สีขาวสะดุดตา อย่างไรก็ตาม พระที่นั่งคูหาคฤหาสน์นับเป็นจุดเด่นของถ้ำพระยานคร และเป็นตราประจำจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ในปัจจุบันอีกด้วย</span><br /></div>
<div style="text-align: center;">
<span style="font-weight: bold;"><img alt="ถ้ำพระยานคร" border="0" class="img-mobile" height="399" src="http://img.kapook.com/image/travel1/22/DSC_1870.jpg" style="height: 399px; width: 600px;" title="ถ้ำพระยานคร" width="600" /></span></div>
<div style="text-align: center;">
<br /><img alt="" border="0" src="http://img.kapook.com/image/travel_3/prayanakorncave01.jpg" /></div>
<div align="left">
<br /><strong><span style="color: blue;"><span style="color: maroon; font-weight: bold;"><img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann-124.gif" /></span></span></strong><span style="font-weight: bold;">การเดินทางเพื่อไปอุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด</span><br /><br /> <img alt="" border="0" src="http://img.kapook.com/image/icon/flower2(1).gif" /><span style="font-weight: bold;"> รถยนต์ :</span> จากถนนเพชรเกษม (ทางหลวงหมายเลข 4) ถึงสี่แยกปราณบุรีเลี้ยวซ้ายไปตามถนนสายปราณบุรี - ปากน้ำปราณบุรีประมาณ 8 กิโลเมตร จึงเลี้ยวขวาไปประมาณ 16 กิโลเมตร ผ่านสี่แยกบ้านบางปู ตรงไป 4 กิโลเมตร ถึงสามแยกเลี้ยวซ้ายอีกครั้งไปอีก 5 กิโลเมตร จะถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด หรือ จากถนนเพชรเกษม จนถึงหลักกิโลเมตรที่ 286 (ใกล้บ้านสำโหรง ก่อนถึงอำเภอกุยบุรี 6 กิโลเมตร) เลี้ยวซ้ายไปอีกประมาณ 14 กิโลเมตรก็จะถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด<br /><br /> <img alt="" border="0" src="http://img.kapook.com/image/icon/flower2%281%29.gif" /> <span style="font-weight: bold;">รถโดยสารประจำทาง :</span> ลงรถที่อำเภอปราณบุรี แล้วต่อรถสองแถวสายปราณบุรี - บ้านบางปู จากบ้านบางปูเหมารถสองแถวไปส่งที่ทำการอุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด<br /><br /> <img alt="" border="0" src="http://img.kapook.com/image/icon/flower2%281%29.gif" /> <span style="font-weight: bold;">รถไฟ :</span> ขบวนรถไฟธนบุรี - ประจวบคีรีขันธ์ หรือ ธนบุรี - หลังสวน ลงรถที่สถานีรถไฟสามร้อยยอด ต่อรถสองแถวสายปราณบุรี - บ้านบางปู (ขึ้นรถได้ที่หน้าสถานีรถไฟ) เมื่อถึงบ้านบางปูหารถเช่าไปอุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด</div>
<div align="left">
</div>
<div align="left">
ขอบพระคุณข้อมูลอ้างอิงจาก <a href="http://www.travel.kapook.com/">www.travel.kapook.com</a></div>
<div align="left">
</div>
</div>
pinkhttp://www.blogger.com/profile/06273115781979449593noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8638023715322892693.post-69516276491605671142013-06-21T14:06:00.002+07:002013-06-21T14:06:43.606+07:00ปัญจวัคคีย์ ทั้ง 5<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
ปัญจวัคคีย์ ก็คือ กลุ่มนักบวช<br />
มีโกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัชสชิ<br />
<br />
แต่เดิมปัญจวัคคีย์เป็น<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%9A%E0%B8%A7%E0%B8%8A" title="นักบวช">นักบวช</a>ที่ออกบวชติดตามปรนนิบัติ<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2" title="พระพุทธเจ้า">พระพุทธเจ้า</a>ตั้งแต่เสด็จออกผนวชใหม่ ๆ ทั้งหมดเป็นชาวกรุง<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%9A%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%94%E0%B8%B8%E0%B9%8C" title="กบิลพัสดุ์">กบิลพัสดุ์</a> เป็นกลุ่มบุคคลที่ได้ฟัง<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%90%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B8%99%E0%B8%B2" title="ปฐมเทศนา">ปฐมเทศนา</a>เป็นรุ่นแรก ได้เป็น<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B8" title="ภิกษุ">ภิกษุ</a>รุ่นแรกและได้เป็นพระ<a class="mw-redirect" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C" title="อรหันต์">อรหันต์</a>รุ่นแรกในพระพุทธศาสนา<br />
<br />
โกณฑัญญะนั้นเชื่อมั่นในพระพุทธองค์ว่าจะได้ตรัสรู้เพราะท่านได้รับเชิญเข้าวัง เพื่อทำนายลักษณะของเจ้าชายสิทธัตถะ(ก็คือพระพุทธเจ้า) พรามณ์ทั้ง ๗ ก็ทายเป็นสองนัย ๆ แรกคือ ถ้าอยู่ครองฆราวาสวิสัยก็จักได้เป็นราชาที่ยิ่งใหญ่ นัยที่สอง ก็คือ หากออกบวชจักได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ <br />
<br />
มีท่านโกณฑัญญะผู้เดียวที่ทายนัยที่สองอย่างเดียว ตั้งแต่นั้นมาก็รอคอยถึง 30 กว่าปี ซึ่งตอนนี้ท่านโกณฑัญญะก็ชรามากแล้ว เมื่อพระพุทธองค์บำเพ็ญทุกขกิริยา(ทรมาณตนตามแบบนักบวชในสมัยนั้น) ก็มาคอยปรนนิบัติอุปัฏฐากพระองค์จน เมื่อพระองค์แน่ใจแล้วว่าสิ่งที่ทำอยู่นี้ไม่เป็นการบรรลุธรรมแน่นอนเลยเลิกทรมาณตนหันมาฉันอาหาร เพื่อให้ร่างกายมีกำลัง ฝ่ายปัญจวัคคีย์เมื่อเห็นพระองค์กลับมาฉันอาหารก็คิดว่าพระองค์ทรงล้มเลิกแล้วก็เลยหมดศรัทธาพากันหนีไปอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน <br />
<br />
ฝ่ายพระพุทธองค์ก็เร่งทำความเพียรแบบใหม่คือ การพิจารณาลมหายใจคืออาณาปานสติ ในคืนวันเพ็ญเดือน ๖ มาฆะปุณณมี พระองค์ก็ได้ตรัสรู้คือ อริสัจ๔คือ ความจริงอันประเสริฐ เมื่อตรัสรู้แล้วก็พิจารณาธรรมที่พระองค์รู้ว่าเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งมากยากที่คนจะเข้าใจได้ง่ายๆ ทรงคิดถึงอาจารย์คนแรกแต่ก็ตายแล้วก็เลยนึกถึงกลุ่มปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ เพราะเคยได้รับใช้พระองค์ <br />
<br />
ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 พระพุทธองค์ได้แสดงปฐมเทศนาคือ<a class="mw-redirect" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%98%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9B%E0%B8%9B%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3" title="ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร">ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร</a> โกณฑัญญะก็ได้ดวงตาเห็นธรรม บรรลุโสดาบัน พระพุทธองค์ทรงรู้ถึงวาระจิตของโกณฑัญญะว่าได้เข้าใจธรรมแล้วก็ดีใจเปล่งอุทานเบา ๆ ว่า"อัญญาสิ วตโภโกณฑัญโญ แปลว่าโกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ ๆ นับแต่นั้นมาชื่อของท่านก็มีคำนำหน้าคือ อัญญาโกณฑัญญะ <br />
<br />
โกณฑัญญะได้รับการยกย่องจากพระพุทธองค์ให้เป็นเอตทัคคะในด้าน<b>รัตตัญญู</b> เรียกว่า มีราตรีนาน คือเป็นผู้รู้ธรรมก่อนใคร และได้บวชก่อนผู้อื่นในพระพุทธศานา จากนั้นพระพุทธองค์ทรงประทาน <b>ปกิณณกเทศนา</b> สั่งสอนที่เหลืออีก 4 ท่าน ให้บรรลุโสดาบันแล้วประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทาให้<br />
<table class="wikitable"><tbody>
<tr><th>ชื่อ</th><th>วันที่ได้ธรรมจักษุ</th></tr>
<tr><td>วัปปะ</td><td>วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8</td></tr>
<tr><td>ภัททิยะ</td><td>วันแรม 2 ค่ำ เดือน 8</td></tr>
<tr><td>มหานามะ</td><td>วันแรม 3 ค่ำ เดือน 8</td></tr>
<tr><td>อัสสชิ</td><td>วันแรม 4 ค่ำ เดือน 8</td></tr>
</tbody></table>
ในวันแรม 5 ค่ำ เดือน 8 พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมเทศนา<a class="new" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B8%93%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3&action=edit&redlink=1" title="อนัตตลักขณสูตร (หน้านี้ไม่มี)">อนัตตลักขณสูตร</a> ซึ่งมีใจความดังนี้<br />
<table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" style="border-collapse: collapse; width: auto;"><tbody>
<tr><td style="padding: 10px;" valign="top" width="20"><img alt="" height="15" src="http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/4/4d/Cquote1.svg/20px-Cquote1.svg.png" srcset="//upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/4/4d/Cquote1.svg/30px-Cquote1.svg.png 1.5x, //upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/4/4d/Cquote1.svg/40px-Cquote1.svg.png 2x" width="20" /></td><td><blockquote style="margin-left: 2em; margin-right: 2em;">
ภิกษุทั้งหลาย ขันธ์ 5 มีดังนี้<br />
<ol>
<li>รูป คือ ร่างกาย</li>
<li>เวทนา คือ ความรู้สึกสุข ความทุกข์</li>
<li>สัญญา คือ ความจำมั่นหมาย</li>
<li>สังขาร คือ ความคิดปรุงแต่ง</li>
<li>วิญญาณ คือ ความรู้อารมณ์ต่างๆ</li>
</ol>
ภิกษุทั้งหลาย สิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของเขา ไม่ใช่ตัวตนของเรา ไม่ใช่ตัวตนของเขา สิ่งเหล่านี้มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเป็นธรรมดา</blockquote>
</td><td style="padding: 10px;" valign="bottom" width="20"><img alt="" height="15" src="http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/1/1a/Cquote2.svg/20px-Cquote2.svg.png" srcset="//upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/1/1a/Cquote2.svg/30px-Cquote2.svg.png 1.5x, //upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/1/1a/Cquote2.svg/40px-Cquote2.svg.png 2x" width="20" /></td></tr>
<tr><td colspan="3" style="font-size: 90%; padding-bottom: 5px; padding-right: 2em; text-align: right;" valign="top">— <b>พระพุทธเจ้า</b><br />
<strong></strong> </td></tr>
</tbody></table>
ขณะสดับพระธรรมเทศนา พระภิกษุปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ส่งจิตไปตามกระแส<a class="mw-redirect" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B8%99%E0%B8%B2" title="พระธรรมเทศนา">พระธรรมเทศนา</a> จิตก็หลุดพ้นจาก<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%AA" title="กิเลส">กิเลส</a>ทั้งปวง ไม่ยึดมั่น ถือมั่นด้วย<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99" title="อุปาทาน">อุปาทาน</a> สามารถละ<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C" title="สังโยชน์">สังโยชน์</a>ครบ 10 ประการ ได้บรรลุพระ<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%9E%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%99" title="นิพพาน">นิพพาน</a>เป็น<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C" title="พระอรหันต์">พระอรหันต์</a>พร้อมกันทั้ง 5 รูป</div>
pinkhttp://www.blogger.com/profile/06273115781979449593noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8638023715322892693.post-91962526596167635592013-06-21T13:52:00.000+07:002013-06-21T13:52:20.081+07:00ท้าวจตุโลกบาล<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
<span style="color: blue;"><strong>ประวัติท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่</strong></span><br />ท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ <br />
<br />เป็นเทวดาที่รักษาทุกข์ สุข ของมนุษย์โลกไว้ทั้ง 4 ทิศ และทำหน้าที่ป้องกันอันตรายที่จะเกิดแก่มนุษย์โลกทั้งหลาย ท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 องค์ประกอบด้วย<br />
<br />1.ท้าวธตรฎฐ์ผู้เป็นใหญ่ด้านทิศตะวันออก รูปร่างสูงโปร่งและสูงกว่าทุกๆองค์ใน4ท้าวจตุโลกบาลมีผิวกายสีเขียว, มือซ้ายถือพิณ, มือขวาดีดพิณ พวกคนธรรพ์เป็นบริวาร<br />
<br />2.ท้าววิรุฬหกผู้เป็นใหญ่ด้านทิศใต้ รูปกายสีขาวรูปร่างสมส่วนงดงาม, มีหน้าแดง, มือซ้ายมีงูเลื้อยพันฝ่ามือจับคองูไว้, มือขวาถือพระขรรค์, มีมงกุฎประดับด้วยรูปนาค มีพวกอสูรเป็นบริวาร<br />
<br />3.ท้าววิรูปักษ์ ผู้เป็นใหญ่ด้านทิศตะวันตก มีรูปกายสีขาวรูปร่างอ้วนใหญ่เหมือนกระพ้อมใส่ข้าว,ท้องป่องพุ่งใหญ่,คอก็สั้น,หัวโต,ฟันขาวเขี้ยวโง้งออกจากปาก,มีริมฝีปากนูนๆตาใหญ่มาก,ขาสั้น,กำยำลำสัน,มือซ้ายถือธนูทรงอาภรณ์สีแดงเลือด มีฝูงนาคเป็นบริวาร<br />
<br />4.ท้าวกุเวร ( ท้าวเวสสุวรรณ )ผู้เป็นใหญ่ด้านทิศเหนือ เป็นยักษ์3 ขา มีฟัน 8 ซี่ มี ๔ กรพระวรกายขาวกระจ่างสวมอาภรณ์งดงาม มีมงกุฎเป็นน้ำเต้าทรงอยู่บนพระเศียร, แต่มีรูปกายพิการร่างกายกำยำล่ำสันดูแข็งแรงรูปร่างสมส่วน, มือขวาถือกระบองยาว พวกยักษ์เป็นบริวาร<br /> โดยมีท้าวเวสสุวรรณเป็นหัวหน้าหรือ เป็นอธิบดีแห่งอสูรย์หรือยักษ์ หรือเป็นเจ้าแห่งผี เรียกง่าย ๆ ว่า " นายผี " เป็นหนึ่งในบรรดาท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ ผู้คุ้มครองและดูแลโลกมนุษย์ สถิตอยู่บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ซึ่งมีท้าวมหาราชทั้งสี่ปกครอง คือ ท้าวธตรัฏฐะ ท้าววิรุฬหกะ ท้าววิรูปักขะ และท้าวเวสสุวรรณ (ท้าวกุเวร) ประจำทิศต่างๆ ทั้งสี่ทิศโดยเฉพาะท้าวเวสสุวรรณ (ท้าวกุเวร) เป็นใหญ่ปกครองบริวารทางทิศเหนือ ว่ากันว่าอาณาเขตที่ท้าวเธอดูแลปกครองรับผิดชอบมีอาณาเขตใหญ่โตมหาศาล กว้างขวาง และเป็นใหญ่ (หัวหน้าท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4) เก่งกว่าท้าวมหาราชองค์อื่น <br />ท้าวเวสสุวรรณ เป็นเทพแห่งขุมทรัพย์ เป็นมหาเทพแห่งความร่ำรวย มั่งคั่ง รักษาสมบัติของเทวโลก ทั้งเป็นเจ้านายปกครองดูแลพวกยักษ์ ภูติผีปีศาจทั้งปวง<br />(ในคัมภีร์เทวภูมิ กล่าวไว้ว่า ท้าวเวสสุวรรณได้บำเพ็ญบารมี มาหลายพันปี รับพรจาก พระอิศวร พระพรหม ให้เป็นเทพแห่งความร่ำรวย ) นอกจากนี้หน้าที่ของท้าวเธอมีมากมาย เช่น การดูแลปกป้องคุ้มครอง พระพุทธศาสนา , ปกป้องคุ้มครองแก่ผู้นั่งสมาธิปฏิบัติพระกรรมฐาน เป็นต้น ในคัมภีร์โบราณ ได้กล่าวไว้ว่าผู้ใดหวังความเจริญในลาภยศ ทรัพย์สินเงินทอง อำนาจวาสนา ให้บูชารูปท้าวเวสสุวรรณ หรือ ท้าวกุเวร <br />*******************************************<br />คาถาบูชาท้าวเวสสุวรรณ หรือ ท้าวกุเวร(บูชาประจำวัน) <br />ตั้ง นะโม 3จบ <br />อิติปิโสภะคะวา ยมมะราชาโน ท้าวเวสสุวรรณโณ<br />มรณังสุขัง อะหังสุคะโต นะโมพุทธายะ<br />ท้าวเวสสุวรรณโณ จตุมหาราชิกา ยักขะพันตา ภัทภูริโต<br />เวสสะ พุสะ พุทธัง อะระหัง พุทโธ ท้าวเวสสุวรรณโณ นะโมพุทธายะ<br />********************************************<br /><u>คาถา โองการท้าวมหาราชทั้งสี่</u> <br />ปัสสิสสะ นะมัตถุ จักขุมันตัสสะ สิรีมะโต<br />สิขิสสะปิ นะมัตถุ สัพพะภู ตานุกัมปิโน<br />เวสสะภุสสะ นะมัตถุ นหาตะกัสสะ ตะปัสสิโน<br />นะมัตถุ กะกุสันธัสสะ มาระเสนัปปะมัททิโน<br />โกนาคะมะนัสสะ นะมัตถุ พราหมะณัสสะวุสีมะโต<br />กัสสะปัสสะ นะมัตถุ วิปปะมุตตัสสะ สัพพะธิ<br />อังคีระสัสสะ นะมัตถุ สักยะปุตตัสสะ สิรีมะโต<br />โย อิมัง ธัมมะมะเทเสสิ สัพพะทุกขาปะนูทะนัง<br />เย จาปิ นิพพุตาโลเก ยะถาภูตัง วิปัสสิสุง<br />เต ชะนา อะปิสุณา มะหันตา วีตะสาระทา<br />หิตัง เทวะมะนุสสานัง ยัง นะมัสสันติ โคตะมัง<br />วิชชาจะระณะสัมปันนัง มะหันตัง วีตะสาระทัง ฯ<br />วิชชาจะระณะสัมปันนัง วันทามะ โคตะมันติ<br />ป้องกัน ทั้งโรคภัย สัตว์ อสอรพิศ อสูร ภูผี มนุษย์ <br />
ของประเทศจีน<br />มหาจตุโลกบาล<br />ท้าวจตุโลกบาล คือ ท้าวจาตุมหาราช มีดังนี้ คือ<br />1. ท้าวธตรฐมหาราช ปกครองทางทิศบูรพา เป็นเจ้าแห่งพวกคนธรรพ์<br />2. ท้าววิรุฬหกมหาราช ปกครองทางทิศทักษิณ เป็นเจ้าแห่งกุมภัณฑ์<br />3. ท้าววิรุฬปักข์มหาราช ปกครองทางทิศปัจฉิม เป็นเจ้าแห่งพวกนาค<br />4. ท้าวกุเวรมหาราช (เวสุวัณ) ปกครองทางทิศอุดร เป็นเจ้าแห่งพวกยักษ์<br /><br />ท้าวจตุโลกบาลเหล่านี้ บ้างว่าสืบเนื่องมาจากในคราวกษัตริย์บู่อ๋อง แห่งราชวงศ์จิว ยก ทัพไปตีกษัตริย์ติ๋ว (ก่อน พ.ศ.591) ในระหว่างทาง ได้มีเทพเจ้า 4 พระองค์มาขออาสาช่วยรบ กษัตริย์บู่อ๋องได้กล่าวขอบใจและขอให้ช่วยปกปักษ์รักษาให้ “ฮวง” (ลม) “เที้ยว” (ถูกต้อง) “โหว” (ฝน) “สุง” (ราบรื่น) คือ ให้ดินฟ้าอากาศเป็นไปโดยราบรื่นตามฤดูกาล ให้ราษฎรเป็นอยู่โดยปกติสุขก็เพียงพอ ไม่ต้องช่วยออกรบ<br /> ครั้น การยกทัพไปตีกษัตริย์ติ๋วเป็นผลสำเร็จ กษัตริย์บู่อ๋องจึงรับสั่งให้ตั้งศาลเจ้าบูชาเทพเจ้าทั้ง 4 พระองค์ และให้มีเครื่องหมายดังนี้ คือ <br />
<br />องค์หนึ่งถือดาบ หมายถึงลม เพราะเวลาฟันดาบจะเกิดเป็นเสียงลม <br />องค์หนึ่งถือพิณ เพราะการดีดพิณตามภาษาจีนออกเสียงว่า “เที้ยว” <br />องค์หนึ่งถือร่ม หมายถึง ฝน <br />และองค์หนึ่งถืองู เพราะคำว่างูทะเลออกเสียงว่า “สุง” แต่ต่อมาเนื่องจากงูไม่เป็นที่นิยมของสาธุชน จึงเปลี่ยนเป็นอุ้มเจดีย์แทน<br />
ท้าวจาตุมหาราชทั้ง 4 นี้ มักสร้างเป็นรูปขนาดใหญ่โตเรียงไว้ในวิหารต้นของวัดข้างละสองตน ลัทธิธรรมเนียมปรากฏว่าพระพุทธเจ้าทรงมอบพระธรรมไว้แก่ท้าวมหาราชทั้ง 4 รักษา ชาวจีนจึงได้สร้างท้าวจาตุมหาราชขึ้น เรียกว่า “ฮูฮวบ” (ธรรมบาล) แปลว่า ผู้คุ้มครองรักษาพระศาสนา และนอกจากนี้ ยังทรงพิทักษ์รักษาประเทศชาติ และพุทธบริษัทอีกด้วย ถ้าประเทศชาติใดละเลยหรือหมิ่นแคลนพระธรรม พระองค์ก็จะเพิกถอนการพิทักษ์รักษานั้นเสีย หากมั่นอยู่ในพระธรรมก็จะอำนวยสุขสวัสดิ์ <br /> <br />
บริวาร ของท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 มีหน้าที่คอยตรวจตราดูแลทุกข์สุขของมวลมนุษย์ และจัดการปราบปรามสัตว์ที่ทำบาปและไม่ตั้งอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม<br />ท้าวธตรฐมหาราช ปกครองทิศบูรพา เป็นเจ้าแห่งคนธรรพ์ <br />ท้าววิรุฬปักข์มหาราช ปกครองทางทิศปัจฉิม เป็นเจ้าแห่งนาค<br /> ท้าววิรุฬหกมหาราช ปกครองทางทิศทักษิณ เป็นเจ้าแห่งกุมภัณฑ์<br />ท้าวกุเวรมหาราช (เวสุวัณ) ปกครองทางทิศอุดร เป็นเจ้าแห่งยักษ์</div>
pinkhttp://www.blogger.com/profile/06273115781979449593noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8638023715322892693.post-49279094751689708312013-06-10T11:46:00.003+07:002013-06-10T11:46:43.333+07:00อานิสงค์ผลบุญ15อย่าง อันแรงกล้า ให้ชีวิตรุ่งเรือง มีความเจริญก้าวหน้า<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
<center>
<h4>
</h4>
</center>
<strong><span style="color: blue;">1. <span style="font-family: Tahoma;">ถือศีล </span><span style="font-family: Ms Sans Serif;">5
</span></span></strong><span style="font-family: Tahoma;">การถือศีล </span><span style="font-family: Ms Sans Serif;">5 </span><span style="font-family: Tahoma;">เป็นประจำจะช่วยเสริมดวงชะตาและจิตใจให้ตั้งมั่นอยู่ในความดีงาม</span><span style="font-family: Tahoma;">การทำดีและไม่เบียดเบียนใครถือเป็นการทำบุญกุศลที่ได้อานิสงส์</span><span style="font-family: Tahoma;">เป็นผลให้เกิดความโชคดี และแก้เคราะห์ลดกรรมได้</span><span style="font-family: Ms Sans Serif;"><br /><br /><span style="color: maroon;"><shape id="_x0000_i1027" style="height: 11.25pt; width: 11.25pt;" type="#_x0000_t75"><imagedata o:href="http://new.goosiam.com/news2/admin/my_documents/my_pictures/56F_flower2.gif" src="file:///C:\DOCUME~1\use\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image002.gif"></imagedata></shape></span><b><span style="color: blue;">2. </span></b></span><b><span style="color: blue;"><span style="font-family: Tahoma;">การถือศีล </span></span></b><b><span style="color: blue;"><span style="font-family: Ms Sans Serif;">8</span></span></b><span style="font-family: Tahoma;">จะช่วยเสริมดวงและแก้เคราะห์ได้เช่นเดียวกับการถือศีล </span><span style="font-family: Ms Sans Serif;">5 </span><span style="font-family: Tahoma;">แต่การถือศีล </span><span style="font-family: Ms Sans Serif;">8 </span><span style="font-family: Tahoma;">นั้นปฏิบัติได้ยากยิ่ง</span><span style="font-family: Tahoma;">แต่เมื่อปฏิบัติได้สำเร็จจะได้กุศลแรงนักปฏิบัติแล้วยังช่วยเสริมดวงอำนาจบารมีได้</span><span style="font-family: Ms Sans Serif;"><br /><br /><span style="color: maroon;"><shape id="_x0000_i1028" style="height: 11.25pt; width: 11.25pt;" type="#_x0000_t75"><imagedata o:href="http://new.goosiam.com/news2/admin/my_documents/my_pictures/56F_flower2.gif" src="file:///C:\DOCUME~1\use\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image002.gif"></imagedata></shape></span><b><span style="color: blue;">3. </span></b></span><b><span style="color: blue;"><span style="font-family: Tahoma;">กินเจ</span></span></b><span style="font-family: Tahoma;">ก็เพื่อลดละชีวิตสัตว์
ซึ่งได้อานิสงส์ผลบุญสูงและควรปฏิบัติอย่างเคร่งครัด</span><span style="font-family: Tahoma;">ถ้าอธิษฐานไว้ว่า </span><span style="font-family: Ms Sans Serif;">7 </span><span style="font-family: Tahoma;">วัน ก็ทำให้ครบ </span><span style="font-family: Ms Sans Serif;">7 </span><span style="font-family: Tahoma;">วัน อาจตั้งจิตว่าจะทำทุกวันพระและทุกเดือน</span><span style="font-family: Tahoma;">หรือปฏิบัติทุกเดือน เดือนละ </span><span style="font-family: Ms Sans Serif;">3
</span><span style="font-family: Tahoma;">วัน หรือ </span><span style="font-family: Ms Sans Serif;">7
