พ่อท่านคล้ายวาจาสิทธิ์

พ่อท่านคล้ายวาจาสิทธิ์

กษัตริย์ชาวพุทธตัวอย่าง - พระบรมธาตุแบบลังกา

กษัตริย์ชาวพุทธตัวอย่าง -  พระบรมธาตุแบบลังกา

เสด็จในกรมหลวงชุมพร เขตอุดมศักดิ์ ..คลิกตรงรูป อ่านพระประวัติโดยย่อ..

Monday 10 September 2012

พระนางเลือดขาวแม่เจ้าอยู่หัว



ประวัติพระนางเลือดขาวแม่เจ้าอยู่หัวแม่เจ้าอยู่หัว ( พระนางเลือดขาว ) เป็นบุตรคหบดีชาวจังหวัดพัทลุงเชื้อสายลังกา ( คุลา ) มารดาเป็นชาวบ้านเก่าหรือบ้านฆ็อง (บริเวณวัดแม่เจ้าอยู่หัว หมู่ที่ 3 ตำบลแม่เจ้าอยู่หัว อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช) บิดา มารดา มีอาชีพค้าขาย ณ ชุมชนสายหาดแก้ว นครศรีธรรมราช หรือสันทรายเชียรใหญ่ทางทิศใต้ คือบริเวณวัดแม่เจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นชุมชนท่าเรือในสมัยโบราน สถานที่เกิดของนาง คือบ้านเก่าหรือบ้านฆ้อง ประมาณ พ.ศ. 1745แม่เจ้าอยู่หัว(พระนางเลือดขาว) มีพี่น้อง 3 คน คือ ทวดโปชี มีรูปปั้นประดิษฐาน ณ วัดพังยอม พ่อท่านขรัว มีรูปปั้นประดิษฐาน ณ วัดบ่อล้อ และแม่เจ้าอยู่หัว มีรูปปั้นประดิษฐาน ณ วัดแม่เจ้าอยู่หัวแม่เจ้าอยู่หัว(พระนางเลือดขาว) พระนามเดิมไม่ทราบแน่ชัด แต่ได้รับทราบจากคำบอกเล่า บางกระแสเรียกชื่อว่า "กังหรี" บางกระแสไม่ปรากฎพระนามเดิม แม่เจ้าอยู่หัว (พระนางเลือดขาว) มีนิสัย โอบอ้อมอารีเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา เป็นที่รักของบุคคลโดยทั่วไปตั้งแต่เยาว์วัย แม่เจ้าอยู่หัวงามด้วยเบญจกัลยาณี คือ ผมงาม เนื้องาม ฟันงาม ผิวงาม และวัยงาม แม่เจ้าอยู่หัว(พระนางเลือดขาว) มีเลือดเป็นสีขาวมาตั้งแต่กำเนิด บิดา มารดาและผู้ใกล้ชิด ทราบเรื่องนี้มาก่อนแล้วแต่เก็บเป้นความลับเพราะเป็นเรื่องที่แปลกไม่เคยพบเห็นมาก่อนไม่ทราบว่าจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายต่อแม่เจ้าอยู่หัว วันหนึ่งในหมู่บ้านของแม่เจ้าอยู่หัวมีงาน นางได้ไปช่วยงานและทำหน้าที่เจียนหมาก พลู เป็นด้วยปุพเพกปุญญตาบุญซึ่งได้มาสะสมมาดีแล้ว และด้วยบุพเพสันนิวาสที่แม่เจ้าอยู่หัวได้เกิดมามีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ จะได้เป็นเจ้าคนนายคนต่อไป ขณะที่แม่เจ้าอยู่หัวทำหน้าที่เจียนหมาก เจียนพลู กรรไกรได้หนีบนิ้วของแม่เจ้าอยู่หัว มีเลือดไหลออกมาปรากฎเป็นสีขาว ต่อหน้าประชาชนที่มาร่วมงานมากมายตอ่มาจึงมีคนเรียกแม่เจ้าอยู่หัวว่าพระนางเลือดขาว ข่าวแม่เจ้าอยู่หัวมีเลือดสีขาวเลืดออกไปอย่างรวดเร็วจากบ้านต่อบ