</span><span style="font-family: Tahoma;">วัน เป็นต้น</span><span style="font-family: Ms Sans Serif;"><br /><br /><span style="color: maroon;"><shape id="_x0000_i1029" style="height: 11.25pt; width: 11.25pt;" type="#_x0000_t75"><imagedata o:href="http://new.goosiam.com/news2/admin/my_documents/my_pictures/56F_flower2.gif" src="file:///C:\DOCUME~1\use\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image002.gif"></imagedata></shape></span><b><span style="color: blue;">4. </span></b></span><b><span style="color: blue;"><span style="font-family: Tahoma;">ไหว้พระและถวายดอกไม้</span></span></b><b><span style="color: blue;"><span style="font-family: Tahoma;">ธูปเทียน</span></span></b><span style="font-family: Tahoma;">รวมทั้งการปิดทองคำเปลวและเครื่องหอม</span><span style="font-family: Tahoma;">ผลบุญนี้จะทำให้ชีวิตรุ่งเรือง มีความเจริญก้าวหน้า</span><span style="font-family: Ms Sans Serif;"><br /><br /><span style="color: maroon;"><shape id="_x0000_i1030" style="height: 11.25pt; width: 11.25pt;" type="#_x0000_t75"><imagedata o:href="http://new.goosiam.com/news2/admin/my_documents/my_pictures/56F_flower2.gif" src="file:///C:\DOCUME~1\use\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image002.gif"></imagedata></shape></span><b><span style="color: blue;">5. </span></b></span><b><span style="color: blue;"><span style="font-family: Tahoma;">ถวายน้ำมันตะเกียง</span></span></b><span style="font-family: Tahoma;">เพื่อความรุ่งโรจน์โชติช่วงของชีวิต</span><span style="font-family: Tahoma;">เช่นเดียวกับความสว่างของแสงตะเกียง
ทำให้พ้นจากความมืดมิดทั้งการดำเนินชีวิต</span><span style="font-family: Tahoma;">รวมทั้งปัญหาและความคิดที่สว่างไสวไม่อับจนหนทาง</span><span style="font-family: Ms Sans Serif;"><o border="0" class="inlineimg" img="" src="images/smilies/tongue-smile.gif" title="Tongue out">></o>></span><br /><span style="font-family: Ms Sans Serif;"><o border="0" class="inlineimg" img="" src="images/smilies/tongue-smile.gif" title="Tongue out">>
</o>></span><span style="font-family: Ms Sans Serif;"><br /><span style="color: maroon;"><shape id="_x0000_i1031" style="height: 11.25pt; width: 11.25pt;" type="#_x0000_t75"><imagedata o:href="http://new.goosiam.com/news2/admin/my_documents/my_pictures/56F_flower2.gif" src="file:///C:\DOCUME~1\use\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image002.gif"></imagedata></shape></span><b><span style="color: blue;">6. </span></b></span><b><span style="color: blue;"><span style="font-family: Tahoma;">ถวายสังฆทาน</span></span></b><span style="font-family: Tahoma;">เป็นการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา
โดยถวายสิ่งของจำเป็นแด่พระสงฆ์</span><span style="font-family: Tahoma;">อานิสงส์ผลบุญจะส่งให้ชีวิตหมดเคราะห์หมดโศก
จะทำสิ่งใดก็ราบรื่นไม่ติดขัด</span><span style="font-family: Tahoma;">พบแต่ความสำเร็จสมปรารถนา
รวมทั้งมีความเป็นอยู่อุดมสมบูรณ์ ไม่ขัดสน</span><span style="font-family: Ms Sans Serif;"><br /><br /><span style="color: maroon;"><shape id="_x0000_i1032" style="height: 11.25pt; width: 11.25pt;" type="#_x0000_t75"><imagedata o:href="http://new.goosiam.com/news2/admin/my_documents/my_pictures/56F_flower2.gif" src="file:///C:\DOCUME~1\use\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image002.gif"></imagedata></shape></span><b><span style="color: blue;">7. </span></b></span><b><span style="color: blue;"><span style="font-family: Tahoma;">ไหว้พระ</span></span></b><span style="font-family: Tahoma;">ไหว้บูชาเทพต่างๆ จะทำให้พบกับความสุข
ความเจริญเกิดความสุขใจว่ามีที่พึ่งพิง</span><span style="font-family: Tahoma;">ยึดเหนี่ยว</span><span style="font-family: Tahoma;">นำมาซึ่งกำลังใจในการต่อสู้ชีวิตต่อไปและรู้สึกเสมอว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยคุ้มครองเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง</span><span style="font-family: Ms Sans Serif;"><br /><br /><span style="color: maroon;"><shape id="_x0000_i1033" style="height: 11.25pt; width: 11.25pt;" type="#_x0000_t75"><imagedata o:href="http://new.goosiam.com/news2/admin/my_documents/my_pictures/56F_flower2.gif" src="file:///C:\DOCUME~1\use\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image002.gif"></imagedata></shape></span><b><span style="color: blue;">8. </span></b></span><b><span style="color: blue;"><span style="font-family: Tahoma;">ทำบุญปล่อยสัตว์</span></span></b><span style="font-family: Tahoma;">เป็นการไม่เบียดเบียนชีวิตผู้อื่น แต่ถือว่าได้บุญแรง
จะต้องทำด้วยความตั้งใจจริง</span><span style="font-family: Tahoma;">เช่น
การไปซื้อสัตว์ที่กำลังจะถูกฆ่าไปปล่อย</span><span style="font-family: Tahoma;">ไถ่ชีวิตวัวควายถวายวัดเพื่อมอบให้ชาวนานำไปใช้ประโยชน์</span><span style="font-family: Tahoma;">ซื้อปลาในตลาดที่จะถูกฆ่าไปปล่อยน้ำ ผลบุญนี้ยังผลให้หมดทุกข์
หมดภัย</span><span style="font-family: Tahoma;">และพบความสุขความเจริญในชีวิต</span><span style="font-family: Ms Sans Serif;"><br /><br /><span style="color: maroon;"><shape id="_x0000_i1034" style="height: 11.25pt; width: 11.25pt;" type="#_x0000_t75"><imagedata o:href="http://new.goosiam.com/news2/admin/my_documents/my_pictures/56F_flower2.gif" src="file:///C:\DOCUME~1\use\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image002.gif"></imagedata></shape></span><b><span style="color: blue;">9. </span></b></span><b><span style="color: blue;"><span style="font-family: Tahoma;">ทำบุญ ให้ทาน</span></span></b><span style="font-family: Tahoma;">เป็นการรู้จักเสียสละตนเองและแบ่งปันให้ผู้อื่น</span><span style="font-family: Tahoma;">ซึ่งผลบุญจะเกิดขึ้นได้นั้นต้องมีจิตใจยินดีในการทำบุญให้ทานด้วย</span><span style="font-family: Tahoma;">ไม่ว่าจะเป็นการบำรุงพุทธศาสนา
หรือการให้ทานเกื้อกูลคนยากไร้</span><span style="font-family: Tahoma;">ล้วนแล้วแต่เป็นบุญส่งเสริมให้ชีวิตมีโชค มีทรัพย์
และมากด้วยบารมี</span><span style="font-family: Ms Sans Serif;"><br /><br /><span style="color: maroon;"><shape id="_x0000_i1035" style="height: 11.25pt; width: 11.25pt;" type="#_x0000_t75"><imagedata o:href="http://new.goosiam.com/news2/admin/my_documents/my_pictures/56F_flower2.gif" src="file:///C:\DOCUME~1\use\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image002.gif"></imagedata></shape></span><b><span style="color: blue;">10. </span></b></span><b><span style="color: blue;"><span style="font-family: Tahoma;">ทำทานแก่คนยากไร้</span></span></b><span style="font-family: Tahoma;">เป็นการทำบุญที่มาจากจิตใจอันไม่ยึดติดมีความไม่โลภ</span><span style="font-family: Tahoma;">ผลบุญจึงหนุนนำให้มีแต่ความราบรื่น
ยามมีเรื่องติดขัดก็จะมีผู้มาช่วยเหลือค้ำจุน</span><span style="font-family: Tahoma;">ยามมีเคราะห์ภัยก็จะแคล้วคลาด</span><span style="font-family: Tahoma;">เพราะแรงอนุโมทนาจิตจากผู้ยากไร้ที่ได้รับสิ่งของจากเรานั่นเอง</span><span style="font-family: Ms Sans Serif;"><br /><br /><span style="color: maroon;"><shape id="_x0000_i1036" style="height: 11.25pt; width: 11.25pt;" type="#_x0000_t75"><imagedata o:href="http://new.goosiam.com/news2/admin/my_documents/my_pictures/56F_flower2.gif" src="file:///C:\DOCUME~1\use\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image002.gif"></imagedata></shape></span><b><span style="color: blue;">11. </span></b></span><b><span style="color: blue;"><span style="font-family: Tahoma;">ทำบุญโลงศพ</span></span></b><span style="font-family: Tahoma;">ซื้อโลงศพบริจาคศพอนาถาไร้ญาติ จะได้อานิสงส์แรงยิ่งนัก</span><span style="font-family: Tahoma;">การทำบุญเช่นนี้จะช่วยเสริมดวงชะตาให้แข็งแกร่ง
สามารถต้านเคราะห์ภัยหนักต่างๆ</span><span style="font-family: Tahoma;">และผ่อนหนักเป็นเบาได้</span><span style="font-family: Ms Sans Serif;"><br /><br /><span style="color: maroon;"><shape id="_x0000_i1037" style="height: 11.25pt; width: 11.25pt;" type="#_x0000_t75"><imagedata o:href="http://new.goosiam.com/news2/admin/my_documents/my_pictures/56F_flower2.gif" src="file:///C:\DOCUME~1\use\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image002.gif"></imagedata></shape></span><b><span style="color: blue;">12. </span></b></span><b><span style="color: blue;"><span style="font-family: Tahoma;">พิมพ์หนังสือธรรมะแจก</span></span></b><span style="font-family: Tahoma;">จัดพิมพ์เองหรือร่วมบริจาคสมทบทุนการพิมพ์กับผู้อื่นก็ได้</span><span style="font-family: Tahoma;">เป็นการเสริมดวงให้มีวาสนาบารมี เพื่อให้ปัญญาสว่าง หมดทุกข์
หมดโศก</span><span style="font-family: Tahoma;">ไม่มีเคราะห์ร้ายมากล้ำกราย</span><span style="font-family: Ms Sans Serif;"><br /><br /><span style="color: maroon;"><shape id="_x0000_i1038" style="height: 11.25pt; width: 11.25pt;" type="#_x0000_t75"><imagedata o:href="http://new.goosiam.com/news2/admin/my_documents/my_pictures/56F_flower2.gif" src="file:///C:\DOCUME~1\use\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image002.gif"></imagedata></shape></span><b><span style="color: blue;">13. </span></b></span><b><span style="color: blue;"><span style="font-family: Tahoma;">บริจาคค่าน้ำ ค่าไฟ</span></span></b><span style="font-family: Tahoma;">จะช่วยให้ชีวิตราบรื่น หมดทุกข์ หมดโศก ประสบแต่ความโชคดี</span><span style="font-family: Ms Sans Serif;"><br /><br /><span style="color: maroon;"><shape id="_x0000_i1039" style="height: 11.25pt; width: 11.25pt;" type="#_x0000_t75"><imagedata o:href="http://new.goosiam.com/news2/admin/my_documents/my_pictures/56F_flower2.gif" src="file:///C:\DOCUME~1\use\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image002.gif"></imagedata></shape></span><b><span style="color: blue;">14. </span></b></span><b><span style="color: blue;"><span style="font-family: Tahoma;">ซื้อข้าวสารถวายวัด</span></span></b><span style="font-family: Tahoma;">เลี้ยงอาหารเด็กกำพร้าตามสถานสงเคราะห์เป็นการสั่งสมบุญกุศล
เพื่อให้ชีวิตมั่งคั่ง</span><span style="font-family: Tahoma;">อุดมสมบูรณ์และเพียบพร้อมด้วยบารมี</span><span style="font-family: Ms Sans Serif;"><br /><br /><span style="color: maroon;"><shape id="_x0000_i1040" style="height: 11.25pt; width: 11.25pt;" type="#_x0000_t75"><imagedata o:href="http://new.goosiam.com/news2/admin/my_documents/my_pictures/56F_flower2.gif" src="file:///C:\DOCUME~1\use\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_image002.gif"></imagedata></shape></span><b><span style="color: blue;">15. </span></b></span><b><span style="color: blue;"><span style="font-family: Tahoma;">การตักบาตรร่วมขันกับผู้อื่นหรือทำบุญร่วมกับผู้อื่น</span></span></b><span style="font-family: Tahoma;">ไม่ว่าจะทำบุญด้วยการบริจาคทรัพย์หรือโดยทางอื่น
จะส่งผลให้เนื้อคู่ดูดี</span><span style="font-family: Tahoma;">ดวงชะตาแข็งแกร่ง
เกื้อกูลซึ่งกันและกัน</span><span style="font-family: Tahoma;">และจะได้แต่เพื่อนที่ดีในชาตินี้</span><br />
<span style="font-family: Tahoma;"></span><br />
<span style="font-family: Tahoma;">ขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก : </span><span style="font-family: Tahoma;"><a href="http://www.oknation.net/blog/print.php?id=406130">http://www.oknation.net/blog/print.php?id=406130</a></span><br />
</div>
pinkhttp://www.blogger.com/profile/06273115781979449593noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8638023715322892693.post-52799876441080509842013-03-05T14:25:00.001+07:002013-03-05T14:25:21.105+07:00สุดยอดสมุนไพรไทย - พลูคาว<br />
<br />
<img border="0" height="48" src="http://learners.in.th/file/thankmo_o/00048420_166139.gif" width="45" /><span style="color: red;"> พลูคาว</span> <img border="0" height="45" src="http://learners.in.th/file/thankmo_o/00048420_166139.gif" width="42" /><br />
<br />
<div style="text-align: center;">
</div>
<div style="text-align: center;">
<span style="color: blue;"><span style="background-color: yellow;"><span style="color: red;"><strong><img border="0" src="http://learners.in.th/file/thankmo_o/cats.jpg" /></strong></span></span></span></div>
<span style="color: blue;"><span style="background-color: yellow;"><span style="color: red;"><strong> ชื่อวิทยาศาสตร์ </strong></span></span> Houttuynia cordata Thunb.</span><br />
<div style="text-align: justify;">
<span style="color: blue;"><span style="background-color: yellow;"><span style="color: red;"><strong> ชื่ออื่นๆ</strong></span></span> คาวตอง(ลำปาง,อุดร)คาวทอง(มุกดาหาร,อุตรดิตถ์)ผักก้านตอง(แม่ฮ่องสอน)ผักเข้าตอง,ผักคาวตอง,ผักคาวปลา(ภาคเหนือ)พลูคาว(ภาคกลาง) <br /><span style="color: red;"><span style="background-color: yellow;"><strong> วงศ์ </strong></span></span> SAURURACEAE <br /><strong> </strong><strong> </strong>พลูคาวเป็นพืชสมุนไพรประจำถิ่นที่พบมากในแถบภาคเหนือของไทย ซึ่งถือเป็นพืชตระกูลเดียวกับพลู ชอบขึ้นในพื้นที่ชื้นแฉะ มีร่มเงาเล็กน้อยและสภาพอากาศเย็น</span><span style="color: blue;">ชาวบ้านในเขตภาคเหนือจะเรียกว่า “ผักคาวตอง” เนื่องจากต้นและใบจะมีกลิ่นคาวรุนแรงคล้ายคาวปลา ซึ่งส่วนใหญ่นิยมนำใบมาเป็นเครื่องเคียงอาหารสดๆ เช่น ลาบ ซ่า ก้อย ซกเล็ก เป็นต้น ซึ่งคนโบราณเชื่อว่าอาหารสดๆ เหล่านั้นจะเป็นปัจจัย ทำให้เกิดโรคมะเร็ง และตัวพลูคาวนี้จะเข้าไปช่วยสร้างความสมดุล และยับยั้งไม่ให้มะเร็งลุกลาม ถือว่าเป็นสมุนไพรที่มีสารในการต้านมะเร็ง สังเกตได้ว่าประชากรในภาคเหนือเป็น “ โรคมะเร็ง” ค่อนข้างน้อยเนื่องจากบริโภคพลูคาวเป็นประจำ </span></div>
<span style="color: magenta;"><img border="0" height="48" src="http://learners.in.th/file/thankmo_o/324_69268.gif" width="48" /> <strong>ลักษณะแตกต่างจากพลู คือ ที่ใต้ใบของพลูคาวจะ มีสีแดงอ่อนไปจนถึงสีแดงเข้ม <img border="0" height="171" src="http://learners.in.th/file/thankmo_o/cats3.jpg" width="163" /></strong></span><br />
<strong><span style="background-color: yellow;"><span style="color: red;"> ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของพลูคาว </span></span></strong><br />
<span style="color: purple;"><strong><span style="background-color: #ff99cc;"><span style="background-color: #ff99cc;"><span style="color: blue;"> สมุน<span style="color: #003300;">ไพร</span></span></span><span style="color: #3366ff;">พลู<span style="color: red;">คาว</span></span><span style="color: lime;">เกี่ยว</span><span style="color: magenta;">กับ</span>โรค<span style="color: #ff6600;">มะเร็ง </span></span></strong></span><br />
<div style="text-align: justify;">
<span style="color: purple;"> โรคมะเร็งเป็นเนื้องอกชนิดร้ายแรง เกิดจากเซลล์สูญเสียคุณสมบัติที่เรียกว่า Contact Inhibition ทำให้เกิดการแบ่งตัวของเซลล์ก้อนใหญ่ เรียกว่า “เนื้องอก” สามารถแพร่กระจาย (Metastasis) ไปยังส่วนต่างๆของร่างกายได้ ระยะแรกมักไม่แสดงอาการเจ็บปวด เมื่อมะเร็งโตขึ้น ร่างกายจะทรุดโทรมจนถึงแก่ชีวิตได้</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="color: purple;"> </span><span style="color: purple;">1. ฤทธิ์การทำลายเซลล์มะเร็ง 5 ชนิด คือ เซลล์มะเร็งปอด (HUMANLONG DADNOCARCINOMA) ,เซลล์มะเร็งรังไข่ (HUMAN OVARIAN ADENOCARCINOMA), เนื้องอกที่เป็นเนื้อร้ายในสมอง (HUMAN CNS CARCINOMA),เซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ (HUMAN COLON ADENOCARCINOMA) และเซลล์มะเร็งต่อมไทรอยด์</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="color: purple;">2. ฤทธิ์ในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว (LEUKEMIC CALL LINES)</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="color: purple;">3. ฤทธิ์ในการทำลายเซลล์มะเร็งอื่นๆ</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="color: purple;"></span> </div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="color: purple;"><span style="background-color: #ff99cc;"></span></span> </div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="color: purple;"><span style="background-color: #ff99cc;"></span></span><span style="color: #30dd21;"><strong><span style="background-color: #ff99cc;"><span style="color: lime;">สมุน</span><span style="color: red;">ไพร</span><span style="color: purple;">พลู</span><span style="color: green;">คาว</span><span style="color: #ff6600;">กับ</span><span style="background-color: #ff99cc;"><span style="color: navy;">ไวรัส </span></span></span></strong> </span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="color: #30dd21;">โรคที่เกิดจากไวรัสแบ่งเป็นการติดเชื้อ 3แบบคือ</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="color: #30dd21;">1. โรคที่เกิดจากไวรัสที่มีอาการเฉียบพลัน เช่นไข้ทรพิษ, หัด, หัดเยอรมัน, หวัด, ตาอักเสบ เป็นต้น</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="color: #30dd21;">2. โรคที่เกิดจากไวรัสที่มีอาการเป็นๆหายๆ เช่น เริม งูสวัด เป็นต้น</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="color: #30dd21;">3. โรคที่เกิดจากไวรัสที่มีอาการเรื้อรัง เช่น HOV โรคพิษสุนัขบ้า เป็นต้น</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="color: #30dd21;"> สมุนไพรพลูคาวสามารถยับยั้ง การเจริญเติบโตของเชื้อไวรัส POLLOVIRUS AND COXSACKIEVIRUS โรค ที่เกิดจากไวรัสในไก่ โรคหลอดลมอักเสบชนิดเฉียบพลันและชนิดเรื้อรัง เช่นหวัด ไข้หวัดนก คางทูม ต่อมทอลซินอักเสบ และปอดอักเสบในเด็ก</span></div>
<div style="text-align: justify;">
</div>
<span style="color: magenta;"><strong><span style="background-color: #ff99cc;"><span style="color: red;"> สมุน</span><span style="color: purple;">ไพร</span><span style="color: #ff6600;">พลู</span><span style="color: olive;">คาว</span><span style="color: navy;">กับ</span><span style="color: #333333;">เชื้อรา </span></span></strong><strong> </strong></span><br />
<div style="text-align: justify;">
<span style="color: magenta;"> รา เป็นจุลินทรีย์ชนิดหนึ่งแบ่งเป็น2กลุ่ม คือ เซลล์เดียวหรือยีสต์ UNICELLULAR FUNGI OR TEAST และเซลล์หลายเซลล์หรือโมลด์ FILAMENTOUS FUNGI OR MOLD ราเป็นสาเหตุของโรคที่เกิดกับผิวหนัง </span><span style="color: magenta;">สมุนไพรพลูคาวสามารถรักษา กลาก เกลื้อน สังคัง ฮ่องกงฟุต สะเก็ดเงิน โรคปอดอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบที่เกิดจากเชื้อรา CRYPTOCOCCUS NEOFORMANS</span></div>
<div style="text-align: justify;">
</div>
<span style="color: maroon;"><strong><span style="background-color: #ff99cc;"> สมุน<span style="background-color: #ff99cc;"><span style="color: blue;">ไพร</span></span><span style="color: green;">พลู</span><span style="color: teal;">คาว</span><span style="color: magenta;">กับ</span><span style="color: lime;">แบค</span><span style="color: purple;">ทีเรีย <span style="background-color: #ff99cc;"> </span></span></span></strong></span><br />
<div style="text-align: justify;">
<span style="color: maroon;"> โรค ที่มีสาเหตุจากการติดเชื้อแบคทีเรียมีหลากหลายแตกต่างกัน ตามชนิดของแบคทีเรีย ที่เป็นสาเหตุของโรค และขึ้นอยู่กับบริเวณที่เกิดการติดเชื้อ </span><span style="color: maroon;">สมุนไพร พลูคาวสามารถป้องกัน อาการท้องเดิน ท้องเสีย ท้องเดินปัสสาวะอักเสบ การติดเชื้อทางเดินหายใจ ฝี โรคทางเดินอาหาร โรคปริทันต์ โรคในระบบสืบพันธุ์ โรคติดเชื้อในช่องปาก สิว โรคผิวหนัง กลาก ขี้เรื้อนกวาง</span></div>
<div style="text-align: justify;">
</div>
<span style="background-color: #ff99cc;"><span style="color: #cc99ff;"><strong><span style="color: #339966;"> สมุน</span><span style="color: red;">ไพร</span><span style="background-color: #ff99cc;"><span style="color: #ff6600;">พลูคาว</span></span><span style="color: lime;">กับการ</span><span style="color: magenta;">อักเสบ</span> </strong><span style="color: maroon;"><strong> ANTI-INFLAMMATION <span style="background-color: #ff99cc;"> </span></strong></span></span></span><br />
<div style="text-align: justify;">
<span style="color: #cc99ff;"> สมุนไพร พลูคาวมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ โดยยับยั้งการซึมผ่านเส้นเลือดฝอยของของเหลว หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ ไฟไหม้น้ำร้อนลวก ปวดฟัน ขับปัสสาวะ DIUERTIC ACTIVITY</span></div>
<div style="text-align: justify;">
</div>
<span style="background-color: #ff99cc;"><span style="color: olive;"><strong> สมุน<span style="color: maroon;">ไพร</span><span style="color: lime;">พลูคาว</span><span style="color: navy;">กับ</span><span style="color: #003300;">ภูมิคุ้มกัน <span style="background-color: #ff99cc;"> </span></span></strong></span></span><br />
<div style="text-align: justify;">
<span style="color: olive;"> ร่างกายจะมีภูมิคุ้มกันโรค หรือมีความต้านทานโรค ไม่ให้โรคหรือสิ่งแปลกปลอมเข้ามาในร่างกาย สมุนไพรพลูคาวช่วยบำบัดอาการไอ จาม อักเสบ หอบหืด ATOPIC ECZEMA โรคหวัดเรื้อรัง โรคข้ออักเสบ รูมาตอยต์ โรคข้ออักเสบ HIV มะเร็ง ผู้ได้รับสารกดภูมิคุ้มกัน</span></div>
<div style="text-align: justify;">
</div>
<span style="background-color: #ff99cc;"><strong><span style="color: #3366ff;">สมุน<span style="color: #003300;">ไพร</span><span style="color: red;">พลูคาว</span><span style="color: green;">กับ</span><span style="color: magenta;">โรคอื่นๆ</span></span></strong></span><br />
<div style="text-align: justify;">
<span style="color: #3366ff;"> เบา หวาน ตับอักเสบ ตับแข็ง ไตอักเสบ เนื้อปอดพองลม ปวดขัดเบา ลดไข้ ขจัดสารพิษ เยื่อบุจมูกอักเสบ โรคผิวหนังโรคติดเชื้อต่าง ต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ ต้านการจับตัวของเกร็ดเลือด โพรงจมูกอักเสบ ควบคุมระบบการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันได้เร็วขึ้น</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="color: #3366ff;"></span> </div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: yellow;"><span style="color: red;"><strong> จากการวิจัย <span style="background-color: yellow;"> </span></strong></span></span></div>
<strong><div style="text-align: justify;">
<span style="color: #ff6600;">คณะแพทย์จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่และมหาวิทยาลัยขอนแก่น พลูคาว ได้วิจัยและทดลองผลิตเป็นยาน้ำสมุนไพรบำรุงร่างกาย โดยผ่านกรรมวิธีการหมักและผสมผสานระหว่างศาสตร์ซึ่งเป็นภูมิปัญญาดั้งเดิม กับเทคโนโลยีชีวภาพ (NanoTechnology) ใช้สมุนไพรพลูคาวเป็นสารตั้งต้น</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="color: #ff6600;"> </span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="color: #ff6600;"></span><span style="color: #ff6600;">ขณะเดียวกันคณะนักวิจัยยังได้ทราบข้อเท็จจริงว่าสีแดงที่อยู่ใต้ใบพลูคาวเป็นตัวชี้วัดว่ามีเภสัชสาร ซึ่งเป็นสารเฮลตีแบคทีเรีย มีจุลินทรีย์และแลคโตบาซิลลัสสายพันธุ์หนึ่ง ที่สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกายของมนุษย์ให้ทำงานได้ดีขึ้น ทั้งยังสามารถไปยับยั้งการเจริญเติบโตและต้านทานเนื้องอก (Anti-tumor) และช่วยต้านอนุมูลอิสระในร่างกายได้ค่อนข้างดี</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="color: #ff6600;">หลังจากที่สกัดเป็นยาน้ำ และผ่านการเห็นชอบจากคณะกรรมการจริยธรรมแล้ว ได้นำยามาทดลองในผู้ป่วยมะเร็ง 5 ชนิด คือ มะเร็งปอด มะเร็งต่อมไทรอยด์ มะเร็งปากมดลูก เนื้องอกบริเวณสมอง และเนื้องอกของ Soft tissue sarcoma โดยให้ผู้ป่วยดื่มบำรุงร่างกาย และใช้ร่วมกับการรักษาของคณะแพทย์โดยการฉายรังสี ปรากฏว่า สามารถช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายผู้ป่วยมะเร็งได้ ทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาได้มากขึ้นทำให้อาการของผู้ป่วยดีขึ้นและยืดอายุของผู้ป่วยได้นานขึ้นด้วย ซึ่งดีกว่าการรักษาด้วยการฉายรังสีเพียงอย่างเดียว</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="color: #ff6600;"></span> </div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="color: #ff6600;">พ</span><span style="color: #ff6600;">ลูคาว จะนำมาต้มโดยให้ผู้ป่วยดื่มบำรุงร่างกาย และใช้ร่วมกับการรักษาของคณะแพทย์โดยการฉายรังสี ปรากฏว่า สามารถช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายผู้ป่วยมะเร็งได้ ทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาได้มากขึ้นทำให้อาทีมนักวิชาการจาก มหาวิทยาลัยขอนแก่น จึงนำเอาศาสตร์พื้นบ้านนี้มาเป็นพื้นฐาน ด้วยการนำพลูคาวมาสกัดเป็นตัวยาหลักนำไปช่วยในการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง... โดยมี “กระชายแดง” และสมุนไพรอื่นๆอีกเป็นส่วนผสม... ผลปรากฏว่าสามารถยื้อชีวิตผู้ป่วยโรคมะเร็งไว้ได้... หลังอยู่ในสภาพที่สิ้นความหวังไปแล้ว</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="color: #ff6600;"></span> </div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="color: #ff6600;">ผศ.ดร.วิจิตร เกิดผล จากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น หนึ่งในคณะนักวิจัย เปิดเผยว่า... หลังจากที่มีการศึกษาวิจัย เกี่ยวกับการนำสมุนไพร พลูคาวมาเป็นสารตั้งต้นในการผลิต และผลิตเป็นยาน้ำสมุนไพรบำรุงร่างกาย ใช้กรรมวิธีการหมักและผสมผสาน ระหว่างภูมิปัญญาดั้งเดิมของไทย กับนาโนเทคโนโลยี NanoTechnology...ล่าสุดทีมวิจัยยังนำเอาเห็ดหลินจือ เข้ามาเป็นยาร่วม ดำเนินการผลิต ออกมาเป็นผลิตภัณฑ์น้ำสมุนไพรไทย เพื่อสุขภาพ ที่ชื่อ Vilac Plus...!!! เมื่อทดลองให้ผู้ป่วยมะเร็งดื่มยาน้ำสมุนไพรไทยอย่างต่อเนื่องแล้ว พบว่าสามารถช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายผู้ป่วยได้สูงขึ้น ทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในรักษาได้มากขึ้น เมื่อใช้ร่วมกับการรักษาด้วยวิธีรังสีรักษา ส่งผลให้อาการของผู้ป่วยดีขึ้นและยืดอายุของผู้ป่วยมะเร็งระยะลุกลามได้นานขึ้น ในการนี้มหาวิทยาลัยขอนแก่น ยังได้จัดทำโครงการวิจัยเรื่อง “การทดสอบฤทธิ์ความเป็นพิษของ Vilac Plus ต่อเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวหรือลูคีเมีย (Leukemia)” ขณะเดียวกันยังจะศึกษาวิจัยในผู้ป่วย “ธาลัสซีเมีย” ควบคู่ไปด้วยใช้ระยะเวลาดำเนินการวิจัยประมาณ 2 ปี </span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="color: #ff6600;"></span> </div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="color: #ff6600;">ทางด้าน นายสุริยา วิจิตรโชติ นักวิจัยภาคเอกชน ได้ทำการวิจัยและผลิตน้ำสมุนไพรไทย เพื่อสุขภาพจากพลูคาวนี้ขึ้นมา บอกว่า...เพื่อผลงานวิจัยชิ้นนี้ ได้ประสบความสำเร็จจึงตัดสินใจมอบ Vilac Plus (ชื่อน้ำสมุนไพรจากพลูคาว) ให้กับทีมวิจัยในภาคราชการ เพื่อใช้ทำการวิจัยเฉลี่ยเดือนละ 4,000 ขวด เป็นระยะเวลา 3 ปี...เป็นการให้เปล่าหรือเรียกว่าฟรี...!!! <br />การของผู้ป่วยดี ขึ้นและยืดอายุของผู้ป่วยได้นานขึ้นด้วย ซึ่งดีกว่าการรักษาด้วยการฉายรังสีเพียงอย่างเดียว</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="color: #ff6600;"></span> </div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="color: #ff6600;">ข้อมูลจาก <a href="http://www.learners.in.th/blogs/posts/337240">http://www.learners.in.th/blogs/posts/337240</a></span></div>
</strong><div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: yellow;"><span style="color: red;"><strong><span style="background-color: yellow;"></span></strong></span></span> </div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: yellow;"><span style="color: red;"><strong><span style="background-color: yellow;"></span></strong></span></span> </div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: yellow;"><span style="color: red;"><strong><span style="background-color: yellow;"></span></strong></span></span> </div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: yellow;"><span style="color: red;"><strong><span style="background-color: yellow;"></span></strong></span></span> </div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: yellow;"><span style="color: red;"><strong><span style="background-color: yellow;"></span><br /> </strong></span></span></div>
<strong></strong>pinkhttp://www.blogger.com/profile/06273115781979449593noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8638023715322892693.post-78290182413936303102013-03-05T14:18:00.000+07:002013-03-05T14:18:08.150+07:00สุดยอดสมุนไพรไทย - จตุผลาธิกะ<table border="1" cellspacing="0" style="width: 100%px;">
<tbody>
<tr bgcolor="#4b9339">
<td hight="30"><span>
<center>
จตุผลาธิกะเป็นมหาพิกัดแพทย์แผนไทย</center>
</span></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table style="width: 100%px;">
<tbody>
<tr width="100%">
<td colspan="2"> จตุผลาธิกะเป็นมหาพิกัดแพทย์แผนไทยเป็นดำนานเล่าขานถึงตำรับโบราณจากวัดโพธิ์
เพียงแค่วิตามิน C ที่สูงกว่าส้ม 20 เท่าก็ทำให้ ผิวสวยยั่งยืน รีดไขมันที่หน้าท้อง
บำรุงเลือด เลือดซึ่งเป็นทางสายเอกที่นำเอาอาหารและออกซิเจนเข้าสู่เซลล์ จตุผลาธิกะ
ดังเป็นตำนานเล่าขานในตำราแพทยศาสตร์ พระไตรปิฏกในพระพุทธศาสนามาปรุง
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม หรือจารึกในแผ่นศิลาที่วัดโพธิ์ วิตามินซีสูงกว่าส้ม 20
เท่า เป็นการรวมพลังคุณค่าผลไม้โบราณ 4 ชนิดได้แก่ สมอไทย สมอภิเภก สมอเทศ
และมะขามป้อม นำมาปรุงไม่ดัดแปลงเป็น "จตุผลาธิกะ"
<br /><br />จากการศึกษาวิจัยในห้องทดลองพบว่า จตุผลาธิกะสมุนไพรไทยทั้ง 4 ชนิด
มีคุณสมบัติในการกำจัดอนุมูลอิสระได้สูงมาก ดังนั้น<br /><br />1.
ช่วยให้ผิวขาวปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ ผิวพรรณดี เปล่งปรั่ง
สามารถนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์ชะลอริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ<br /><br />2.
ทำให้หน้าท้องแบบราบ ถ่ายไขมันออกโดยเฉพาะหน้าท้อง<br /><br />3. บำรุงเลือด
การทำงานของเม็ดเลือดขาวและเม็ดเลือดแดง
คนส่วนใหญ่มักจะไม่ตระหนักถึงความสำคัญของระบบเลือด ทั้งที่ระบบเลือด
ทางสายเอกที่จะนำเอาอาหาร ออกซิเจน ฯลฯ เข้าสู่เซลล์และนำสารพิษของเสียออกมาทิ้ง
และโรคหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับเม็ดเลือดอย่างคาดไม่ถึง
ฉะนั้นสมุนไพรทองเนื้องามตัวนี้มีสรรพคุณ ช่วยปรับสมดุลธาตุทั้ง 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ
นั่นเอง<br /></td></tr>
<tr width="100%">
<td width="90%">ปกติ ทานยาสองเดือนแรกก็จะเริ่มเห็นผล แต่ปริมาณน้ำหนักที่ลดลงจะขึ้นอยู่กับระบบเผาผลาญของร่างกายแต่ละคน ขึ้นอยู่กับปริมาณมวลส่วนเกินที่แต่ละคนมีด้วย และเพื่อให้การลดน้ำหนักเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ควรทานติดต่อกันจนกว่าจะพอใจในน้ำหนัก เมื่อลดน้ำหนักได้ตามต้องการแล้วก็สามารถหยุดได้เลย<br /><br />2-3 เดือน เห็นผล ทานต่อเนื่อง 3 เดือน เพื่อน้ำหนักลด ไม่มีอาการปวดหัว ใจไม่สั่น ตับไม่พัง ไตไม่พัง<br />* เดือนแรก ถ่ายดำ เมือกมันสูง <br />* เดือนที่สอง ร่างกายฟิตอย่างรู้สึกได้ ใส่กางเกงที่เคยคับได้ พุง หน้าท้องยุบ แต่น้ำหนักยังไม่ลด ผิวดี ตัวเบา<br />* เดือนที่สาม พุง หน้าท้องยุบอย่างรู้สึกได้ น้ำหนักลดลง ผิวดี สีสม่ำเสมอ<br />
<br />
<br />สูตรใกล้เคียงกับมหาพิกัดตำราแพทย์ไทย ตรีผลา แต่<br />* จตุผลาธิกะ ใช้เพื่อสำหรับคนที่ต้องการมีผิวสวย รีดหน้าท้องให้แบบราบ บำรุงเลือด เป็นสมุนไพรทางสวยงามจากสภาพภายใน <br />* ตรีผลาใช้ทานเพื่อวัตถุประสงค์ล้างพิษ และไขมันพอกตับ และสร้างความแข็งแรงให้ตับ และผู้ที่ต้องทานยามาก เป็นประจำ จนเกิดการสะสมของสารเคมีต่างๆ ในร่างกาย<br />ดังนั้นการทานให้ดูวัตถุประสงค์หลัก<br /><br />จตุผลาธิกะ ทานอย่างเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้ผิวสวย ดึงไขมันหน้าท้องออกได้ และบำรุงเลือด แต่ถ้าต้องการสามารถทานคู่กับ ย่านาง เพื่อผลทางการชลอชรา ผิวสวย ด้วยก็ได้</td>
<td><a href="javascript:openwin('board.php?id=22542&area=4&name=board12&topic=17&action=delete')"></a></td></tr>
<tr>
<td></td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table style="width: 100%px;">
<tbody>
<tr width="100%">
<td colspan="2">ความขมในจตุผลาธิกะ
จะไปช่วยปรับระดับองค์ความร้อนในร่างกาย ขณะที่ความหวาน
จะช่วยเชื่อมสมานเนื้อเยื่อให้สมบูรณ์ จตุผลาธิกะ ประกอบด้วยผลไม้ 4 อย่าง คือ
สมอไทย สมอพิเภก สมอเทศ มะขามป้อม ผลไม้ทั้ง 4 อย่างมีรส เปรี้ยว ฝาด ขม นำ
และหวานน้อยตาม เมื่อมาประกอบกันในอัตราส่วนเสมอภาค
มีสรรพคุณในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับเสมหะ เมือกมัน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในอวัยวะหลายส่วน
เช่น ปอด หลอดอาหาร หัวใจ หลอดเลือด ลำไส้ เมื่อใดที่เสมหะ
เมือกมันมีส่วนเกินเนื่องจากอาหาร หรือมีไข้
การกำจัดส่วนเกินไปดังนั้นจึงเห็นได้ว่า ยาชุดนี้เป็นยาที่ช่วยขจัด ควบคุม และบำรุง
ไปในตัว นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณในการขับถ่ายของเสียในร่างกายที่ออกมาในรูปของลม
อุจจาระ เหงื่อ อีกด้วย <br /><br />ส่วนประกอบของจตุผลาธิกะ<br />- สมอภิเภก
Terminalia bellerica) สรรพคุณ ผล แก้เสมหะจุกคอ แก้ไข้ เป็นสรรพคุณของผลไม้ 4
อย่าง<br /><br />ยาระบาย<br /><br />- สมอไทย (Terminalia chebula) สรรพคุณ ผล
ช่วยระบายอ่อนๆ แก้เจ็บคอ แก้ธาตุไม่ปกติ ท้องเสีย ท้องอืด ท้องเฟ้อ บำรุงโลหิต
<br />- สมอเทศ (Terminalia arjuna) สรรพคุณ ผล ช่วยระบายอ่อนๆ ถ่ายลม
อมแก้เสียงแห้ง<br />- มะขามป้อม (Phyllanthus emblica) สรรพคุณ ผล
บำรุงเนื้อหนังให้บริบูรณ์ แก้ไอ แก้เสมหะ ระบายท้อง ฟอกโลหิต <br /><br />สมุนไพรทั้ง
4 ชนิด (จตุผลาธิกะ) มีสารที่เหมือนกันอยู่คือ Gallic acid
ซึ่งมีคุณสมบัติทั้งสมานผิวและเป็น Antioxidant (กำจัดอนุมูลอิสระ)
ในขณะที่ในสมอทั้งสามจะพบ Ellagic acid ซึ่งมีคุณสมบัติยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส
(ช่วยให้ผิวขาวปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ) และเป็น Antioxidant (กำจัดอนุมูลอิสระ) ในชุด
“ Extra Repair Series ” นี้ยังประสานประสิทธิภาพสูงสุดของ ทองคำบริสุทธิ์ (Gold)
เป็นการนำคุณสมบัติทางเคมีของทองคำมาสมานใช้ประโยชน์
เนื่องจากทองคำช่วยชะลอการลดลงของระดับคอลลาเจนใต้ผิวหน้า
และการเสื่อมถอยของความยืดหยุ่นบนผิวหน้า ขณะที่ในอีกด้านหนึ่ง
ทองคำยังมีคุณสมบัติทำให้ลดปัญหาการอักเสบของผิวหนังเมื่อต้องเจอแดดจัดอีกทางหนึ่งด้วย
ทองคำเป็นสิ่งที่ได้รับการยอมรับว่าช่วยให้ผิวดูอ่อนวัย มาตั้งแต่โบราณ
และในทางการแพทย์จีนก็ยอมรับว่าทองคำช่วยบำรุงผิวหน้าได้</td></tr>
</tbody></table>
pinkhttp://www.blogger.com/profile/06273115781979449593noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8638023715322892693.post-53390871218079606102013-03-05T14:02:00.001+07:002013-03-05T14:02:09.986+07:00บูรพมหากษัตริย์ไทย - มหาราชของชาติไทย<strong><span style="font-size: medium;">มหาราชของชาติไทย<br /><br /><br /><br /><br /></span></strong><span style="font-family: Tahoma;">คำว่า </span><b><span style="color: #c00000;"><span style="font-family: Tahoma;">“มหาราช”</span></span></b><span style="font-family: Tahoma;">
มีความหมายตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๒๕ หมายถึง <b><span style="color: #1f497d;">คำซึ่งมหาชนถวายเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระเจ้าแผ่นดิน</span></b>หรืออีกความหมายหนึ่งคือ
ธงประจำพระองค์ พระเจ้าแผ่นดิน ที่เรียกว่า ธงมหาราช การถวายพระราชสมัญญา มหาราช
แด่ พระมหากษัตริย์ของไทยในอดีตที่ผ่านมานั้น ไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการ
แต่เป็นมติของมหาชนในสมัยต่อมาที่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ
จึงได้ถวายพระสมัญญาต่อท้ายพระนามว่ามหาราช
หรือพระราชสมัญญาอื่นที่แสดงถึงพระเกียรติคุณเฉพาะพระองค์
และเป็นที่ยอมรับในการขานพระนามสืบมา</span><br /><br /><b><span style="color: #1f497d;"><span style="font-family: Tahoma;">การเริ่มการถวายพระราชสมัญญา “มหาราช”
ต่อท้ายพระนามพระมหากษัตริย์นั้นสันนิษฐานว่าเริ่มมีขึ้นในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ประมาณรัชกาลที่
๔ หรือ ๕</span></span></b><span style="font-family: Tahoma;"> เนื่องจาก
เป็นสมัยที่เริ่มมีการศึกษาค้นคว้าประวัติศาสตร์ของชาติและบรรพบุรุษมากขึ้น
ทำให้ประจักษ์ถึงวีรกรรมและพระราชอัจฉริยภาพของพระมหากษัตริย์ในสมัยนั้นๆ
จึงได้มีการยกย่องพระมหากษัตริย์บางพระองค์ที่ทรงมีพระเกียรติคุณเด่นกว่า
พระองค์อื่นขึ้นเป็น มหาราช
ในเรื่องของการริเริ่มถวายพระราชสมัญญามหาราชต่อท้ายพระนามพระมหากษัตริย์ในยุคสมัยต่างๆ
นั้นสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงอธิบายไว้ในลายพระหัตถ์ที่ทรงมีถึงพระบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
ดังนี้</span><br /><br /><span style="color: #1f497d;"><span style="font-family: Tahoma;">“… ที่เพิ่มคำ
“มหาราช” เข้าต่อท้ายพระนามพระเจ้าแผ่นดินนั้น ในหนังสือไทยมีหนังสือพระราชพงศาวดาร
เรียก “สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ” ก่อนที่ใช้คำ “มหาราช” หมายอย่าง The Great
ของฝรั่ง คนอื่นเขาก็ใช้มาก่อนหม่อมฉัน เป็นแต่ตามเขาหาได้เป็นผู้ริใช้ไม่
สังเกตดูพระเจ้าแผ่นดินฝรั่งที่มีคำธีเกรตอยู่หลังพระนาม
คำนั้นย่อมเพิ่มเข้าต่อเมื่อพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นั้นล่วงลับไปแล้วบางที่ ก็ช้านาน
และเพิ่มเข้าต่อเมื่อมีพระเจ้าแผ่นดินพระนามพ้องกัน โดยปกติมักเรียกพระองค์ก่อนว่า
“ที่ ๑” พระองค์หลังว่า “ที่ ๒” และเปลี่ยนตัวเลขต่อไปตามลำดับ
ถ้าพระองค์ใดเป็นอัจฉริยบุรุษจึงใช้คำธีเกรตแทนที่เลข จะยกตัวอย่างดังเช่น
เอมเปอเรอวิลเฮมเยอรมัน เมื่อพระเจ้าวิลเฮม (ไกเซอ) เสวยราชย์ก็เรียกพระองค์แรกว่า
ที่ ๑ พระองค์หลังว่าที่ ๒ มาหลายปี จนเยอรมันต่อเรือใหญ่ลำหนึ่ง
อย่างวิเศษสำหรับพาคนข้ามมหาสมุทรแอตแลนติค พระเจ้าไกเซอ ประทานนามเรือนั้นว่า
เอมเปอเรอวิลเฮม ธีเกรต แต่นั้นมาจึงเรียกเอมเปอเรอ พระองค์นั้นว่า ธีเกรต คือ
มหาราช ที่ไทยเราเอามาใช้ไม่ตรงตามแบบฝรั่ง เพราะไม่ได้เรียกพระนามซ้ำกัน
เรียกเพราะเป็นอัจฉริยบุรุษอย่างเดียว…”</span></span><br /><br /><br /><b><span style="color: #c00000;"><span style="font-family: Tahoma;">ประเทศไทยมีพระมหากษัตริย์ผู้ทรงได้รับการเทิดทูลยกย่องว่าเป็นมหาราชของชาติไทย
๘ พระองค์ มีรายพระนาม ดังนี้</span></span></b><br /><br /><br /><span style="font-family: Tahoma;"><a href="http://www.chaoprayanews.com/wp-content/uploads/2009/03/s2-156.jpg" target="_blank"><img alt="" border="0" src="http://www.chaoprayanews.com/wp-content/uploads/2009/03/s2-156.jpg" /></a></span><br /><br /><b><span style="color: #c00000;"><span style="font-family: Tahoma;">๑. พ่อขุนรามคำแหงมหาราช </span></span></b><span style="font-family: Tahoma;">พระมหากษัตริย์ผู้ทรงสร้างความเจริญรุ่งเรือง ให้แก่อาณาจักรสุโขทัย
ทรงขยายอาณาจักรให้กว้างขวาง ปกครองประชาราษฎร์ ให้ได้รับความสุข ยุติธรรมเสมือน
<b><span style="color: #1f497d;">“พ่อปกครองลูก”</span></b> ทรงส่งเสริมการค้าโดยเสรี
<b><span style="color: #1f497d;">ทรงริเริ่มประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นใช้เอง</span></b> เมื่อปี
พ.ศ.๑๘๒๖ นับเป็นต้นกำเนิดอักษรไทยที่ใช้กันมาจนทุกวันนี้ และ<b><span style="color: #1f497d;">ทรงรับเอาพระพุทธศาสนาจากลังกาเข้ามา
เป็นศาสนาประจำชาติไทย</span></b></span><br /><br /><br /><b><span style="color: #c00000;"><span style="font-family: Tahoma;">๒. สมเด็จพระนเรศวรมหาราช</span></span></b><span style="font-family: Tahoma;">
<b><span style="color: #1f497d;">พระมหากษัตริย์ผู้ทรงกอบกู้เอกราชของชาติไทย</span></b>
ภายหลังที่เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 1 ในรัชสมัยของพระองค์ ทรงทำการศึกสงคราม
และเอาชนะข้าศึกหลายครั้ง ครั้งที่สำคัญที่สุดคือ ใน พ.ศ. 2135
พระมหาอุปราชาของพม่าได้ยกทัพมาตีไทย <b><span style="color: #1f497d;">พระองค์ทรงชนช้างกระทำยุทธหัตถี
และทรงฟันพระมหาอุปราชาสิ้นพระชนม์บนคอช้าง</span></b> ตั้งแต่นั้นมาพม่าก็เกรงกลัว
เลิกยกทัพมารุกรานไทยอีก</span><br /><br /><b><span style="color: #c00000;"><span style="font-family: Tahoma;">๓. สมเด็จพระนารายณ์มหาราช</span></span></b><span style="font-family: Tahoma;">
<b><span style="color: #1f497d;">พระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระปรีชาสามารถ
ในการปกครองประเทศ</span></b> ทำให้ประเทศชาติเจริญรุ่งเรือง
ทรงติดต่อเจริญพระราชไมตรีกับนานาประเทศ <b><span style="color: #1f497d;">ทรงติดต่อการค้ากับชาวต่างชาติ</span></b>
และเมื่อมีเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้น ก็ทรงแก้ไขด้วยความเฉลียวฉลาด ทรงพระปรีชาในด้านกวี
และทรงส่งเสริมการกวี จนเป็นเหตุให้เกิดมีกวีที่มีชื่อเสียงหลายคน
มีวรรณคดีเกิดขึ้นหลายเล่ม <b><span style="color: #1f497d;">นับเป็นยุคทองแห่งวรรณคดีไทย</span></b></span><br /><br /><br /><b><span style="color: #c00000;"><span style="font-family: Tahoma;"><a href="http://www.chaoprayanews.com/wp-content/uploads/2009/03/4505_1198850454_293.jpg" target="_blank"><img alt="" border="0" src="http://www.chaoprayanews.com/wp-content/uploads/2009/03/4505_1198850454_293-254x300.jpg" /></a></span></span></b><br /><br /><b><span style="color: #c00000;"><span style="font-family: Tahoma;">๔. สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
</span></span></b><span style="font-family: Tahoma;">หรืออีกพระนามหนึ่งว่า พระเจ้ากรุงธนบุรี
<b><span style="color: #1f497d;">พระองค์ทรงกอบกู้เอกราชของชาติไทย</span></b>
ภายหลังเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ 2 เมื่อปี พ.ศ. 2310 และ<b><span style="color: #1f497d;">สร้างกรุงธนบุรีเป็นราชธานีใหม่ของไทย</span></b>
ทรงปราบปรามผู้ก่อตั้งชุมนุมต่างๆ จนราบคาบ
และรวบรวมประเทศชาติเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และทรงกระทำสงครามจนได้รับชัยชนะ
<b><span style="color: #1f497d;">ขยายอาณาเขตประเทศออกไปอย่างกว้างขวาง</span></b></span><br /><br /><br /><b><span style="color: #c00000;"><span style="font-family: Tahoma;">๕.
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช</span></span></b><span style="font-family: Tahoma;">
<b><span style="color: #1f497d;">ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี
ผู้ทรงสร้างกรุงเทพมหานครเป็นราชธานีของไทย</span></b>
ทรงกระทำศึกสงครามกับพม่าหลายครั้ง ขยายอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวาง
ทรงสร้างปราสาทราชวัง ทรงอัญเชิญพระแก้วมรกตมาจากเวียงจันทร์
สร้างวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และวัดอื่นๆ ทรงรื้อฟื้นสังคยานาพระไตรปิฎก
รวบรวมกฎหมายตราสามดวง และโปรดให้แต่งบทละครต่างๆ
ขึ้นแทนของเก่าที่ถูกพม่าเผาทำลาย</span><br /><br /><br /><b><span style="color: #c00000;"><span style="font-family: Tahoma;"><a href="http://www.chaoprayanews.com/wp-content/uploads/2009/03/rama_v_2_p.jpg" target="_blank"><img alt="" border="0" src="http://www.chaoprayanews.com/wp-content/uploads/2009/03/rama_v_2_p.jpg" /></a></span></span></b><br /><br /><b><span style="color: #c00000;"><span style="font-family: Tahoma;">๖. พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระปิยะมหาราช</span></span></b><span style="font-family: Tahoma;"> <b><span style="color: #1f497d;">พระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระปรีชา เป็นที่รักยิ่งของประชาชน
ทรงนำประเทศชาติรอดพ้นจากการตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศมหาอำนาจหลายครั้ง</span></b>
จนประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในเอเซียเฉียงใต้ ที่รอดพ้นจากการเป็นเมืองขึ้น <b><span style="color: #1f497d;">ทรงปรับปรุงประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้าทัดเทียมอารยะประเทศ</span></b>
ทรงโปรดให้เลิกทาส ให้มีการรถไฟ การไปรษณีย์
การไฟฟ้าและการประปาขึ้นเป็นครั้งแรก</span><br /><br /><br /><b><span style="color: #c00000;"><span style="font-family: Tahoma;">๗. พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระมหาธีรราชเจ้า </span></span></b><span style="font-family: Tahoma;"><b><span style="color: #1f497d;">พระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระปรีชาในด้านอักษรศาสตร์
</span></b>ทั้งพระราชนิพนธ์ บทละคร ประวัติศาสตร์ เรื่องแปล สารคดี
เรื่องปลุกใจให้รักชาติ <b><span style="color: #1f497d;">ทรงนำประเทศไทยเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ ๑</span></b>
ทรงตั้งกองลูกเสือไทย ส่งเสริมการศึกษา ประกาศใช้พระราชบัญญัติประถมศึกษา
ทรงสร้างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดตั้งธนาคาร ประกาศใช้พระราชบัญญัตินามสกุล
ออกแบบธงไตรรงค์ขึ้นใช้</span><br /><br /><a href="http://www.chaoprayanews.com/wp-content/uploads/2009/03/05.jpg" target="_blank"><img alt="" border="0" src="http://www.chaoprayanews.com/wp-content/uploads/2009/03/05.jpg" /></a><br /><br /><br /><br /><b><span style="color: #c00000;"><span style="font-family: Tahoma;">๘. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
มหาราช</span></span></b><span style="font-family: Tahoma;"> พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเปรียบเสมือน
<b><span style="color: #1f497d;">“พ่อหลวงของปวงชนชาวไทย”</span></b>
ทรงพระปรีชาสามารถในทุกแขนงวิชา ทรงรักและห่วงใยพสกนิกร และแก้ไขปัญหาต่างๆ
ทรงริเริ่มจัดตั้งมูลนิธิต่างๆ ทรงค้นคว้า วิจัย การทำฝนเทียม ด้านการเกษตร
การชลประทาน การสาธารณสุข และอื่นๆอีกมากมาย
ทรงส่งเสริมความรักและสามัคคีให้เกิดในชาติ ทรงดูแลทุกข์สุขประชาชน
ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ <b><span style="color: #1f497d;">ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ซึ่งทรงงานหนักมากที่สุดของโลก</span></b></span><br /><br /><br /><span style="font-family: Tahoma;"><span style="color: #1f497d;"><span style="color: blue;"><span style="font-family: Tahoma;"><b>พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช มหาราช
</b></span></span><span style="color: black;"><span style="font-family: Tahoma;">พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน
สืบเนื่องจากคำถวายอาศิรวาทราชสดุดี และถวายชัยมงคลของ ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์
นายกรัฐมนตรีขณะนั้น เมื่องานสโมสรสันนิบาต เนื่องในวโรกาสวันฉัตรมงคล วันที่ 5
พฤษภาคม พุทธศักราช 2530 ณ ทำเนียบรัฐบาล ดังปรากฏดังนี้
</span></span><br /><br /><span style="color: blue;"><span style="font-family: Tahoma;">“…
เมื่อประชาชนชาวไทยในปัจจุบันได้พิจารณาข้อความจารึกที่ฐานพระบรมราชานุสรณ์ ณ
ลานพระราชวังดุสิต ถึงปัจจัยที่ประชาชนในกาล 80 ปีก่อนโน้น
น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระราชสมัญญา “มหาราช”
แด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแล้ว
ก็ประจักษ์ชัดว่าพระบรมราชคุณูปการแห่งพระมหาราชเจ้าพระองค์นั้น
มิได้ผิดเพี้ยนไปจากพระมหากรุณาธิคุณแห่งใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทแม้แต่น้อย
ดังนั้นอาณาประชาราษฎร์แห่งใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ก็ยิ่งทวีความปิติปราโมทย์
มีสามัคคีสมานฉันท์เทิดทูนไว้เหนือเศียรเกล้า
และภาคภูมิใจนักที่ได้มีพระบรมธรรมิกราช ผู้ทรงยิ่งด้วยพระขัตติยวัตรธรรม จึงขอ
พระราชทาน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระราชสมัญญา “มหาราช” แด่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท
ในขณะยังทรงดำรงพระชนมชีพอยู่ในไอศูรย์ราชสมบัติ ทำนองเดียวกับประชาราษฎร์
สมัยเมื่อ 80 ปี ที่ล่วงมาได้พร้อมใจกันน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวาย พระราชสมัญญาแก่
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบรมอัยกาธิราชเจ้าว่า
“พระปิยมหาราช…”</span></span><br /><span style="color: blue;"><span style="font-family: Tahoma;">“….
ในอภิลักขิตมหามงคลสมัยแห่ง “วันฉัตรมงคล” ในรอบปีที่ 37 ในวันนี้
บรรดาอาณาประชาราษฎร์ทั้งปวงและรัฐบาล
สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมหาที่สุดมิได้
จึงขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต ประกาศความสมานฉันท์พร้อมเพรียงกันเฉลิมพระเกียรติ
และถวายพระราชสมัญญาเป็น “มหาราช” ด้วยความจงรักภักดีมีในปวงข้าพระพุทธเจ้า
ขอน้อมเกล้าฯ ตั้งสัตยาธิษฐานเดชะคุณพระศรีรัตนตรัย เป็นประธาน
พร้อมด้วยสิ่งศักดิ์สิทธิ์โปรด อภิบาลพระบรมราชจักรีวงศ์ให้สถิตธำรง
อยู่คู่ดินฟ้าและโปรดประทานชัยมงคลแด่
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช
ขอจงทรงพระเจริญสิริสวัสดิ์ในไอศูรย์ ราชสมบัติแห่งสยามรัฐสีมาขอพระมหาราชเจ้า
เผยแผ่พระบรมกฤษฎาเดชานุภาพ คุ้มเกล้าคุ้มกระหม่อมเหล่าพสกนิกร ตลอดในจิรัฐิติกาล
เทอญ”</span></span><br /></span></span><br /><b><span style="color: #1f497d;"><span style="font-family: Tahoma;">พระมหาราชทั้ง ๘ พระองค์
ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นแก่ประชาชนชาวไทยและประเทศชาติ
ได้ทรงเสียสละความสุขส่วนพระองค์
ทำให้ชาติไทยเราสามารถรักษาความเป็นเอกราชและอธิปไตยไว้ได้จนทุกวันนี้
ทำให้บ้านเมืองของเรามีความสงบสุขเรียบร้อย ผ่านวิกฤตการณ์ต่างๆ มาด้วยดี
ทำให้ประชาชนชาวไทยมีแผ่นดินที่ร่มเย็นเป็นสุขเป็นที่อยู่อาศัย
พวกเราชาวไทยทุกคนจึงควรมีจิตสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของมหาราชของชาติไทยทั้ง ๘
พระองค์ ด้วยความกตัญญูกตเวที โดยการปฏิบัติตามรอยพระยุคลบาท พระบรมราโชวาท
และพระราชดำรัส</span></span></b><br /><br /><br /><b><span style="font-family: Tahoma;"><span style="color: #1f497d;">----------------</span></span></b><br /><b><span style="font-family: Tahoma;"><span style="color: #1f497d;">ขอบคุณที่มา :::</span></span></b><br /><b><span style="color: blue; font-family: Tahoma;"><a href="http://www.chaoprayanews.com/2009/03/25/%e0%b8%a1%e0%b8%ab%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%b2%e0%b8%8a%e0%b8%82%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%8a%e0%b8%b2%e0%b8%95%e0%b8%b4%e0%b9%84%e0%b8%97%e0%b8%a2/" target="_blank">มหาราชของชาติไทย | สำนักข่าวเจ้าพระยา</a></span></b><!-- google_ad_section_end -->pinkhttp://www.blogger.com/profile/06273115781979449593noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8638023715322892693.post-19742027351662458942013-03-05T14:00:00.001+07:002013-03-05T14:00:32.987+07:00บูรพมหากษัตริย์ไทย - สมัยกรุงธนบุรี<div align="left">
<b><span style="font-size: medium;">พระมหากษัตริย์สมัยกรุงธนบุรี</span></b></div>
<br /><br /><br />
<br />
<div align="left">
<b><span style="color: #c00000;"><span style="font-family: Tahoma;">สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช</span></span></b></div>
<br /><br /><br />
<br />
<div align="left">
<b><span style="color: #c00000;"><span style="font-family: Tahoma;"><a href="http://www.chaoprayanews.com/wp-content/uploads/2009/03/5923-7-8588.gif" target="_blank"><img alt="" border="0" src="http://www.chaoprayanews.com/wp-content/uploads/2009/03/5923-7-8588.gif" /></a></span></span></b></div>
<br />
<br />
<div align="left">
<b><span style="color: #c00000;"><span style="font-family: Tahoma;">สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช</span></span></b><span style="font-family: Tahoma;">
พระนามเดิมว่า สิน ทรงพระราชสมภพ เมื่อปี พ.ศ. ๒๒๗๗
ที่บ้านใกล้กำแพงพระนครศรีอยุธยา พระราชบิดามีบรรดาศักดิ์เป็นขุนพัฒน์
พระราชมารดาชื่อ นกเอี้ยง ต่อมาภายหลังได้รับการสถาปนาเป็นกรมพระเทพามาตย์
เจ้าพระยาจักรี สมุหนายก ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ
ได้ขอรับไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม เมื่ออายุได้ ๑๓ ปี เจ้าพระยาจักรี
ได้นำเข้าถวายตัวรับราชการเป็นมหาดเล็ก
ทำราชการอยู่ในบังคับบัญชาของหลวงศักดิ์นายเวร เมื่ออายุได้ ๒๑ ปี เจ้าพระยาจักรี
ได้ทำการอุปสมบทให้ในสำนักพระอาจารย์ทองดี วัดโกษาวาส (วัดเชิงท่า)
อยู่สามพรรษาแล้วลาสิกขาเข้ารับราชการตามเดิม</span><br /><span style="color: #1f497d;"><span style="font-family: Tahoma;">ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์</span></span><span style="font-family: Tahoma;">
(สมเด็จพระบรมราชาที่ ๓) ได้รับโปรดเกล้า ฯ
ให้เป็นข้าหลวงพิเศษเดินทางไปชำระคดีความตามหัวเมืองฝ่ายเหนือ มีความดีความชอบ
ได้รับโปรดเกล้า ฯ <span style="color: #1f497d;">ให้เป็นหลวงยกกระบัตรเมืองตาก
ต่อมาเมื่อพระยาตากถึงแก่กรรม ก็ได้รับโปรดเกล้า ฯ
ให้เป็นพระยาตากแทน</span></span><br /><span style="font-family: Tahoma;">เมื่อพม่ายกกำลังเข้าล้อมกรุงศรีอยุธยาก่อนที่กรุงศรีอยุธยาจะเสียแก่พม่าครั้งที่สอง
พระยาตากได้เข้ามาช่วยราชการป้องกันกรุงศรีอยุธยาอย่างเข้มแข็ง
แต่ในที่สุดเมื่อเห็นว่าการป้องกันกรุงศรีอยุธยาในครั้งนั้น
ไม่อำนวยให้กระทำได้อย่างเต็มที่ และอยู่นอกอำนาจหน้าที่ที่พระองค์จะแก้ไขได้
จึงได้หาทางต่อสู้ใหม่ ด้วยการตีฝ่าวงล้อมพม่าออกไป ด้วยกำลังเล็กน้อยเพียง ๕๐๐ คน
ได้ต่อสู้กับกองทหารพม่าที่บ้านพรานนก
ได้ชัยชนะจากนั้นได้นำกำลังไปตั้งมั่นที่เมืองจันทบุรี
เพื่อรวบรวมกำลังมากู้กรุงศรีอยุธยาที่เสียแก่พม่า เมื่อวันที่ ๗ เมษายน
พ.ศ.๒๓๑๐</span></div>
<br />
<br />
<div align="left">
<b><span style="color: #c00000;"><span style="font-family: Tahoma;"><a href="http://www.chaoprayanews.com/wp-content/uploads/2009/03/08.jpg" target="_blank"><img alt="" border="0" src="http://www.chaoprayanews.com/wp-content/uploads/2009/03/08.jpg" /></a></span></span></b></div>
<br />
<br />
<div align="left">
<b><span style="color: #c00000;"><span style="font-family: Tahoma;">เมื่อพระองค์ทรงรวบรวมกำลังพลได้ประมาณ ๕</span></span></b><b><span style="color: #c00000;"><span style="font-family: Tahoma;">,๐๐๐ คน กับเรือรบ ๑๐๐ ลำ
ก็ได้ยกกำลังทางเรือเข้ายึดเมืองธนบุรี ได้เมื่อวันที่ ๕ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๓๑๑
ในวันต่อมาพระองค์ได้ตีค่ายทหารพม่าที่ค่ายโพธิ์สามต้น และค่ายอื่นๆ แตกทุกค่าย
ทำการกู้เอกราชกรุงศรีอยุธยาได้สำเร็จในเวลาเพียงเจ็ดเดือน</span></span></b><br /><b><span style="color: #1f497d;"><span style="font-family: Tahoma;">หลังจากขับไล่พม่าออกไปแล้วพระองค์ก็ได้ทำพิธีปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์</span></span></b><span style="font-family: Tahoma;"> เมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ.๒๓๑๑ เมื่อพระชนมายุได้ ๓๔ พรรษา
ทรงพระนามว่า <b><span style="color: #1f497d;">สมเด็จพระศรีสรรเพชญ์ หรือสมเด็จพระบรมราชที่
๔</span></b> แต่คนทั่วไปนิยมขนานพระนามพระองค์ว่า <b><span style="color: #c00000;">สมเด็จพระเจ้กรุงธนบุรี
หรือสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช</span></b></span><br /><span style="font-family: Tahoma;">พระองค์ทรงเห็นว่า กรุงศรีอยุธยาที่ถูกฝ่ายพม่าเผาผลาญวอดวาย
ทำลายบ้านเมืองไปหมดสิ้น เกินกว่าที่จะบูรณปฎิสังขรณ์ให้กลับเป็นเมืองหลวงได้
จึงทรงเลือกเมืองธนบุรี ที่มีความเหมาะสมกว่าขึ้นเป็นราชธานี</span></div>
<br /><br />
<br />
<div align="left">
<span style="font-family: Tahoma;"><a href="http://www.chaoprayanews.com/wp-content/uploads/2009/03/t8.jpg" target="_blank"><img alt="" border="0" src="http://www.chaoprayanews.com/wp-content/uploads/2009/03/t8.jpg" /></a></span></div>
<br /><br />
<br />
<div align="left">
<span style="font-family: Tahoma;">พระ ราชกรณียกิจของพระองค์ในลำดับต่อมา
คือการรวบรวมกำลังไว้ต่อสู้กับพม่าต่อไปคือ ความเป็นปึกแผ่นของพระราชอาณาจักร
ซึ่งในเวลานั้นได้มีผู้ตั้งตนเป็นใหญ่ห้าชุมนุมต่าง ๆ ได้แก่
ชุมนุมเจ้าพระยาพิษณุโลก ชุมนุมเจ้าพระฝาง ชุมนุมเจ้าพิมาย
และชุมนุมเจ้านครศรีธรรมราช
เมื่อรวมชุมนุมของพระองค์เองที่กรุงธนบุรีแล้วก็มีถึงห้าชุมนุม
พระองค์ทรงใช้เวลาในการปราบปรามชุมนุมต่าง ๆ อยู่สามปีจึงเสร็จ
ปราบปรามได้เสร็จสิ้นเมื่อปี พ.ศ.๒๓๑๓ ทำให้พระราชอาณาจักรเป็นปึกแผ่น
ส่วนหัวเมืองมาลายูได้แก่ เมืองปัตตานี เมืองไทรบุรี เมืองกลันตัน และเมืองตรังกานู
ซึ่งเคยเป็นเมืองขึ้นของกรุงศรีอยุธยามาแต่เดิม
และได้แยกตัวเป็นอิสระเมื่อเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง พระองค์เห็นว่ายังไม่พร้อม
และยังไม่มีความสำคัญเร่งด่วน
ที่จะไปปราบปรามจึงได้ปล่อยไปก่อน</span></div>
<br /><br />
<br />
<div align="left">
<span style="font-family: Tahoma;"><span style="font-family: Tahoma;"><a href="http://www.chaoprayanews.com/wp-content/uploads/2009/03/e0b981e0b89ce0b899e0b897e0b8b5e0b988e0b981e0b8aae0b894e0b887e0b8ade0b8b2e0b893e0b8b2e0b980e0b882e0b895e0b89be0b8a3e0b8b0e0b980e0b897.jpg" target="_blank"><img alt="" border="0" src="http://www.chaoprayanews.com/wp-content/uploads/2009/03/e0b981e0b89ce0b899e0b897e0b8b5e0b988e0b981e0b8aae0b894e0b887e0b8ade0b8b2e0b893e0b8b2e0b980e0b882e0b895e0b89be0b8a3e0b8b0e0b980e0b897.jpg" /></a></span></span></div>
<br />
<br />
<div align="left">
<span style="font-family: Tahoma;">ในการทำสงครามกับพม่าในระยะต่อมา
พระองค์ได้เปลี่ยนหลักนิยมในการยึดพระนครเป็นที่ตั้งรับข้าศึก
มาเป็นการยกกำลังไปยับยั้งข้าศึกที่ชายแดน
ทำให้ประชาชนพลเมืองไม่ได้รับอันตรายเสียหายเดือดร้อนจากข้าศึก <b><span style="color: #1f497d;">ในรัชสมัยของพระองค์ ได้มีการทำสงครามขยายพระราชอาณาเขต
ของกรุงธนบุรีออกไปอย่างกว้างขวาง โดยได้ทำศึกสงครามกับพม่า และอาณาจักรอื่น ๆ รวม
๑๒ ครั้งคือ</span></b></span></div>
<br />
<br />
<div align="left">
<span style="font-family: Tahoma;">พ.ศ.๒๓๑๐ ศึกพม่าที่บางกุ้ง</span><br /><span style="font-family: Tahoma;">พ.ศ.๒๓๑๒ ศึกเมืองเขมรครั้งที่ ๑</span><br /><span style="font-family: Tahoma;">พ.ศ.๒๓๑๔
ศึกเมืองเชียงใหม</span><br /><span style="font-family: Tahoma;">พ.ศ.๒๓๑๔ ศึกเมืองเขมรครั้งที่
๒</span><br /><span style="font-family: Tahoma;">พ.ศ.๒๓๑๕ – ๒๓๑๖
ศึกพม่าตีเมืองพิชัย</span><br /><span style="font-family: Tahoma;">พ.ศ.๒๓๑๗
ศึกเมืองเชียงใหม่</span><br /><span style="font-family: Tahoma;">พ.ศ.๒๓๑๘
ศึกพม่าที่บางแก้ว</span><br /><span style="font-family: Tahoma;">พ.ศ.๒๓๑๘
ศึกอะแซหวุ่นกี้ตีเมืองพิษณุโลก</span><br /><span style="font-family: Tahoma;">พ.ศ.๒๓๑๙
ศึกเมืองนครจำปาศักดิ์</span><br /><span style="font-family: Tahoma;">พ.ศ.๒๓๑๙
ศึกพม่าตีเมืองเชียงใหม่</span><br /><span style="font-family: Tahoma;">พ.ศ.๒๓๒๑
ศึกตีเมืองเวียงจันทน์</span><br /><span style="font-family: Tahoma;">พ.ศ.๒๓๒๓ ศึกเมืองเขมรครั้งที่
๓</span></div>
<br />
<br />
<div align="left">
<span style="font-family: Tahoma;">ในปีพ.ศ.๒๓๒๔ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
ได้ทรงโปรดเกล้า ฯ ให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก และเจ้าพระยาสุรสีห์
ยกทัพไปปราบเขมร แต่ต้องยกทัพกลับเนื่องจากทางกรุงธนบุรีเกิดจราจล
โดยพระยาสรรค์ได้ก่อกบฏ ยกกำลังเข้ายึดกรุงธนบุรี แล้วจับสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
ให้ไปทรงผนวชที่วัดอรุณราชวราราม (วัดแจ้ง) เมื่อสมเด็จเจ้าพระยามหาษัตริย์ศึก
ยกทัพกลับมาถึงกรุงธนบุรี ได้ปราบปรามกบฎได้สำเร็จ ราษฎรและบรรดามหาอำมาตย์
จึงได้พร้อมใจกันอัญเชิญให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกขึ้นครองราชย์ เมื่อวันที่
๖ เมษายน พ.ศ.๒๓๒๕</span></div>
<br /><br />
<br />
<div align="left">
<b><span style="color: #1f497d;"><span style="font-family: Tahoma;"><a href="http://www.chaoprayanews.com/wp-content/uploads/2009/03/4505_1198850454_293.jpg" target="_blank"><img alt="" border="0" src="http://www.chaoprayanews.com/wp-content/uploads/2009/03/4505_1198850454_293.jpg" /></a></span></span></b></div>
<br />
<br />
<div align="left">
<b><span style="color: #1f497d;"><span style="font-family: Tahoma;">ตลอดรัชสมัยของพระองค์ได้ทรงทำศึกสงครามมาโดยตลอดเวลา ๑๕ ปี
โดยมิได้หยุดหย่อน ได้ขยายพระราชอาณาเขตของกรุงธนบุรีออกไป
จนเกือบเท่ากับสมัยกรุงศรีอยุธยาก่อนเสียกรุงแก่พม่า
พระองค์ได้รับการถวายพระราชสมัญญานามว่า</span></span></b><span style="font-family: Tahoma;">
<b><span style="color: #c00000;">สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช</span></b></span></div>
<br /><br />
<br />
<div align="left">
<b><span style="font-family: Tahoma;"><span style="color: #c00000;">-------------</span></span></b><br /><b><span style="font-family: Tahoma;"><span style="color: #c00000;">ขอบคุณที่มา :::</span></span></b><br /><b><span style="color: blue; font-family: Tahoma;"><a href="http://www.chaoprayanews.com/2009/03/26/%e0%b8%9e%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b8%a1%e0%b8%ab%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b8%a9%e0%b8%b1%e0%b8%95%e0%b8%a3%e0%b8%b4%e0%b8%a2%e0%b9%8c%e0%b8%aa%e0%b8%a1%e0%b8%b1%e0%b8%a2%e0%b8%81%e0%b8%a3%e0%b8%b8%e0%b8%87/" target="_blank">พระมหากษัตริย์สมัยกรุงธนบุรี |
สำนักข่าวเจ้าพระยา</a></span></b></div>
pinkhttp://www.blogger.com/profile/06273115781979449593noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8638023715322892693.post-2367688541464183772013-03-05T13:59:00.001+07:002013-03-05T13:59:10.380+07:00บูรพมหากษัตริย์ไทย - สมัยกรุงศรีอยุธยา<div align="left">
<b><span style="font-size: medium;"><span style="color: blue;">พระมหากษัตริย์สมัยกรุงศรีอยุธยา</span></span></b></div>
<br />
<br />
<div align="left">
<img alt="" border="0" src="http://images.palungjit.com/attachments/22590d1250908449-%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%A8%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A-narasuen3-jpg" /></div>
<br /><br /><br />
<br />
<div align="left">
<span style="color: black;"><span style="font-family: Tahoma;">เมื่อปลายกรุงสุโขทัย
พระเจ้าอู่ทองได้สร้างกรุงศรีอยุธยา
ศาสนาพราหมณ์เข้ามามีบทบาทอย่างมากโดยเฉพาะอิทธิพลของขอมและละโว้
ซึ่งถือว่ากษัตริย์คือพระผู้เป็นเจ้าอวตารมาเกิด
พระเจ้าอู่ทองก็กลายเป็นสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1
รูปแบบของสถาบันพระมหากษัตริย์สมัยอยุธยาแตกต่างจากสมัยสุโขทัยอย่างมาก
ระบอบการปกครองของอยุธยาเป็นระบอบการปกครองซึ่งพระมหากษัตริย์มีอำนาจเป็นล้นพ้น</span></span></div>
<br />
<br />
<div align="left">
<span style="color: black;"><span style="font-family: Tahoma;">สังคมในสมัยอยุธยาขึ้นอยู่กับพระมหากษัตริย์โดยตรง
ซึ่งต่างกับสมัยสุโขทัยที่พระมหากษัตริย์ทรงปกครองราษฎรเยี่ยงบิดาปกครองบุตร
แต่ในสมัยอยุธยาเป็นความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับข้าโดยแท้
ตำแหน่งพระมหากษัตริย์เป็นตำแหน่งที่ช่วงชิงกันด้วยอำนาจทางทหาร
แนวความคิดเกี่ยวกับพราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ทรงเป็นเทวราชและทรงใช้พระราชอำนาจในฐานะที่ทรงเป็นสมมติเทพ</span></span></div>
<br />
<br />
<div align="left">
<b><span style="color: red;"><span style="font-family: Tahoma;">อาณาจักรอยุธยา</span></span></b><span style="font-family: Tahoma;"><span style="color: black;"> เป็นอาณาจักรของไทยในอดีต
มีหลักฐานของการเป็นเมืองในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ 16 – 18
โดยมีร่องรอยของที่ตั้งเมือง โบราณสถาน โบราณวัตถุ
และเรื่องราวเหตุการณ์ในลักษณะตำนาน พงศาวดารไปจนถึงศิลาจารึก
ซึ่งถือว่าเป็นหลักฐานร่วมสมัยที่ใกล้เคียงเหตุการณ์มากที่สุด
ว่าก่อนการสถาปนากรุงศรีอยุธยา ใน พ.ศ. 1893 นั้น ได้มีบ้านเมืองตั้งอยู่ก่อนแล้ว
มีชื่อเรียกว่า </span></span><b><span style="color: #3366ff;"><span style="font-family: Tahoma;">เมืองอโยธยา หรือ อโยธยาศรีรามเทพนคร หรือ
เมืองพระราม</span></span></b><span style="color: black;"><span style="font-family: Tahoma;">
มีที่ตั้งอยู่บริเวณด้านตะวันออกของเกาะ
เมืองอยุธยาเป็นเมืองที่มีความเจริญทางการเมืองการปกครอง
และมีวัฒนธรรมที่รุ่งเรืองแห่งหนึ่ง </span></span></div>
<br /><br />
<br />
<div align="left">
<b><span style="color: #9933ff;"><span style="font-family: Tahoma;">อาณาจักรอยุธยามีพระมหากษัตริย์ปกครองสืบต่อกันมาถึง 34
พระองค์และมีพระราชวงศ์ผลัดเปลี่ยนกันครองรวม 5
ราชวงศ์</span></span></b></div>
<br /><br /><br /><br />
<br />
<div align="left">
<span style="font-family: Tahoma;"><a href="http://www.chaoprayanews.com/wp-content/uploads/2009/03/e0b8ade0b8a2e0b8b8e0b898e0b8a2e0b8b2.jpg" target="_blank"><img alt="" border="0" src="http://www.chaoprayanews.com/wp-content/uploads/2009/03/e0b8ade0b8a2e0b8b8e0b898e0b8a2e0b8b2.jpg" /></a></span></div>
<br /><br /><br /><br /><br /><br />
<br />
<div align="left">
<b><span style="color: blue;"><span style="font-family: Tahoma;">พระมหากษัตริย์ในสมัยอยุธยาที่สำคัญมีดังนี้</span></span></b></div>
<br /><br /><br />
<br />
<div align="left">
<b><span style="color: #cc3300;"><span style="font-family: Tahoma;">สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1
(พระเจ้าอู่ทอง)</span></span></b></div>
<br /><br />
<br />
<div align="left">
<b><span style="color: #00ccff;"><span style="font-family: Tahoma;">สมเด็จพระเจ้าอู่ทอง</span></span></b><span style="color: black;"><span style="font-family: Tahoma;"> ทรงเป็นปฐมกษัตริย์ของกรุงศรีอยุธยา ทรงสถสปนาอยุธยาเป็นราชธานี
เมื่อปี พ.ศ. 1893 ได้รับการถวายพระนามว่า </span></span><span style="color: #3366ff;"><span style="font-family: Tahoma;">สมเด็จพระรามาธิบดีศรีสุนทรบรมบพิตร
พระเจ้าอยู่หัวกรุงเทพมหานครบวรทวาราวดีศรีอยุธยาฯ</span></span><span style="color: black;"><span style="font-family: Tahoma;"> ทรงครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ. 1893-
1912</span></span></div>
<br />
<br />
<div align="left">
<span style="color: black;"><span style="font-family: Tahoma;">สมเด็จพระเจ้าอู่ทองทรงตั้งกรุงศรีอยุธยา ณ
ชัยภูมิที่เอื้ออำนวยทั้งในด้านความปลอดภัยจากข้าศึกและความอยู่ดีกินดีของชาวอยุธยา
พื้นที่เหมาะแก่การเกษตรกรรม เป็นศูนย์กลางทางการค้าและการคมนาคม
อันเนื่องจากมีแม่น้ำสามสาย คือ แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำป่าสัก และแม่น้ำลพบุรี
ไหลมาบรรจบ
ควบคุมเส้นทางคมนาคมทางน้ำของบ้านเมืองที่อยู่เหนือขึ้นไปที่จะออกสู่ทะเล</span></span><br /><span style="color: black;"><span style="font-family: Tahoma;">สมเด็จพระเจ้าอู่ทองทรงนำลักษณะการปกครองทั้งของไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งของกรุงสุโขทัยและของขอม
มาประยุกต์ใช้กับกรุงศรีอยุธยา ในด้านการแผ่ขยายพระราชอาณาเขต ในปี พ.ศ. 1895
ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ยกทัพไปตีนครธม ราชธานีของขอมได้สำเร็จ
นับว่าเป็นการทำสงครามครั้งแรกของกรุงศรีอยุธยา ต่อมาในปี พ.ศ. 1897
ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ยกทัพไปยึดเมืองชัยนาท
ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านของอาณาจักรสุโขทัย เป็นผลให้</span></span><span style="color: #0066ff;"><span style="font-family: Tahoma;">พระเจ้าลิไท</span></span><span style="color: black;"><span style="font-family: Tahoma;"> ได้ส่งราชทูตมาขอเป็นไมตรีกับกรุงศรีอยุธยา
และขอเมืองชัยนาทคืน</span></span></div>
<br />
<br />
<div align="left">
<span style="color: black;"><span style="font-family: Tahoma;">สมเด็จพระเจ้าอู่ทองทรงครองราชย์ได้ 19 ปี เสด็จสวรรคต เมื่อปี พ.ศ.
1912 พระชนมายุได้ 55 พรรษา</span></span></div>
<br /><br /><br />
<br />
<div align="left">
<b><span style="color: #cc3300;"><span style="font-family: Tahoma;">สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ</span></span></b></div>
<br /><br />
<br />
<div align="left">
<b><span style="color: #00ccff;"><span style="font-family: Tahoma;">สมเด็จพระไตรโลกนาถ</span></span></b><span style="color: black;"><span style="font-family: Tahoma;"> เสด็จพระราชสมภพ เมื่อปี พ.ศ.1974
พระองค์ทรงเป็นพระราชโอรสสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2
เมื่อพระองค์พระชนมายุได้เจ็ดพรรษา
พระราชบิดาได้พระราชทานพระนามตามพระราชประเพณีว่า </span></span><span style="color: #0066ff;"><span style="font-family: Tahoma;">“สมเด็จพระราเมศวรบรมไตรโลกนาถบพิตร”</span></span><span style="color: black;"><span style="font-family: Tahoma;"> พระองค์ได้เสด็จขึ้นครองราชย์ เมื่อปี พ.ศ.1991
พระชนมายุได้ 17 พรรษา
เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่แปดของกรุงศรีอยุธยา</span></span><br /><span style="color: black;"><span style="font-family: Tahoma;">สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ทรงมีพราชสมัญญาอีกพระนามว่า
</span></span><span style="color: #0066ff;"><span style="font-family: Tahoma;">พระเจ้าช้างเผือก</span></span><span style="color: black;"><span style="font-family: Tahoma;">
เนื่องจากเมื่อปี พ.ศ.2014 พระองค์ได้ทรงรับช้างเผือก
ซึ่งนับเป็นช้างเผือกช้างแรกของกรุงศรีอยุธยา</span></span><br /><span style="color: black;"><span style="font-family: Tahoma;">สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ทรงปฏิรูปการปกครอง
โดยทรงรวมอำนาจการปกครองเข้าสู่ศูนย์กลางคือ ราชธานี
และแยกฝ่ายทหารกับฝ่ายพลเรือนออกจากกัน
มรการแต่งตั้งตำแหน่งข้าราชการให้มีบรรดาศักดิ์ตามลำดับจากต่ำสุดไปสูงสุดคือ ทนาย
พัน หมื่น ขุน หลวง พระ พระยา และเจ้าพระยา
มีกำหนดศักดินาเพื่อเป็นค่าตอบแทนการรับราชการ ทรงตั้งกฎมณเฑียรบาลขึ้น
เป็นกฎหมายสำหรับการปกครอง</span></span><br /><span style="color: black;"><span style="font-family: Tahoma;">ในรัชสมัยของพระองค์ ได้โปรดเกล้าฯ
ให้ประชุมนักปราชญ์ราชบัณฑิตแต่งหนังสือมหาชาติคำหลวง
นับว่าเป็นวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาเรื่องแรกของกรุงศรีอยุธยา
และเป็นวรรณคดีชั้นเยี่ยมที่ใช้เป็นแนวทางในการศึกษาภาษา
และวรรณคดีของไทย</span></span><br /><span style="color: black;"><span style="font-family: Tahoma;">สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เสด็จสวรรคต เมื่อปี พ.ศ.2031 ครองราชย์ได้ 40
ปี </span></span></div>
<br /><br /><br /><br />
<br />
<div align="left">
<b><span style="color: #cc3300;"><span style="font-family: Tahoma;">สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ</span></span></b></div>
<br /><br />
<br />
<div align="left">
<b><span style="color: #00ccff;"><span style="font-family: Tahoma;">สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ
ทรงพระนามเดิมว่า พระเฑียรราชา</span></span></b><span style="color: black;"><span style="font-family: Tahoma;"> ทรงเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2
และทรงเป็นพระอนุชาต่างพระชนนี ในสมเด็จพระไชยราชาธิราช เสด็จพระราชสมภพเมื่อปี
พ.ศ.2055 ทรงดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแผ่นดินคู่กันกับท้าวศรีสุดาจันทร์
ในรัชสมัยสมเด็จพระยอดฟ้า ต่อมาได้เสด็จออกผนวช ณ
วัดราชประดิษฐาน</span></span></div>
<br />
<br />
<div align="left">
<span style="color: black;"><span style="font-family: Tahoma;">เมื่อขุนพิเรนทรเทพและคณะ
ได้กำจัดขุนวรวงศาธิราชและท้าวศรีสุดาจันทร์เสร็จสิ้นแล้ว
จึงได้อันเชิญพระเฑียรราชา ให้ลาผนวชและขึ้นครองราชย์ ทรงพระนามว่า
สมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราช เมื่อปี พ.ศ.2091
ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ลำดับที่สิบห้าของกรุงศรีอยุธยา
พระองค์ได้สถาปนาพระมเหสีเป็นพระสุริโยทัย ทรงมีพระราชโอรสและพระราชธิดา 4
พระองค์คือ พระราเมศวร พระมหินทร พระวิสุทธิกษัตรี
และพระเทพกษัตรี</span></span></div>
<br />
<br />
<div align="left">
<span style="color: black;"><span style="font-family: Tahoma;">เมื่อพระองค์ขึ้นครองราชย์แล้ว ได้ทรงแต่งตั้งให้ขุนพิเรนทรเทพ
เป็นพระมหาธรรมราชา ครองเมืองพิษณุโลก
แล้วพระราชทานพระวิสุทธิกษัตรีให้เป็นพระมเหสี ขุนอินทรเทพ
ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าพระยาศรีธรรมาโศกราช ผู้สำเร็จราชการเมืองนครศรีธรรมราช
หลวงศรียศ เป็นเจ้าพระยามหาเสนาที่สมุหกลาโหม หมื่นราชเสน่หา เป็นเจ้าพระยามหาเทพ
หมื่นราชเสน่หานอกราชการ เป็นพระยาภักดีนุชิต พระยาพิชัย เป็นเจ้าพระยาพิชัย
พระยาสวรรคโลก เป็นเจ้าพระยาสวรรคโลก</span></span></div>
<br />
<br />
<div align="left">
<span style="color: black;"><span style="font-family: Tahoma;">ในปี พ.ศ.2091
สมเด็จพระมหาจักรพรรดิขึ้นครองราชย์ได้เพียงเจ็ดเดือน พระเจ้าหงสาวดี
(พระเจ้าตะเบงชะเวตี้) ทรงทราบว่า ทางกรุงศรีอยุธยาผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน
เห็นเป็นโอกาสที่จะแผ่อำนาจมายังราชอาณาจักรไทย จึงได้ยกกองทัพมาทางเมืองกาญจนบุรี
สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เสด็จออกไปดูลาดเลากำลังศึก ณ ทุ่งภูเขาทอง
พร้อมกับพระสุริโยทัย พระราเมศวร และพระมหินทราธิราช
สมเด็จพระมหาจักรพรรดิได้กระทำยุทธหัตถีกับพระเจ้าแปรช้างพระที่นั่งเสียที
สมเด็จพระสุริโยทัยจึงทรงไสช้างเข้าขวางช้างข้าศึก
เพื่อป้องกันสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ
พระเจ้าแปรได้ทีจึงฟันสมเด็จพระสุริโยทัยด้วยของ้าว สิ้นพระชนม์บนคอช้าง
พระราเมศวรและพระมหินทราฯ
ได้ขับช้างเข้ากันพระศพกลับเข้าพระนคร</span></span></div>
<br />
<br />
<div align="left">
<span style="color: black;"><span style="font-family: Tahoma;">ในปี พ.ศ. 2092-2106
สมเด็จพระมหาจักรพรรดิโปรดให้ปรับปรุงกิจการทหารและเสริมสร้างบ้านเมืองให้มั่นคงกว่าเดิม
ขุดคลองมหานาคเป็นคูเมืองออกไปถึงชายทุ่งภูเขาทอง
โปรดให้จับม้าและช้างให้เข้ามาในราชการ สามารถจับช้างเผือกได้ถึงเจ็ดเชือก
จึงได้รับการขนานพระนามว่า </span></span><span style="color: #0066ff;"><span style="font-family: Tahoma;">พระเจ้าช้างเผือก</span></span><span style="color: black;"><span style="font-family: Tahoma;">อีกพระนามหนึ่ง</span></span></div>
<br />
<br />
<div align="left">
<span style="color: black;"><span style="font-family: Tahoma;">พระเจ้าบุเรงนอง
ผู้ครองราชย์ต่อจากพระเจ้าตะเบงชะเวตี้ ทราบปรื่องช้างเผือก
จึงส่งราชทูตเชิญพระราชสาส์นมาขอพระราชทานช้างเผือก
สมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงให้เหตุผลเชิงปฏิเสธ พระเจ้าบุเรงนองจึงถือสาเหตุนั้น
ยกกองทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา เมื่อปี พ.ศ.2106 ด้วยกำลังพลสองแสนคน
จัดเป็นทัพกษัตริย์หกทัพ ได้เตรียมทัพเรือพร้อมปืนใหญ่กับจ้างชาวโปรตุเกสอาสาสมัคร
ให้เมืองเชียงใหม่สนับสนุนเสบียงอาหาร โดยลำเลียงมาทางเรือ
เปลี่ยนเส้นทางเดินทัพมาทางด่านแม่ละเมา
เข้าตีหัวเมืองเหนือของไทยมาตามลำดับเพือ่ตัดกำลังที่จะยกมาช่วยกรุงศรีอยุธยา</span></span><br /><span style="color: black;"><span style="font-family: Tahoma;">ฝ่ายไทยเตรียมตัวป้องกันพระนคร
แต่ฝ่ายไทยต้านทานไม่ได้ต้องถอยกลับเข้ากรุงศรีอยุธยา
กองทัพพม่าได้เข้าล้อมกรุงศรีอยุธยาไว้แล้วระดมยิงปืนใหญ่เข้าในพระนครทุกวัน
จนราษฎรได้รับความเดือดร้อนและเสียขวัญ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ
ต้องเสด็จเจรจากับพระเจ้าบุเรงนอง
ที่พลับพลาบริเวณตำบลวัดพระเมรุการามกับวัดหัสดาวาส ยอมเป็นไมตรี
โดยได้มอบช้างเผือกสี่เชือก พร้อมกับพระราเมศวร พระยาจักรี
และพระยาสุนทรสงครามให้แก่พม่า</span></span></div>
<br />
<br />
<div align="left">
<span style="color: black;"><span style="font-family: Tahoma;">ในปี พ.ศ.2111
พม่าได้ยกกองทัพใหญ่เจ็ดกองทัพ
เดินทัพมาทางด่านแม่ละเมาเข้าล้อมกรุงศรีอยุธยาไว้ทั้งสี่ด้าน
พระเจ้าบุเรงนองได้ทำอุบายให้พระยาจักรีที่พม่าขอไปพม่าในสงครามครั้งก่อน
ลอบเข้ากรุงศรีอยุธยา เป็นไส้สึกให้พม่า
จนทำให้การป้องกันกรุงศรีอยุธยาอ่อนแอลงไปตามลำดับ
หลังจากพม่าล้อมกรุงอยู่เก้าเดือนก็เสียกรุงแก่พม่า เมื่อปี
พ.ศ.2112</span></span><br /><span style="color: black;"><span style="font-family: Tahoma;">สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เสด็จสวรรคต เมื่อปี พ.ศ.2111 ครองราชย์ได้ 20
ปี</span></span></div>
<br /><br /><br /><br />
<br />
<div align="left">
<b><span style="color: #cc3300;"><span style="font-family: Tahoma;">สมเด็จพระนเรศวรมหาราช</span></span></b></div>
<br /><br />
<br />
<div align="left">
<b><span style="color: #00ccff;"><span style="font-family: Tahoma;">สมเด็จพระนเรศวรมหาราช</span></span></b><span style="color: black;"><span style="font-family: Tahoma;"> เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระมหาธรรมราชากับพระวิสุทธิกษัตรี
เสด็จพระราชสมภพ เมื่อปี พ.ศ.2098 ที่เมืองพิษณุโลก </span></span><span style="color: #0066ff;"><span style="font-family: Tahoma;">พระนามเดิม พระองค์ดำ
หรือพระนเรศวร</span></span><br /><span style="color: black;"><span style="font-family: Tahoma;">หลังจากเสียกรุงแก่พม่า เมื่อปี พ.ศ.2112
สมเด็จพระมหาธรรมราชาได้ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ครองกรุงศรีอยุธยา
เขมรเห็นเป็นโอกาสที่ไทยอ่อนแอ
จึงได้ยกทัพมาปล้นสดมภ์และกวาดต้อนผู้คนบริเวณชายพระนคร
สมเด็จพระมหาธรรมราชาจึงได้ขอตัวสมเด็จพระนเรศวรจากหงสาวดีกลับมาช่วยป้องกันบ้านเมือง
เมื่อพระชนมายุได้ 15 พรรษา</span></span></div>
<br />
<br />
<div align="left">
<span style="color: black;"><span style="font-family: Tahoma;">สมเด็จพระมหาธรรมราชาได้โปรดเกล้าฯ
ให้สมเด็จพระนเรศวรเป็นพระมหาอุปราชา ปกครองหัวเมืองทางทิศเหนือ
และประทับอยู่ที่เมืองพิษณุโลก ในปี พ.ศ.2127
พระองค์ทรงได้ประกาศอิสรภาพของกรุงศรีอยุธยาจากอำนาจของพม่า
หลังจากที่ตกอยู่ในอำนาจพม่าเป็นเวลา 15 ปี</span></span></div>
<br />
<br />
<div align="left">
<span style="color: black;"><span style="font-family: Tahoma;">เมื่อสมเด็จพระมหาธรรมราชา
เสด็จสวรรคต เมื่อปี พ.ศ.2133 พระองค์ได้เสด็จขึ้นครองราชย์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 29
กรกฎาคม พ.ศ.2133 เมื่อพระชนมายุได้ 35 พรรษา ทรงพระนามว่า </span></span><span style="color: #0066ff;"><span style="font-family: Tahoma;">สมเด็จพระนเรศวรหรือสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่</span></span><span style="color: #0066ff;"><span style="font-family: Tahoma;">2 </span></span><span style="color: black;"><span style="font-family: Tahoma;">และโปรดเกล้าฯให้พระเอกาทศรถ พระราชอนุชา ขึ้นเป็นพระมหาอุปราช
แต่มีศักดิ์เสมอพระมหากษัตริย์อีกพระองค์หนึ่ง</span></span></div>
<br />
<br />
<div align="left">
<span style="color: black;"><span style="font-family: Tahoma;">ตลอดรัชสมัยของพระองค์ทรงกอบกู้กรุงศรีอยุธยาจากพม่า
และได้ทำสงครามกับอริราชศัตรูทั้งพม่าและเขมร
จนราชอาณาจักรไทยเป็นปึกแผ่นมั่นคง</span></span><br /><span style="color: black;"><span style="font-family: Tahoma;">การสงครามกับพม่าครั้งสำคัญที่ทำให้พม่าไม่กล้ายกทัพมารุกรานไทยอีกเลย
เป็นเวลาเกือบสองร้อยปี คือ สงครามยุทธหัตถี เมื่อปี
พ.ศ.2135</span></span></div>
<br />
<br />
<div align="left">
<span style="color: black;"><span style="font-family: Tahoma;">สมเด็จพระนเรศวรโปรดให้ปรับปรุงการปกครองหัวเมืองใหญ่เป็นการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง
ยกเลิกระบบเมืองพระยามหานคร ยกเลิกให้เจ้านายไปปกครองเมืองเหล่านี้
แล้วให้ขุนนางไปปกครองแทน</span></span></div>
<br />
<br />
<div align="left">
<span style="color: black;"><span style="font-family: Tahoma;">สมเด็จพระนเรศวรเสด็จสวรรคต
ขณะที่พระองค์ทรงยกกองทัพไปตีเมืองอังวะ เมื่อเสด็จถึงเมืองหาง
พระองค์ทรงประชวรเป็นฝีละลอกขึ้นที่พระพักตร์กลายเป็นพิษ เมื่อวันที่ 25 เมษายน
พ.ศ.2148 พระชนมายุ 50 พรรษา ครองราชย์ได้ 15 ปี</span></span></div>
<br /><br /><br />
<br />
<div align="left">
<b><span style="color: #cc3300;"><span style="font-family: Tahoma;">สมเด็จพระนารายณ์มหาราช</span></span></b></div>
<br /><br /><br />
<br />
<div align="left">
<b><span style="color: #00ccff;"><span style="font-family: Tahoma;">สมเด็จพระนารายณ์มหาราช
หรืออีกพระนามว่า สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 3
หรือสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสรรเพชญ์</span></span></b><span style="color: black;"><span style="font-family: Tahoma;"> เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง มีพระเชษฐาคือ
สมเด็จพระเจ้าไชย มีพระอนุชาคือ เจ้าฟ้าอภัยทศ พระไตรภูวนาทิตยวงศ์ พระองค์ทอง
และพระอินทราชา</span></span></div>
<br />
<br />
<div align="left">
<span style="color: black;"><span style="font-family: Tahoma;">พระองค์ได้ปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์ เมื่อปี พ.ศ.2199
เมื่อพระชนม์มายได้ 25 พรรษา พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ ที่ทรงพระปรีชาสามารถมาก
ทำให้กรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยของพระองค์ มีความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าในทุกด้าน
ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การต่างประเทศ การศึกษา ศิลปวัฒนธรรม
วรรณคดีที่สำคัญหลายเรื่องเกิดขึ้นในรัชสมัยของพระองค์
จนได้ชื่อว่าเป็นยุคทองของวรรณคดีในสมัยกรุงศรีอยุธยา</span></span></div>
<br />
<br />
<div align="left">
<span style="color: black;"><span style="font-family: Tahoma;">ในรัชสมัยของพระองค์
ได้มีชาวตะวันตกเดินทางเข้ามาติดต่อค้าขาย เผยแพร่ศาสนาตลอดจนเข้ารับราชการ
ทำให้ชาวตะวันตกยอมรับนับถือกรุงศรีอยุธยาเป็นอย่างมาก</span></span></div>
<br />
<br />
<div align="left">
<span style="color: black;"><span style="font-family: Tahoma;">ในด้านการค้าขาย
ได้มีการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศมากยิ่งกว่าในรัชสมัยอื่นๆ
ทรงโปรดเกล้าฯให้ต่อเรือกำปั่นหลวง เพื่อทำการค้าขายกับต่างประเทศ
จึงทำให้อยุธยาเป็นศูนย์กลางการค้ากับต่างประเทศ</span></span></div>
<br />
<br />
<div align="left">
<span style="color: black;"><span style="font-family: Tahoma;">พระเจ้าหลุยส์ที่ 14
แห่งฝรั่งเศส ได้ส่งบาทหลวงสามคนเดินทางมากรุงศรีอยุธยา
เมื่อทั้งสามคนมาถึงแล้วก็ได้มีใบบอกไปยัง พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 และพระสันตปาปา
ซึ่งมีความเห็นตรงกันว่าจะใช้กรุงศรีอยุธยา เป็นศูนย์กลางในการเผยแพร่คริสตศาสนา
พระบาทหลวงได้ตั้งโรงเรียน โรงพยาบาล ฯลฯ สมเด็จพระนารายณ์ทรงเห็นว่า
เป็นการนำความเจริญมาให้กรุงศรีอยุธยา
พระองค์ได้พระราชทานที่ดินให้สร้างวัดทางคริสตศาสนาด้วย</span></span></div>
<br />
<br />
<div align="left">
<span style="font-family: Tahoma;"><span style="color: black;">ในปี พ.ศ.2224
สมเด็จพระนารายณ์ ฯ ทรงจัดคณะทูตนำพระราชสาสน์ไปเจริญทางพระราชไมตรี ณ
ประเทศฝรั่งเศส แต่คณะราชทูตสูญหายไประหว่างทาง ต่อมาในปี พ.ศ.2226
พระองค์ได้โปรดเกล้า ฯ ให้จัดคณะทูตเดินทางไปฝรั่งเศสอีกครั้ง
เพื่อสอบสวนความเป็นไปของทูตคณะแรก พระเจ้าหลุยส์ที่ 14
ทรงทราบก็เข้าใจว่าสมเด็จพระนารายณ์ ฯ ทรงเลื่อมใสจะเข้ารีต
จึงได้จัดคณะราชทูตเข้ามาเจริญทางพระราชไมตรีกับกรุงศรีอยุธยา โดยมีเชอวาเลียร์ เดอ
โชมองต์ เป็นหัวหน้าคณะทูต เมื่อปี พ.ศ.2228ได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระนารายณ์ ฯ
ทูลขอให้ทรงเข้ารีต
แต่พระองค์ทรงปฏิเสธด้วยพระปรีชาสามารถว่า</span></span></div>
<br /><br />
<br />
<div align="left">
<span style="color: #0066ff;"><span style="font-family: Tahoma;">“การที่ผู้ใดจะนับถือศาสนาใดนั้น
ย่อมแล้วแต่พระผู้เป็นเจ้าบนสวรรค์จะบันดาลให้เป็นไป
ถ้าคริสตศาสนาเป็นศาสนาดีจริงแล้ว
และเห็นว่าพระองค์สมควรที่จะเข้าเป็นคริสตศาสนิกแล้ว
สักวันหนึ่งพระองค์จะถูกดลใจให้เข้ารีตจนได้”</span></span></div>
<br />
<br />
<div align="left">
<span style="font-family: Tahoma;"><span style="color: black;">พระองค์ได้ให้เสรีภาพแก่ราษฎรทั่วไปที่จะนับถือคริสตศาสนาได้ตามความเลื่อมใสของตน
ทำให้เชอวาเลียร์ เดอ โชมองต์ พอใจ</span></span></div>
<br />
<br />
<div align="left">
<span style="font-family: Tahoma;"><span style="color: black;">ต่อมาในปี พ.ศ.2228
เมื่อคณะราชทูตฝรั่งเศสเดินทางกลับ พระองค์ก็ได้จัดให้เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน)
เป็นหัวหน้าคณะราชทูตเดินทางไปฝรั่งเศส
นำพระราชสาส์นของพระองค์ไปถวายพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 และได้ส่งกุลบุตร 12 คน
ไปศึกษาวิชาที่ประเทศฝรั่งเศส พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงโปรดปรานเจ้าพระยาโกษาธิบดี
(ปาน) เป็นอย่างมาก ได้ให้เหรียญที่ระลึก และเขียนรูปภาพเหตุการณ์ไว้ด้วย
เมื่อคณะราชทูตเดินทางกลับ พระองค์ได้โปรดให้มองสิเออร์ เดอลาลูแบร์
เป็นราชทูตเข้ามากรุงศรีอยุธยา พร้อมกับเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน)
และได้นำทหารฝรั่งเศสจำนวน 636 นาย เข้ามายังกรุงศรีอยุธยาด้วย สมเด็จพระนารายณ์ ฯ
ได้โปรดเกล้า ฯ ให้ทหารฝรั่งเศสจำนวนดังกล่าว ไปรักษาป้อมที่เมืองธนบุรีส่วนหนึ่ง
อีกส่วนหนึ่งมีกำลังสองกองร้อยให้ไปรักษาเมืองมะริด
ซึ่งมีอังกฤษเป็นภัยคุกคามอยู่</span></span></div>
<br />
<br />
<div align="left">
<span style="font-family: Tahoma;"><span style="color: black;">ในปี พ.ศ.2230
สมเด็จพระนารายณ์ทรงประกาศสงครามกับอังกฤษ
เนื่องจากมีเหตุบาดหมางกันในเรื่องการค้าขายกับอินเดีย รัฐบาลอังกฤษให้บริษัทอังกฤษ
เรียกตัวคนอังกฤษทั้งหมดที่รับราชการอยู่ ณ กรุงศรีอยุธยา ให้กลับประเทศอังกฤษ
ต่อมาชาวอังกฤษได้มาก่อความวุ่นวายในเมืองมะริดและรุกรานไทยก่อน
แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรไทยได้
เนื่องจากขณะนั้นมีทหารฝรั่งเศสรักษาเมืองมะริดอยู่</span></span></div>
<br />
<br />
<div align="left">
<span style="font-family: Tahoma;"><span style="color: black;">ในรัชสมัยของพระองค์
แม้ว่าจะมีการค้าขายติดต่อกับต่างประเทศ ที่เจริญรุ่งเรืองแล้วก็ตาม
แต่ก็ได้มีการทำสงครามหลายครั้ง ครั้งที่สำคัญได้แก่
การยกกองทัพออกไปตีพม่าที่กรุงอังวะ ตามแบบอย่างที่สมเด็จพระนเรศวร ฯ
ได้ทรงกระทำมาแล้วในอดีต
และได้มีการยกกองทัพไปตีเมืองเชียงใหม่สองครั้งจนได้ชัยชนะ</span></span></div>
<br />
<br />
<div align="left">
<span style="font-family: Tahoma;"><span style="color: black;">สมเด็จพระนารายณ์ ฯ
เสด็จสวรรคต เมื่อปี พ.ศ.2231 เมื่อพระชนมายุได้ 50 พรรษา ครองราชย์ได้ 32 ปี
</span></span></div>
<br /><br /><br /><br />
<br />
<div align="left">
<b><span style="color: #cc3300;">สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ</span></b></div>
<br /><br />
<br />
<div align="left">
<b><span style="color: #00ccff;">สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ</span></b><span style="color: black;">
เป็นพระโอรสในสมเด็จพระเจ้าเสือ พระนามเดิม เจ้าฟ้าพร เป็นพระอนุชา
สมเด็จพระเจ้าท้ายสระ พระองค์ได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล
ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าท้ายสระ ทรงปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ ทรงพระนามว่า
</span><span style="color: #0066ff;">สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 </span><span style="color: #0066ff;">นอกจากนั้นพระองค์ยังมีพระนามอื่นตามที่ปรากฎในเอกสารทางประวัติศาสตร์คือ
สมเด็จพระรามาธิบดินทร ฯ สมเด็จพระรามาธิบดี ฯ สมเด็จพระรามาธิบดีศรีสุธรรมราชา ฯ
และสมเด็จพระบรมราชา ทางฝ่ายพม่าเรียกว่า พระมหาธรรมราชา</span></div>
<br />
<br />
<div align="left">
<span style="color: black;">ในรัชสมัยของพระองค์พุทธศาสนาเฟื่องฟูมาก
พระองค์ทรงมีความเลื่อมใสศรัทธาและทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาเป็นอันมาก โปรดเกล้า ฯ
ให้บูรณะปฏิสังขรณ์วัดวาอารามทั้งในกรุงศรีอยุธยาและในบรรดาหัวเมืองต่าง ๆ ได้แก่
วัดพระศรีสรรเพชญ์ วัดป่าโมก วัดหันตรา วัดภูเขาทอง และวัดพระราม โปรดเกล้า ฯ
ให้ซ่อมเศียรพระประธานวัดมงคลบพิตร ที่ชำรุดอยู่ </span></div>
<br />
<br />
<div align="left">
<span style="color: black;">ทรงให้ความสำคัญในการศึกษาทางพุทธศาสนาเป็นพิเศษ
ผู้ที่ถวายตัวเข้ารับราชการต้องผ่านการบวชเรียนมาแล้ว</span></div>
<br />
<br />
<div align="left">
<span style="color: black;">ในปี พ.ศ.2296 พระเจ้ากีรติสิริราชสิงห์
กษัตริย์ลังกา ทรงทราบกิตติศัพท์ว่าพระพุทธศาสนาในกรุงศรีอยุธยารุ่งเรืองมาก
จึงได้ส่งราชทูตมาขอพระมหาเถระ และคณะสงฆ์ไปช่วยฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในลังกา
ซึ่งเสื่อมโทรมลงไป เนื่องจากกษัตริย์ลังกาองค์ก่อน หันไปนับถือศาสนาพราหมณ์
และทำลายพุทธศาสนา จนกระทั่งไม่มีพระสงฆ์เหลืออยู่ในลังกา สมเด็จพระเจ้าบรมโกษ
จึงโปรดให้ส่งคณะสมณทูตประกอบด้วยพระราชาคณะสองรูปคือ พระอุบาลี และพระอริยมุนี
พร้อมคณะสงฆ์อีก 12 รูป ไปลังกา เพื่อประกอบพิธีบรรพชา อุปสมบท ให้กับชาวลังกา
คณะสงฆ์คณะนี้ได้ไปตั้งนิกายสยามวงศ์ขึ้นในลังกา
หลังจากที่ได้ช่วยฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในลังกา เป็นเวลาเจ็ดปีแล้ว
คณะสงฆ์คณะนี้บางส่วนได้เดินทางกลับกรุงศรีอยุธยา เมื่อปี พ.ศ.2303
</span></div>
<br />
<br />
<div align="left">
<span style="color: black;">สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เสด็จสวรรคต เมื่อปี
พ.ศ.2301พระชนมายุได้ 77 พรรษา ครองราชย์ได้ 26 ปี </span></div>
<br /><br />
<br />
<div align="left">
<span style="color: red;">ข้อมูลจาก </span><span style="color: red;">–</span><br /><a href="http://www.heritage.thaigov.net-/" target="_blank"><span style="color: blue;">www.heritage.thaigov.net-</span></a></div>
<br /><br />
<br />
<div align="left">
<span style="color: black;">------------------------</span><br /><span style="color: black;">ขอบคุณที่มา :::</span><br /><a href="http://www.chaoprayanews.com/2009/03/26/%e0%b8%81%e0%b8%a9%e0%b8%b1%e0%b8%95%e0%b8%a3%e0%b8%b4%e0%b8%a2%e0%b9%8c%e0%b8%aa%e0%b8%a1%e0%b8%b1%e0%b8%a2%e0%b8%ad%e0%b8%a2%e0%b8%b8%e0%b8%98%e0%b8%a2%e0%b8%b2/" target="_blank"><span style="color: blue;">พระมหากษัตริย์สมัยกรุงศรีอยุธยา | สำนักข่าวเจ้าพระยา</span></a></div>
pinkhttp://www.blogger.com/profile/06273115781979449593noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8638023715322892693.post-83230305125295146292013-03-05T13:55:00.001+07:002013-03-05T13:55:26.211+07:00บูรพมหากษัตริย์ไทย - สมัยกรุงสุโขทัย<span style="font-size: large;"><strong><span style="font-size: medium;">พระมหากษัตริย์สมัยกรุงสุโขทัย</span></strong><br /><br /><span style="color: black;"><span style="font-family: Tahoma;"><span style="font-family: Verdana;"><span style="font-size: small;">สุโขทัยเป็นนครหลวงแห่งแรกของประชาชนเชื้อสายไทย
สังคมไทยในยุคนี้มีลักษณะเป็นสังคมเผ่า
มีความเกี่ยวพันและผูกพันกันอย่างหนาแน่นในสายโลหิต
อาณาเขตของสุโขทัยในสมัยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ซึ่งเป็นปฐมกษัตริย์ประกอบด้วยเมืองสุโขทัยและศรีสัชชนาลัยเท่านั้น
</span></span></span></span><br /><br /><span style="font-family: Verdana;"><span style="font-size: small;"><span style="color: black;"><span style="font-family: Tahoma;">ต่อมาได้ขยายกว้างขวางขึ้นในสมัยพ่อขุนรามคำแหง
ความสัมพันธ์ของประชาชนก็มีลักษณะเป็นความสัมพันธ์ทางใจอันเกิดจากความรู้สึกว่าเป็นคนสายเลือดเดียวกันและอยู่ภายใต้การปกครองโดย
</span></span><span style="color: #333399;"><span style="font-family: Tahoma;">“</span></span><span style="color: #333399;"><span style="font-family: Tahoma;">พ่อขุน</span></span><span style="color: #333399;"><span style="font-family: Tahoma;">”</span></span><span style="color: black;"><span style="font-family: Tahoma;"> องค์เดียวกัน
ตามหลักฐานศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช</span></span></span></span><br /><br /><span style="font-family: Verdana;"><span style="font-size: small;"><span style="color: black;"><span style="font-family: Tahoma;">แนวคิดเกี่ยวกับพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในสมัยสุโขทัยนี้ทรงเป็นผู้ครองนคร
ซึ่งเป็นผู้ทรงสิทธิเหนืออาณาประชาราษฎร์ทั้งปวง
สิทธิการเป็นพระมหากษัตริย์สืบทอดโดยการสืบสันตติวงศ์
ประชาชนมีสิทธิเข้าถึงตัวผู้ปกครองแผ่นดิน พระมหากษัตริย์ยังคงเป็นของชาวพุทธแท้ๆ
ไม่มีคตินิยมแบบพราหมณ์เข้ามาปะปน
พอสิ้นรัชกาลพ่อขุนรามคำแหงจนถึงรัชกาลกษัตริย์องค์ต่อๆมา เช่น พระมหาธรรมราชาลิไท
อิทธิพลของศาสนาพราหมณ์เริ่มเข้ามา กษัตริย์เริ่มเป็นเทพยดา
แต่ก็ยังยึดศาสนาพุทธอยู่ จึงเป็นแค่ </span></span><span style="color: #333399;"><span style="font-family: Tahoma;">“</span></span><span style="color: #333399;"><span style="font-family: Tahoma;">ธรรมราชา</span></span><span style="color: #333399;"><span style="font-family: Tahoma;">”</span></span><span style="color: black;"><span style="font-family: Tahoma;">
ซึ่งเป็นคำในศาสนาพุทธ เหมือนที่ใช้เรียกพระเจ้าอโศก แต่หลังจากนั้นเริ่มเป็น
</span></span><span style="color: #333399;"><span style="font-family: Tahoma;">“</span></span><span style="color: #333399;"><span style="font-family: Tahoma;">รามาธิบดี</span></span><span style="color: #333399;"><span style="font-family: Tahoma;">”</span></span></span></span><br /><br /><br /><b><span style="color: #6600ff;"><span style="font-family: Tahoma;"><span style="font-family: Verdana;"><span style="font-size: small;">ลำดับพระมหากษัตริย์ไทย
เริ่มนับตั้งแต่ไทยรวมตัวเป็นราชอาณาจักรที่มีอำนาจเป็นปึกแผ่นและเป็นอิสระจากอิทธิพลของขอม</span></span></span></span></b><br /><br /><br /><br /><b><a href="http://www.chaoprayanews.com/wp-content/uploads/2009/03/27-3-2552-9-47-101.png" target="_blank"><img alt="" border="0" src="http://www.chaoprayanews.com/wp-content/uploads/2009/03/27-3-2552-9-47-101.png" /></a></b><br /><br /><br /><br /><br /><span style="font-size: small;">
</span></span><br />
<span style="font-size: large;"><div align="left">
<b><b><span style="color: #c00000;"><span style="font-family: Tahoma;"><span style="font-family: Verdana; font-size: small;">พ่อขุนศรีอินทราทิตย์</span></span></span></b></b></div>
<br /><br /><b><span style="font-family: Tahoma;"><a href="http://www.chaoprayanews.com/wp-content/uploads/2009/03/su008.jpg" target="_blank"><span style="font-family: Verdana;"><span style="font-size: small;"><img alt="" border="0" src="http://www.chaoprayanews.com/wp-content/uploads/2009/03/su008-225x300.jpg" /></span></span></a></span></b><br /><br /><b><span style="font-family: Tahoma;"><span style="font-family: Verdana;"><span style="font-size: small;">พ่อขุนศรีอินทราทิตย์</span></span></span></b><span style="font-family: Verdana;"><span style="font-size: small;"><span style="font-family: Tahoma;"> หรือพระนามเต็ม กำมรเตงอัญศรีอินทรบดินทราทิตย์
พระนามเดิม พ่อขุนบางกลางหาว ทรงเป็นปฐมวงศ์ราชวงศ์พระร่วงแห่งอาณาจักรสุโขทัย
ครองราชสมบัติ ตั้งแต่ พ.ศ. </span><span style="font-family: Tahoma;">1782
(คำนวณศักราชจากคัมภีร์สุริยยาตรตามข้อเสนอของ ศ. ประเสริฐ ณ นครและ พ.อ.พิเศษ
เอื้อน มณเฑียรทอง) แต่ไม่ปรากฏหลักฐานการสวรรคตหรือสิ้นสุดการครองราชสมบัติปีใด
มีผู้สันนิษฐานที่มาของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์
จากคัมภีร์ชินกาลมาลีปกรณ์ว่าบ้านเดิมของพระองค์อาจอยู่ที่ “บ้านโคน”
ในจังหวัดกำแพงเพชร</span></span></span><br /><br /><b><span style="color: #c00000;"><span style="font-family: Tahoma;"><span style="font-family: Verdana;"><span style="font-size: small;">พระราชกรณียกิจ</span></span></span></span></b><br /><br /><span style="font-family: Tahoma;"><span style="font-family: Verdana;"><span style="font-size: small;">พ่อขุนศรีอินทราทิตย์เมื่อครั้งยังเป็นพ่อขุนบางกลาวหาวได้ร่วมกับพ่อขุนผาเมือง
เจ้าเมืองราดแห่งราชวงศ์ศรีนาวนำถุม รวมกำลังพลกัน กระทำรัฐประหารขอมสบาดโขลญลำพง
โดยพ่อขุนบางกลางหาวตีเมืองศรีสัชนาลัยและ เมืองบางขลงได้
และยกทั้งสองเมืองให้พ่อขุนผาเมือง ส่วนพ่อขุนผาเมืองตีเมืองสุโขทัยได้
ก็ได้มอบเมืองสุโขทัยให้พ่อขุนบางกลาวหาว พร้อมพระขรรค์ชัยศรีและพระนาม
“ศรีอินทรบดินทราทิตย์” ซึ่งได้นำมาใช้เป็นพระนาม ภายหลังได้คลายเป็น
ศรีอินทราทิตย์ โดยคำว่า “บดินทร” หายออกไป เชื่อกันว่าเพื่อเป็นการแสดงว่ามิได้
เป็น บดีแห่งอินทรปัต คืออยู่ภายใต้อิทธิพลของเขมร (เมืองอินทรปัต) อีกต่อไป
การเข้ามาครองสุโขทัยของพระองค์ ส่งผลให้ราชวงศ์พระร่วงเข้า
มามีอิทธิพลในเขตนครสุโขทัยเพิ่มมากขึ้น และได้แผ่ขยายดินแดนกว้างขวางมากออกไป
แต่เขตแดนเมืองสรลวงสองแคว
ก็ยังคงเป็นฐานกำลังของราชวงศ์ศรีนาวนำถุมอยู่</span></span></span><br /><br /><span style="font-family: Tahoma;"><span style="font-family: Verdana;"><span style="font-size: small;">ในกลางรัชสมัย ทรงมีสงครามกับขุนสามชน
เจ้าเมืองฉอด ทรงชนช้างกับขุนสามชน แต่ช้างทรงพระองค์
ได้เตลิดหนีดังคำในศิลาจารึกว่า “หนีญญ่ายพ่ายจแจ” ขณะนั้นพระโอรสองค์เล็ก
ทรงมีพระปรีชาสามารถ ได้ชนช้างชนะขุนสามชน
ภายหลังจึงทรงเฉลิมพระนามพระโอรสว่ารามคำแหง</span></span></span><br /><br /><br /><b><b><span style="color: #1f497d;"><span style="font-family: Tahoma;"><a href="http://www.chaoprayanews.com/wp-content/uploads/2009/03/getattachment7.jpg" target="_blank"><span style="font-family: Verdana;"><span style="font-size: small;"><img alt="" border="0" src="http://www.chaoprayanews.com/wp-content/uploads/2009/03/getattachment7.jpg" /></span></span></a></span></span></b></b><br /><br /><br /><span style="font-family: Verdana;"><span style="font-size: small;"><b><span style="color: #1f497d;"><span style="font-family: Tahoma;">ในยุคประวัติศาสตร์ชาตินิยม มีคติหนึ่งที่เชื่อกันว่า
พระองค์ทรงเป็นผู้นำชนชาติไทย ต่อสู้กับอิทธิพลขอมในสุวรรณภูมิ
ทรงได้ชัยชนะและประกาศอิสรภาพตั้งราชอาณาจักรสุโขทัยขึ้น
และทรงเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรไทย </span></span></b><span style="font-family: Tahoma;">แต่ภายหลัง คติดังกล่าวได้รับการพิสูจน์แล้วว่าไม่จริง
เพราะพระองค์ไม่ได้เป็นปฐมกษัตริย์
แต่พระองค์ถือว่าเป็นปฐมกษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัย</span></span></span><br /><br /><span style="font-family: Verdana;"><span style="font-size: small;"><b><span style="color: #c00000;"><span style="font-family: Tahoma;">พระราชวงศ์</span></span></b></span></span><br /><br /><span style="font-family: Verdana;"><span style="font-size: small;"><span style="font-family: Tahoma;">พ่อขุนศรีอินทราทิตย์มีพระราชโอรสและพระธิดารวม </span><span style="font-family: Tahoma;">5 พระองค์ ได้แก่</span></span></span><br /><span style="font-family: Tahoma;"><span style="font-family: Verdana;"><span style="font-size: small;">1. พระราชโอรสองค์โต
(ไม่ปรากฏนาม)เสียชีวิตตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์</span></span></span><br /><span style="font-family: Tahoma;"><span style="font-family: Verdana;"><span style="font-size: small;">2.
พ่อขุนบานเมือง</span></span></span><br /><span style="font-family: Tahoma;"><span style="font-family: Verdana;"><span style="font-size: small;">3. พ่อขุนรามคำแหงมหาราช
(พระนามขณะที่ยังทรงพระเยาว์ไม่ปรากฏ)</span></span></span><br /><span style="font-family: Tahoma;"><span style="font-family: Verdana;"><span style="font-size: small;">4. พระธิดา
(ไม่ปรากฏนาม)</span></span></span><br /><span style="font-family: Tahoma;"><span style="font-family: Verdana;"><span style="font-size: small;">5. พระธิดา (ไม่ปรากฏนาม)</span></span></span><br /><span style="font-family: Tahoma;"><span style="font-family: Verdana;"><span style="font-size: small;">แม้ไม่ทราบแน่นอนว่าพระองค์สิ้นพระชนม์ในปีใด
แต่ภายหลังจากพระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว พ่อขุนบานเมือง ผู้เป็นพระราชโอรสองค์ใหญ่
ได้สืบราชสมบัติแทน</span></span></span><br /><br /><br /><br />
<br />
<div align="left">
<span style="font-family: Verdana;"><span style="font-size: small;"><b><span style="color: #c00000;"><span style="font-family: Tahoma;">พ่อขุนรามคำแหงมหาราช</span></span></b></span></span></div>
<br /><br /><b><span style="color: #1f497d;"><span style="font-family: Tahoma;"><a href="http://www.chaoprayanews.com/wp-content/uploads/2009/03/re_exposure_of_resize_of_resize_of_paragraph_115.jpg" target="_blank"><span style="font-family: Verdana;"><span style="font-size: small;"><img alt="" border="0" src="http://www.chaoprayanews.com/wp-content/uploads/2009/03/re_exposure_of_resize_of_resize_of_paragraph_115.jpg" /></span></span></a></span></span></b><br /><br /><span style="font-family: Verdana;"><span style="font-size: small;"><b><span style="color: #1f497d;"><span style="font-family: Tahoma;">พ่อขุนรามคำแหงมหาราช</span></span></b><span style="font-family: Tahoma;">
ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ </span><span style="font-family: Tahoma;">3
ในราชวงศ์พระร่วงแห่งราชอาณาจักรสุโขทัย เสวยราชย์ประมาณ พ.ศ. 1822 ถึงประมาณ พ.ศ.
1841 พระองค์ทรงรวบรวมอาณาจักรไทยจนเป็นปึกแผ่นกว้างขวาง
ทั้งยังได้ทรงประดิษฐ์ตัวอักษรไทยขึ้น ทำให้ชาติไทยได้สะสมความรู้ทางศิลปะ วัฒนธรรม
และวิชาการต่าง ๆ สืบทอดกันมากว่าเจ็ดร้อยปี</span></span></span><br /><br /><b><span style="color: #c00000;"><span style="font-family: Tahoma;"><span style="font-family: Verdana;"><span style="font-size: small;">พระราชประวัติ</span></span></span></span></b><br /><br /><span style="font-family: Verdana;"><span style="font-size: small;"><span style="font-family: Tahoma;">พ่อขุนรามคำแหงมหาราชเป็นพระราชโอรสองค์ที่ </span><span style="font-family: Tahoma;">3
ของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์กับนางเสือง พระเชษฐาองค์แรกสิ้นพระชนม์ตั้งแต่พ่อขุนรามฯ
ยังทรงพระเยาว์ พระเชษฐาองค์ที่สองทรงพระนามตามศิลาจารึกว่า “พระยาบานเมือง”
ซึ่งได้เสวยราชย์ต่อจากพระราชบิดา และเมื่อสิ้นพระชนม์แล้ว
พ่อขุนรามคำแหงมหาราชก็เสวยราชย์แทนต่อมา</span></span></span><br /><br /><span style="font-family: Verdana;"><span style="font-size: small;"><span style="font-family: Tahoma;">ตามพงศาวดารโยนก
พ่อขุนรามคำแหงมหาราชแห่งสุโขทัย พ่อขุนเม็งรายมหาราชแห่งล้านนา
และพ่อขุนงำเมืองแห่งพะเยา เป็นศิษย์ร่วมพระอาจารย์เดียวกัน ณ สำนักพระสุตทันตฤๅษี
ที่เมืองละโว้ จึงน่าจะมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน โดยพ่อขุนเม็งรายประสูติเมื่อ
พ.ศ. </span><span style="font-family: Tahoma;">1782 พ่อขุนรามฯ
น่าจะประสูติในปีใกล้เคียงกันนี้</span></span></span><br /><br /><span style="font-family: Tahoma;"><a href="http://www.chaoprayanews.com/wp-content/uploads/2009/03/e-fighti-079f.jpg" target="_blank"><span style="font-family: Verdana;"><span style="font-size: small;"><img alt="" border="0" src="http://www.chaoprayanews.com/wp-content/uploads/2009/03/e-fighti-079f-300x225.jpg" /></span></span></a></span><br /><br /><span style="font-family: Tahoma;"><span style="font-family: Verdana;"><span style="font-size: small;">เมื่อพ่อขุนรามคำแหงมหาราชมีพระชนมายุสิบเก้าพรรษา
ได้ทรงทำยุทธหัตถีมีชัยต่อพ่อขุนสามชน เจ้าเมืองฉอด (อยู่บนน้ำแม่สอดใกล้จังหวัดตาก
แต่อาจจะอยู่ในเขตประเทศพม่าในปัจจุบัน) พระราชบิดาจึงทรงขนานพระนามว่า
“พระรามคำแหง” ซึ่งแปลว่า “พระรามผู้กล้าหาญ”</span></span></span><br /><span style="font-family: Verdana;"><span style="font-size: small;"><span style="font-family: Tahoma;">จากจดหมายเหตุจีน
พ่อขุนรามคำแหงมหาราชสวรรคตเมื่อ พ.ศ. </span><span style="font-family: Tahoma;">1841
และพระยาเลอไทยซึ่งเป็นพระราชโอรสได้เสวยราชย์แทนในปีนั้น</span></span></span><br /><br /><span style="font-family: Verdana;"><span style="font-size: small;"><b><span style="color: #c00000;"><span style="font-family: Tahoma;">พระราชกรณียกิจ</span></span></b></span></span><br /><br /><span style="font-family: Tahoma;"><span style="font-family: Verdana;"><span style="font-size: small;">รัชสมัยของพ่อขุนรามคำแหงมหาราชเป็นยุคที่กรุงสุโขทัยเฟื่องฟูและเจริญ
ขึ้นกว่าเดิมเป็นอันมาก
ระบบการปกครองภายในก่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยอย่างมีประสิทธิภาพ
มีการติดต่อสัมพันธ์กับต่างประเทศทั้งในด้านเศรษฐิกิจและการเมือง
ประชาชนอยู่ดีกินดี สภาพบ้านเมืองก้าวหน้าทั้งทางเกษตร การชลประทาน การอุตสาหกรรม
และการศาสนา
อาณาเขตของกรุงสุโขทัยได้ขยายออกไปกว้างใหญ่ไพศาล</span></span></span><br /><br /><span style="font-family: Verdana;"><span style="font-size: small;"><b><span style="color: #c00000;"><span style="font-family: Tahoma;">การบริหารรัฐกิจ</span></span></b></span></span><br /><br /><span style="font-family: Verdana;"><span style="font-size: small;"><span style="font-family: Tahoma;">เมื่อพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ทรงขจัดอิทธิพลของเขมรออกไปจากกรุงสุโขทัยได้ในปลายพุทธศตวรรษที่
</span><span style="font-family: Tahoma;">18
การปกครองของกษัตริย์สุโขทัยได้ใช้ระบบปิตุราชาธิปไตยหรือ <b><span style="color: #1f497d;">“พ่อปกครองลูก”</span></b>
ดังข้อความในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงว่า</span></span></span><br /><br /><span style="font-family: Tahoma;"><span style="color: #1f497d;"><span style="font-family: Verdana;"><span style="font-size: small;">…เมื่อชั่วพ่อกู
กูบำเรอแก่พ่อกู กูได้ตัวเนื้อตัวปลา กูเอามาแก่พ่อกู กูได้หมากส้มหมากหวาน
อันใดกินอร่อยดี กูเอามาแก่พ่อกู กูไปตีหนังวังช้างได้ กูเอามาแก่พ่อกู
กูไปท่อบ้านท่อเมือง ได้ช้างได้งวง ได้ปั่วได้นาง ได้เงือนได้ทอง
กูเอามาเวนแก่พ่อกู… </span></span></span></span><br /><br /><span style="color: #c00000;"><span style="font-family: Tahoma;"><span style="font-family: Verdana;"><span style="font-size: small;">ข้อความดังกล่าวแสดงการนับถือบิดามารดา
และถือว่าความผูกพันในครอบครัวเป็นเรื่องสำคัญ
ครอบครัวทั้งหลายรวมกันเข้าเป็นเมืองหรือรัฐ
มีเจ้าเมืองหรือพระมหากษัตริย์เป็นหัวหน้าครอบครัว</span></span></span></span><br /><br /><span style="font-family: Verdana;"><span style="font-size: small;"><span style="font-family: Tahoma;">ปรากฏข้อความในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงว่า
พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงใช้พระราชอำนาจในการยุติธรรมและนิติบัญญัติไว้ดัง ต่อไปนี้
</span><span style="font-family: Tahoma;">1) ราษฎรสามารถค้าขายได้โดยเสรี
เจ้าเมืองไม่เรียกเก็บจังกอบหรือ ภาษีผ่านทาง 2) ผู้ใดล้มตายลง
ทรัพย์มรดกก็ตกแก่บุตร และ 3) หากผู้ใดไม่ได้รับความเป็นธรรมในกรณีพิพาท
ก็มีสิทธิไปสั่นกระดิ่งที่แขวนไว้หน้าประตูวังเพื่อถวายฎีกาต่อพระมหากษัตริย์ได้</span></span></span><br /><br /><span style="font-family: Tahoma;"><span style="font-family: Verdana;"><span style="font-size: small;">นอกจากนี้
พ่อขุนรามคำแหงมหาราชยังทรงใช้พุทธศาสนาเป็นเครื่องช่วยในการปกครอง
โดยได้ทรงสร้างพระแท่นมนังคศิลาบาตรขึ้น
เพื่อให้พระเถรานุเถระแสดงพระธรรมเทศนาแก่ประชาชนในวันพระ
ส่วนวันธรรมดาพระองค์จะเสรด็จประทับเป็นประธานให้เจ้านายและข้าราชการปรึกษาราชการร่วมกัน</span></span></span><br /><br /><span style="font-family: Verdana;"><span style="font-size: small;"><b><span style="color: #c00000;"><span style="font-family: Tahoma;">ประดิษฐกรรม</span></span></b></span></span><br /><br /><br /><span style="font-family: Tahoma;"><a href="http://www.chaoprayanews.com/wp-content/uploads/2009/03/thai_lang7.jpg" target="_blank"><span style="font-family: Verdana;"><span style="font-size: small;"><img alt="" border="0" src="http://www.chaoprayanews.com/wp-content/uploads/2009/03/thai_lang7.jpg" /></span></span></a></span><br /><br /><span style="font-family: Tahoma;"><span style="font-family: Verdana;"><span style="font-size: small;">พ่อขุนรามคำแหงมหาราช<b><span style="color: #1f497d;">ทรงประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นใช้เมื่อ พ.ศ.
</span></b></span></span></span><span style="font-family: Verdana;"><span style="font-size: small;"><b><span style="color: #1f497d;"><span style="font-family: Tahoma;">1826</span></span></b><span style="font-family: Tahoma;">
ตัวหนังสือไทยของพ่อขุนรามคำแหงมหาราชมีลักษณะพิเศษกว่าตัวหนังสือของชาติอื่นซึ่งขอยืมตัวหนังสือของอินเดียมา
ใช้ กล่าวคือ พระองค์ได้ทรงประดิษฐ์พยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์
เพิ่มขึ้นให้สามารถเขียนแทนเสียงพูดของคำในภาษาไทยได้ทุกคำ
กับทั้งได้นำสระและพยัญชนะมาอยู่ในบรรทัดเดียวกันโดยไม่ต้องใช้พยัญชนะซ้อน กัน
ทำให้เขียนและอ่านหนังสือไทยได้ง่ายและสะดวกมากขึ้น</span></span></span><br /><br /><span style="font-family: Verdana;"><span style="font-size: small;"><span style="font-family: Tahoma;">วรรณกรรมสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชสูญหายไปหมดแล้ว
คงเหลือแต่ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง (พ.ศ. </span><span style="font-family: Tahoma;">1835)
ซึ่งแม้จะมีข้อความเป็นร้อยแก้ว แต่ก็มีสัมผัสคล้องจองทำให้ไพเราะซาบซึ้งตรึงใจ
เช่น</span></span></span><br /><br /><span style="font-family: Tahoma;"><span style="color: #1f497d;"><span style="font-family: Verdana;"><span style="font-size: small;">…ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว…ลูท่างเพื่อนจูงวัวไปค้า
ขี่ม้าไปขาย…เห็นข้าวท่านบ่ใคร่พิน เห็นสินท่านบ่ใคร่เดือด
</span></span></span></span><br /><br /><span style="font-family: Tahoma;"><span style="font-family: Verdana;"><span style="font-size: small;">นับเป็นวรรณคดีเริ่มแรกของกรุงสุโขทัยซึ่งตกทอดมาถึงปัจจุบันโดยมิได้มีผู้คัดลอกให้ผิดเพี้ยนไปจากเดิม</span></span></span><br /><br /><br /><br />
<br />
<div align="left">
<span style="font-family: Verdana;"><span style="font-size: small;"><b><span style="color: #c00000;"><span style="font-family: Tahoma;">พระยาลิไท (พระมหาธรรมราชาที่ </span></span></b><b><span style="color: #c00000;"><span style="font-family: Tahoma;">1)</span></span></b></span></span></div>
<br /><br /><b><span style="color: #1f497d;"><span style="font-family: Tahoma;"><a href="http://www.chaoprayanews.com/wp-content/uploads/2009/03/normal_buddha001.jpg" target="_blank"><span style="font-family: Verdana;"><span style="font-size: small;"><img alt="" border="0" src="http://www.chaoprayanews.com/wp-content/uploads/2009/03/normal_buddha001-208x300.jpg" /></span></span></a></span></span></b><br /><br /><span style="font-family: Verdana;"><span style="font-size: small;"><b><span style="color: #1f497d;"><span style="font-family: Tahoma;">พญาลิไท หรือ
พระยาลิไท หรือ พระศรีสุริยพงศ์รามมหาราชาธิราช หรือพระมหาธรรมราชาที่
</span></span></b><b><span style="color: #1f497d;"><span style="font-family: Tahoma;">1</span></span></b><span style="font-family: Tahoma;"> (ครองราชย์ พ.ศ. 1897 – พ.ศ.
1919) พระมหากษัตริย์อาณาจักรสุโขทัยราชวงศ์พระร่วงลำดับที่ 5 พระโอรสพญาเลอไท
และพระราชนัดดาของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช</span></span></span><br /><br /><span style="font-family: Verdana;"><span style="font-size: small;"><span style="color: #1f497d;"><span style="font-family: Tahoma;">พญาลิไทเป็นกษัตริย์องค์ที่ </span></span><span style="color: #1f497d;"><span style="font-family: Tahoma;">6 แห่งกรุงสุโขทัย</span></span><span style="font-family: Tahoma;">
ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระยางัวนำถม จากหลักฐานในศิลาจารึกวัดพระมหาธาตุ พ.ศ.
</span><span style="font-family: Tahoma;">1935 หลักที่ 8 ข. ค้นพบเมื่อ พ.ศ. 2499 ได้กล่าวว่า
เมื่อพระยาเลอไทสวรรคต ใน พ.ศ. 1884 พระยางัวนำถมได้ขึ้นครองราชย์
ต่อมาพระยาลิไทยกทัพมาแย่งชิงราชสมบัติได้ และขึ้นครองราชย์ใน พ.ศ. 1890
ทรงพระนามว่า พระศรีสุริยพงสรามมหาธรรมราชาธิราช ในศิลาจารึกมักเรียกพระนามเดิมว่า
“พระยาลิไท” หรือเรียกย่อว่า พระมหาธรรมราชาที่
1</span></span></span><br /><br /><span style="font-family: Verdana;"><span style="font-size: small;"><b><span style="color: #1f497d;"><span style="font-family: Tahoma;">พญาลิไททรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก</span></span></b><span style="font-family: Tahoma;"> ทรงผนวชในพระพุทธศาสนาเมื่อ พ.ศ. </span><span style="font-family: Tahoma;">1905
ที่วัดป่ามะม่วง นอกเมืองสุโขทัยทางทิศตะวันตก
ทรงอาราธนาพระสามิสังฆราชจากลังกาเข้ามาเป็นสังฆราชใน กรุงสุโขทัย
เผยแพร่เพิ่มความเจริญให้แก่พระศาสนามากยิ่งขึ้น <span style="color: #1f497d;">ทรงสร้างและบูรณะวัดมากมายหลายแห่ง
รวมทั้งการสร้างพระพุทธรูปเป็นจำนวนมาก</span> เช่น <b>พระพุทธชินสีห์
พระศรีศาสดา</b> และพระพุทธรูปองค์สำคัญองค์หนึ่งของประเทศคือ <b>พระพุทธชินราช</b>
ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร</span></span></span><br /><br /><span style="font-family: Verdana;"><span style="font-size: small;"><span style="font-family: Tahoma;">ทรงทำนุบำรุงบ้านเมืองให้เจริญหลายประการ เช่น
สร้างถนนพระร่วงตั้งแต่เมืองศรีสัชนาลัยผ่านกรุงสุโขทัยไปถึงเมืองนครชุม
(กำแพงเพชร) บูรณะเมืองนครชุม สร้างเมืองสองแคว (พิษณุโลก) เป็นเมืองลูกหลวง
</span><span style="font-family: Tahoma;">ด้านอักษรศาสตร์ทรงพระปรีชาสามารถนิพนธ์<b><span style="color: #1f497d;">หนังสือไตรภูมิพระร่วง</span></b>ที่นับเป็นงานนิพนธ์ที่เก่าแก่ที่สุดเรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย</span></span></span><br /><br /><br /><span style="font-family: Tahoma;">----------------------------</span><br /><span style="font-family: Tahoma;">ขอบคุณที่มา
:::</span><br /><a href="http://www.chaoprayanews.com/2009/03/26/%e0%b8%9e%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b8%a1%e0%b8%ab%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b8%a9%e0%b8%b1%e0%b8%95%e0%b8%a3%e0%b8%b4%e0%b8%a2%e0%b9%8c%e0%b8%aa%e0%b8%a1%e0%b8%b1%e0%b8%a2%e0%b8%81%e0%b8%a3%e0%b8%b8%e0%b8%87-3/" target="_blank"><span style="color: blue;">พระมหากษัตริย์สมัยกรุงสุโขทัย | สำนักข่าวเจ้าพระยา</span></a></span><br />pinkhttp://www.blogger.com/profile/06273115781979449593noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8638023715322892693.post-70824374413609451352013-03-05T13:52:00.001+07:002013-03-05T13:52:11.861+07:00พระสยามเทวาธิราช<h1 class="firstHeading" id="firstHeading" lang="th">
<span dir="auto">พระสยามเทวาธิราช</span></h1>
<!-- /firstHeading --><!-- bodyContent --><div id="bodyContent">
<!-- tagline --><div id="siteSub">
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี</div>
<!-- /tagline --><!-- subtitle --><div id="contentSub">
</div>
<!-- /jumpto --><!-- bodycontent --><div class="mw-content-ltr" dir="ltr" id="mw-content-text" lang="th">
<table style="float: right;"><tbody>
<tr><td><div style="float: right; font-family: lucida grande, sans-serif; font-size: 90%; line-height: 1.4em; margin: 0px 0px 1em 1em; text-align: center; width: auto;">
<table style="background: rgb(249, 249, 249); border: 1px solid rgb(204, 210, 217); padding: 0.5em; text-align: center; width: 270px;"><tbody>
<tr><td style="background: rgb(255, 200, 0); font-size: 135%; line-height: 1.1em; margin-left: inherit; padding-bottom: 0.5em;"><b>พระสยามเทวาธิราช</b></td></tr>
<tr><td><table style="margin: 0px auto; text-align: center;"><tbody>
<tr><td style="border: 0px currentColor; vertical-align: middle;"><a class="image" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%A5%E0%B9%8C:%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A.jpg"><img alt="พระสยามเทวาธิราช.jpg" height="349" src="http://upload.wikimedia.org/wikipedia/th/thumb/c/cd/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A.jpg/240px-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A.jpg" srcset="//upload.wikimedia.org/wikipedia/th/c/cd/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A.jpg 1.5x, //upload.wikimedia.org/wikipedia/th/c/cd/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A.jpg 2x" width="240" /></a></td></tr>
<tr><td style="font-size: 95%;"></td></tr>
</tbody></table>
</td></tr>
<tr><td style="background: rgb(255, 200, 0);"><b>ข้อมูลทั่วไป</b></td></tr>
<tr><td><table cellpadding="0" cellspacing="0" style="border-collapse: collapse; font-size: 100%; padding: 0px; table-layout: auto; text-align: left;"><tbody>
<tr><td style="padding: 0.4em 1em 0.4em 0px; text-align: left; vertical-align: top;"><b>ชื่อเต็ม</b></td><td style="padding: 0.4em 1em 0.4em 0px; text-align: left; vertical-align: top;">พระสยามเทวาธิราช</td></tr>
<tr><td style="padding: 0.4em 1em 0.4em 0px; text-align: left; vertical-align: top;"><b>ชื่อสามัญ</b></td><td style="padding: 0.4em 1em 0.4em 0px; text-align: left; vertical-align: top;">พระสยามเทวาธิราช</td></tr>
<tr><td style="padding: 0.4em 1em 0.4em 0px; text-align: left; vertical-align: top;"><b><a class="new" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A0%E0%B8%97%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%96%E0%B8%B8&action=edit&redlink=1" title="ประเภทของพุทธศาสนวัตถุ (หน้านี้ไม่มี)">ประเภท</a></b></td><td style="padding: 0.4em 1em 0.4em 0px; text-align: left; vertical-align: top;"><a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B" title="เทวรูป">เทวรูป</a></td></tr>
<tr><td style="padding: 0.4em 1em 0.4em 0px; text-align: left; vertical-align: top;"><b>ศิลปะ</b></td><td style="padding: 0.4em 1em 0.4em 0px; text-align: left; vertical-align: top;">กษัตริยาธิราช</td></tr>
<tr><td style="padding: 0.4em 1em 0.4em 0px; text-align: left; vertical-align: top;"><b>ขนาด</b><br />• ความกว้าง<br />• ความสูง</td><td style="padding: 0.4em 1em 0.4em 0px; text-align: left; vertical-align: top;"><br />2 นิ้ว<br />8 นิ้ว</td></tr>
<tr><td style="padding: 0.4em 1em 0.4em 0px; text-align: left; vertical-align: top;"><b>วัสดุ</b></td><td style="padding: 0.4em 1em 0.4em 0px; text-align: left; vertical-align: top;"><a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B3" title="ทองคำ">ทองคำ</a>แท้</td></tr>
<tr><td style="padding: 0.4em 1em 0.4em 0px; text-align: left; vertical-align: top;"><b>สถานที่ประดิษฐาน</b></td><td style="padding: 0.4em 1em 0.4em 0px; text-align: left; vertical-align: top;"><a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B4%E0%B8%93" title="พระที่นั่งไพศาลทักษิณ">พระที่นั่งไพศาลทักษิณ</a> <a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87" title="พระบรมมหาราชวัง">พระบรมมหาราชวัง</a></td></tr>
<tr><td style="padding: 0.4em 1em 0.4em 0px; text-align: left; vertical-align: top;"><b>ความสำคัญ</b></td><td style="padding: 0.4em 1em 0.4em 0px; text-align: left; vertical-align: top;">สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง <a class="mw-redirect" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B9%8C" title="กรุงรัตนโกสินทร์">กรุงรัตนโกสินทร์</a></td></tr>
<tr><td style="padding: 0.4em 1em 0.4em 0px; text-align: left; vertical-align: top;"><b>หมายเหตุ</b></td><td style="padding: 0.4em 1em 0.4em 0px; text-align: left; vertical-align: top;"></td></tr>
</tbody></table>
</td></tr>
</tbody></table>
</div>
</td></tr>
</tbody></table>
<b>พระสยามเทวาธิราช</b> เป็น<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B" title="เทวรูป">เทวรูป</a> หล่อด้วย<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B3" title="ทองคำ">ทองคำ</a>สูง ๘ นิ้ว ประทับยืนทรงเครื่องกษัตริยาธิราช ทรงฉลองพระองค์อย่างเครื่องของ<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B9%8C" title="เทพารักษ์">เทพารักษ์</a> มี<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%8E" title="มงกุฎ">มงกุฎ</a>เป็น<a class="new" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A0%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C&action=edit&redlink=1" title="เครื่องศิราภรณ์ (หน้านี้ไม่มี)">เครื่องศิราภรณ์</a> พระหัตถ์ขวาทรงพระแสงขรรค์ พระหัตถ์ ซ้ายยกขึ้นจีบดรรชนีเสมอพระอุระ องค์พระสยามเทวาธิราชประดิษฐานอยู่ในเรือนแก้วทำด้วย<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%99%E0%B9%8C" title="ไม้จันทน์">ไม้จันทน์</a> ลักษณะแบบวิมาน<a class="new" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B9%8B%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%99&action=edit&redlink=1" title="เก๋งจีน (หน้านี้ไม่มี)">เก๋งจีน</a> มีคำจารึกเป็นภาษาจีนที่ผนังเบื้องหลัง แปลว่า "ที่สถิตย์แห่งพระสยามเทวาธิราช" เรือนแก้วเก๋งจีนนี้ประดิษฐานอยู่ในมุขกลางของพระวิมานไม้แกะสลักปิดทอง ตั้งอยู่เหนือลับแลบัง<a class="new" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A8%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B9%8C&action=edit&redlink=1" title="พระทวารเทวราชมเหศวร์ (หน้านี้ไม่มี)">พระทวารเทวราชมเหศวร์</a> ตอนกลาง<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B4%E0%B8%93" title="พระที่นั่งไพศาลทักษิณ">พระที่นั่งไพศาลทักษิณ</a> ใน<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87" title="พระบรมมหาราชวัง">พระบรมมหาราชวัง</a><br />
พระวิมานไม้แกะสลักปิดทองนี้ เรียกว่า <b>พระวิมานไม้แกะสลักปิดทองสามมุข</b> ด้านหน้าขององค์พระสยามเทวาธิราชตั้งรูป<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%B5" title="พระสุรัสวดี">พระสุรัสวดี</a> หรือพระพราหมี เทพเจ้าแห่งการดนตรีและขับร้อง มุขตะวันออกของพระวิมาน ตั้งรูป<a class="mw-redirect" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%A7%E0%B8%A3" title="พระอิศวร">พระอิศวร</a>และ<a class="mw-redirect" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%B2" title="พระอุมา">พระอุมา</a> มุขตะวันตกของพระวิมาน ตั้งรูป<a class="mw-redirect" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%93%E0%B9%8C" title="พระนารายณ์">พระนารายณ์</a>ทรง<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%91" title="ครุฑ">ครุฑ</a><br />
<h2>
<span class="mw-headline" id=".E0.B8.9B.E0.B8.A3.E0.B8.B0.E0.B8.A7.E0.B8.B1.E0.B8.95.E0.B8.B4">ประวัติ</span></h2>
<a class="mw-redirect" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%B9%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%A2_%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%A5" title="หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล">หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล</a> พระธิดาใน<a class="mw-redirect" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%AD_%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E" title="สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ">สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ</a> ทรงเล่าว่า <a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A7" title="พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว">พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว</a>ทรงโปรดการศึกษาประวัติศาสตร์ ทรงมีพระราชดำริว่าประเทศไทยมีเหตุการณ์ที่เกือบจะต้องเสียอิสรภาพมาหลายครั้ง แต่เผอิญให้มีเหตุรอดพ้นภยันตรายมาได้เสมอ คงจะมีเทพยดาที่ศักดิ์สิทธิ์คอยอภิบาลรักษาอยู่ สมควรที่จะทำรูปเทพยดาองค์นั้นขึ้นสักการบูชา จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%98%E0%B8%AD_%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3" title="พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐวรการ">พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐวรการ</a>ปั้นหล่อเทวรูปสมมุติขึ้น ถวายพระนามว่าพระสยามเทวาธิราช ประดิษฐาน ณ <a class="new" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1&action=edit&redlink=1" title="พระที่นั่งทรงธรรม (หน้านี้ไม่มี)">พระที่นั่งทรงธรรม</a>ในหมู่พระที่นั่งพุทธมณเฑียร ใน<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%A0%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%8C%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%A8%E0%B8%99%E0%B9%8C" title="พระอภิเนาว์นิเวศน์">พระอภิเนาว์นิเวศน์</a><br />
<br /><br />
<div class="thumb tleft">
<div class="thumbinner" style="width: 252px;">
<a class="image" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%A5%E0%B9%8C:%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B4%E0%B8%93.jpg"><img alt="" class="thumbimage" height="167" src="http://upload.wikimedia.org/wikipedia/th/thumb/9/96/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B4%E0%B8%93.jpg/250px-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B4%E0%B8%93.jpg" srcset="//upload.wikimedia.org/wikipedia/th/thumb/9/96/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B4%E0%B8%93.jpg/375px-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B4%E0%B8%93.jpg 1.5x, //upload.wikimedia.org/wikipedia/th/thumb/9/96/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B4%E0%B8%93.jpg/500px-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B4%E0%B8%93.jpg 2x" width="250" /></a><div class="thumbcaption">
<div class="magnify">
<a class="internal" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%A5%E0%B9%8C:%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B4%E0%B8%93.jpg" title="ขยาย"><img alt="" height="11" src="http://bits.wikimedia.org/static-1.21wmf10/skins/common/images/magnify-clip.png" width="15" /></a></div>
<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B4%E0%B8%93" title="พระที่นั่งไพศาลทักษิณ">พระที่นั่งไพศาลทักษิณ</a> สถานที่<a class="new" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%99&action=edit&redlink=1" title="ประดิษฐาน (หน้านี้ไม่มี)">ประดิษฐาน</a>พระวิมาน<b>พระสยามเทวาธิราช</b> (ทางด้านขวาของภาพ)</div>
</div>
</div>
หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล ทรงพระนิพนธ์ไว้ว่า<br />
<i>"...ตอนมหาอำนาจทางตะวันตกทำการเปิดประตูค้ากับพวกตะวันออก ในระยะเวลาต้นๆศตวรรษที่ ๑๙ ของคริสต์ศักราชนั้น พวกเมืองข้างเคียงไม่รู้ทันเหตุการณ์ภายนอกว่า ทางตะวันตกมีอำนาจปืนเรือพอที่จะเอาชนะได้อย่างง่ายดาย จึงพากันไม่ยอมทำสัญญาด้วย ซ้ำยังขับไล่ ใช้อำนาจจนเกิดเป็นสงครามขึ้น ก็เป็นธรรมดาที่คนมีแต่มีดจะต้องแพ้ผู้มีปืน แล้วถูกเป็นเมืองขึ้นไปโดยสะดวก ฝ่ายทางเมืองไทยเรานั้นมหาอำนาจตกลงกันให้<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3" title="สหราชอาณาจักร">อังกฤษ</a>มาเป็นผู้เปิดประตูทำสัญญาค้าขาย ซึ่งตามที่จริงก็เคยมีไมตรีกันมาแต่ครั้ง<a class="mw-redirect" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%98%E0%B8%A2%E0%B8%B2" title="กรุงศรีอยุธยา">กรุงศรีอยุธยา</a>แล้ว แต่เมื่อบ้านเมืองมีเหตุการณ์ศึกสงครามเกิดขึ้นชาวต่างประเทศไปมาค้าขายไม่สะดวกได้ ก็จำต้องหยุดการติดต่อกันไปเป็นพัก ๆ การเป็นเช่นนี้แก่ทุกบ้านทุกเมือง ฉะนั้น เมื่อเสร็จศึกกับพม่าในรัชกาลที่ ๑ แล้ว ถึงรัชกาลที่ ๒ ชาว<a class="mw-redirect" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%82%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%AA" title="โปรตุเกส">โปรตุเกส</a>ก็เข้ามาจากเมือง<a class="mw-redirect" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B9%8A%E0%B8%B2" title="มาเก๊า">มาเก๊า</a> เพื่อขอทำสัญญาค้าขายใน พ.ศ. ๒๓๖๓ โปรดเกล้าฯ ให้รับสัญญาเพราะเรายังต้องการซื้อปืนไฟจากชาวตะวันตกอยู่ ต่อมาอีก ๒ ปี มิสเตอร์ จอน ครอเฟิด (John Grawford) ทูตอังกฤษเข้ามาขอทำสัญญาจากผู้สำเร็จราชการ<a class="mw-redirect" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2" title="อินเดีย">อินเดีย</a>ใน พ.ศ. ๒๓๖๕</i><br />
<i>ถึงรัชกาลที่ ๓ อังกฤษเกิดรบกันขึ้นกับ<a class="mw-redirect" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%B2" title="พม่า">พม่า</a>เป็นครั้งแรก ครั้นชนะแล้วจึงให้กัปตันเฮนรี่ เบอร์เนย์ (Henry Burney) เข้ามาทำสัญญาเมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๘ ทูต<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99" title="อเมริกัน">อเมริกัน</a> มิสเตอร์ เอ็ดมอนด์ โรเบิต (Edmond Robert) เข้ามาทำสัญญาเมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๕ มิสเตอร์ริดชัน (Ridson) ทูตอังกฤษเข้ามาทำสัญญาขอซื้อช้างเมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๑ และเซอร์เจมส์ บรู้ค (Sir Jame Brooks) ผู้เคยเป็นรายา (White Raja) ผู้ครองเกาะ<a class="new" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%8B%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%84&action=edit&redlink=1" title="ซาราวัค (หน้านี้ไม่มี)">ซาราวัค</a> (Sarawak) เข้ามาขอทำสัญญาอีกเมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ. ๒๓๙๓ ซึ่งเป็นปีที่<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A7" title="พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว">พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว</a> รัชกาลที่ ๓ เสด็จสวรรคต รวมทูตอังกฤษที่เข้ามาทำสัญญากับเมืองไทยถึง ๔ ครั้ง แต่ก็ได้ทำแต่เรื่อง เล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นเรื่องผ่านแดนไทยกับพม่า และสัญญาซื้อขายช้าง ม้า และแลกเปลี่ยนสินค้าบางอย่าง ไม่ได้ทำสัญญากับเมืองไทยโดยตรงอย่างเมืองอื่น ๆ ส่วนทางเมืองไทยก็ยังไม่มีใครเชื่อว่าจะมีผู้ใดจะเกะกะทางนี้ได้ บางคนนึกเลยไปว่าเหล็กจะลอยน้ำได้อย่างไร ในเมื่อมีใครมาเล่าว่าทางมหาอำนาจตะวันตกนั้นมีเรือรบที่ทำด้วยเหล็ก ไทยจึงไม่เต็มใจจะเปิดประตูค้ากับผู้ใด ๆ ทั้งสิ้น เป็นแต่รับข้อที่จำเป็นในเวลานั้นเท่านั้น แต่ในที่สุดเราก็ได้พบรายงานของเซอร์เจมส์ บรู๊ค ผู้ซึ่งเข้ามาครั้งสุดท้ายในรัชกาลที่ ๓ ว่า</i><br />
<i><b>‘..พระเจ้าแผ่นดินกำลังเสด็จอยู่บนพระแท่นสวรรคต และพระองค์ที่จะทรงเสวยราชย์ใหม่ก็มีหวังจะพูดกันได้เรียบร้อย ฉะนั้น จึงขอรอการใช้กำลังบังคับไว้ก่อน...’</b></i><br />
<i>ตามรายงานนี้เห็นได้ชัดว่า เขาเตรียมจะใช้กำลังกับเราอยู่แล้ว เผอิญให้เกิดมีการสวรรคตและเปลี่ยนแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นมาเสวยราชย์ในเวลาที่ทรงทราบเหตุการณ์นอกประเทศดีอยู่แล้ว เพราะทรงมีเวลาศึกษาเพียงพอ ในเวลาที่ทรงผนวชเป็นพระภิกษุถึง ๒๗ ปี พอเสวยราชย์ได้ ๔ ปี เซอร์จอน โบว์ริง (Sir John Bowring) เจ้าเมือง<a class="mw-redirect" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AE%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%87" title="ฮ่องกง">ฮ่องกง</a> ก็มีจดหมายส่วนตัวเข้ามากราบทูลว่า คราวนี้ตัวเขาจะเข้ามาเป็นราชทูตแทน<a class="mw-redirect" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%96%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3" title="สมเด็จพระบรมราชินีนาถวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร">พระองค์ควีน วิคตอเรีย</a> ไม่ใช่เป็นแต่เพียงทูตมาจากผู้สำเร็จราชการอินเดียเช่นคนก่อน ๆ เพราะฉะนั้นจึงหวังว่าจะไม่มีเรื่องเดือดร้อนถึงต้องขัดใจกัน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทราบข้อไขอันนี้ดี จึงเปิดประตูรับในฐานะมิตร และเป็นผลให้เราได้พ้นภัยมาได้แต่ผู้เดียวในทางตะวันออกประเทศนี้</i><br />
<div class="thumb tleft">
<div class="thumbinner" style="width: 152px;">
<a class="image" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%A5%E0%B9%8C:%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A_%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8C%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88_%E0%B8%93_%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B4%E0%B8%93.jpg"><img alt="" class="thumbimage" height="218" src="http://upload.wikimedia.org/wikipedia/th/thumb/8/8e/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A_%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8C%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88_%E0%B8%93_%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B4%E0%B8%93.jpg/150px-thumbnail.jpg" srcset="//upload.wikimedia.org/wikipedia/th/thumb/8/8e/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A_%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8C%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88_%E0%B8%93_%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B4%E0%B8%93.jpg/225px-thumbnail.jpg 1.5x, //upload.wikimedia.org/wikipedia/th/thumb/8/8e/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A_%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8C%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88_%E0%B8%93_%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B4%E0%B8%93.jpg/300px-thumbnail.jpg 2x" width="150" /></a><div class="thumbcaption">
<div class="magnify">
<a class="internal" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%A5%E0%B9%8C:%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A_%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8C%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88_%E0%B8%93_%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B4%E0%B8%93.jpg" title="ขยาย"><img alt="" height="11" src="http://bits.wikimedia.org/static-1.21wmf10/skins/common/images/magnify-clip.png" width="15" /></a></div>
พระสยามเทวาธิราช ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ ณ <a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B4%E0%B8%93" title="พระที่นั่งไพศาลทักษิณ">พระที่นั่งไพศาลทักษิณ</a> ใน<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87" title="พระบรมมหาราชวัง">พระบรมมหาราชวัง</a></div>
</div>
</div>
<i>..เมื่อเหตุการณ์เรียบร้อยแล้ว ทรงพระราชดำริว่า เมืองไทยเรานี้มีเหตุการณ์หวิด ๆ จะต้องเสียอิสรภาพมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่เผอิญให้มีเหตุรอดพ้นได้เสมอมา ชะรอยจะมีเทพยดาองค์ใดองค์หนึ่งที่คอยพิทักษ์รักษาอยู่ จึงสมควรจะทำรูปเทพพระองค์นั้นขึ้น ไว้สักการบูชา แล้วโปรดให้พระองค์เจ้าดิษฐวรการ (หม่อมเจ้ารัชกาลที่ ๑) นายช่างเอกทรงปั้นรูปเทพพระองค์นั้น เป็นรูปทรงต้นยืนถือพระขรรค์ในพระหัตถ์ขวา ขนาด ๘ นิ้วฟุตงดงามได้สัดส่วนแล้วหล่อด้วยทองคำแท่งทั้งพระองค์ ทรงถวายพระนาม "พระสยามเทวาธิราช" แล้วประดิษฐานไว้ในพระวิมานกลางพระที่นั่งไพศาลทักษิณจนทุกวันนี้ ท่านผู้ใหญ่ชั้นคุณย่าของข้าพเจ้าเล่าว่า ในรัชกาลที่ ๔ ทรงถวายเครื่องสังเวยเป็นราชสักการะทุกวัน และเป็นที่นับถือกันว่าศักดิ์สิทธิ์นัก บัดนี้เนื่องแต่ทางพระราชสำนักต้องตัดทอนรายจ่ายมากมายมาแต่ในรัชกาลที่ ๗ จึงคงยังมีเครื่องสังเวยถวายแต่เฉพาะวันอังคาร และวันเสาร์ อาทิตย์ละ ๒ ครั้ง และในเวลาปีใหม่ก็มีการบวงสรวงสังเวยเป็นพิธีใหม่ มีละครรำของกรมศิลปากรในเวลาเช้าวันสังเวยนั้น..</i><br />
<i>..อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ต่าง ๆ ดังเราท่านได้ประสบมาด้วยตนเอง ยิ่งนานวันก็ยิ่งเห็นว่าพระสยามเทวาธิราชนั้นมีจริง เราจงพร้อมใจกันอธิษฐานด้วยกุศลผลบุญที่เราได้ทำมาแล้วด้วยดี ขอให้เทพเจ้าอันศักดิ์สิทธิ์พระองค์นี้ จงได้ทรงคุ้มครองป้องกันภัย และโปรดประสิทธิ์ประสาทความสมบูรณ์พูนสุขให้แก่ประชาชนชาวสยามทั่วกันเทอญ.."</i><br />
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงถวายเครื่องสังเวยเป็นราชสักการะเป็นประจำวัน เครื่องสังเวยที่ถวายเป็นประจำนั้น จะถวายเฉพาะวันอังคาร และวันเสาร์ก่อนเวลาเพล โดยจะมีพนักงานฝ่ายพระราชฐานชั้นใน เป็นผู้เชิญเครื่องตั้งสังเวยบูชา เครื่องสังเวยประกอบด้วย ข้าวสุกหนึ่งถ้วยเชิง หมูนึ่งหนึ่งชิ้น พร้อมด้วยน้ำพริกเผา ปลานึ่งหนึ่งชิ้นพร้อมด้วยน้ำจิ้ม ขนมต้มแดงและขนมต้มขาว กล้วยน้ำว้า มะพร้าวอ่อนหนึ่งผล ผลไม้ตามฤดูกาลสองอย่าง และน้ำสะอาดอีกหนึ่งถ้วย ทรงโปรดเกล้า ฯ ให้จัดพระราชพิธีสังเวยเทวดา ในวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ ของทุกปี<br />
<div class="thumb tright">
<div class="thumbinner" style="width: 252px;">
<a class="image" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%A5%E0%B9%8C:%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A7.jpg"><img alt="" class="thumbimage" height="376" src="http://upload.wikimedia.org/wikipedia/th/thumb/7/76/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A7.jpg/250px-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A7.jpg" srcset="//upload.wikimedia.org/wikipedia/th/7/76/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A7.jpg 1.5x, //upload.wikimedia.org/wikipedia/th/7/76/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A7.jpg 2x" width="250" /></a><div class="thumbcaption">
<div class="magnify">
<a class="internal" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%A5%E0%B9%8C:%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A7.jpg" title="ขยาย"><img alt="" height="11" src="http://bits.wikimedia.org/static-1.21wmf10/skins/common/images/magnify-clip.png" width="15" /></a></div>
พระบรมรูป<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A7" title="พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว">พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว</a> ซึ่ง<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%A5%E0%B8%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A7" title="พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว">พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว</a>ฯ ทรงพระกรุณาโปรดฯ ให้สร้างขึ้นเลียนแบบพระสยามเทวาธิราชแต่แปลงเค้าพระพักตร์ให้เหมือนสมเด็จ พระชนกาธิราช เพื่อทรงสักการะ พระบรมรูปองค์นี้ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ <a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%99" title="พระที่นั่งอัมพรสถาน">พระที่นั่งอัมพรสถาน</a> <a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B8%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%95" title="พระราชวังดุสิต">พระราชวังดุสิต</a></div>
</div>
</div>
ต่อมาในสมัย <a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%A5%E0%B8%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A7" title="พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว">พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว</a> ทรงมีพระราชดำริว่า พระอภิเนาว์นิเวศน์พระพุทธมณเฑียร และพระที่นั่งทรงธรรม ซึ่งเป็นโครงสร้างเสาไม้หุ้มปูน ที่ได้สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ชำรุดทรุดโทรมลงมาก ยากที่จะบูรณะให้คงสภาพเดิมไว้ได้ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รื้อลงทั้งหมด และอัญเชิญพระสยามเทวาธิราชไปประดิษฐานไว้ ณ พระวิมานทองสามมุขเหนือลับแลบังพระทวารเทวราชมเหศวร์ ในพระที่นั่งไพศาลทักษิณ ตราบจนถึงทุกวันนี้<br />
พระราชพิธีบวงสรวงใหญ่พระสยามเทวาธิราช ตามประเพณีกำหนดไว้ในวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ ของทุกปี อันเป็นวันขึ้นปีใหม่ตามจันทรคติแบบโบราณ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%AF_%E0%B8%AA%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B5" title="สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี">สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี</a> หรือพระราชวงศ์ชั้นผู้ใหญ่เสด็จแทนพระองค์มาทรงถวายเครื่องสังเวยเป็นราชสักการะพระสยามเทวาธิราช และมีละครในจากกรมศิลปากรรำถวาย<br />
ระหว่างวันที่ ๗ - ๓๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๕ เมื่อครั้งฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เชิญพระสยามเทวาธิราชจากพระวิมานในพระที่นั่งไพศาลทักษิณ ขึ้นเสลี่ยงโดยประทับบนพานทอง ๒ ชั้น สู่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ประดิษฐาน ณ บุษบกมุขเด็จ เพื่อทรงประกอบพระราชพิธีบวงสรวง ในวันพุธที่ ๗ เมษายน ๒๕๒๕ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้สาธุชนเข้าถวายสักการะพระสยามเทวาธิราชหลังเสด็จฯ กลับ จนถึงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๒๕ นับเป็นครั้งแรกที่ประชาชนมีโอกาสได้เข้าถวายสักการะพระสยามเทวาธิราชเฉพาะพระพักตร์</div>
</div>
pinkhttp://www.blogger.com/profile/06273115781979449593noreply@blogger.com0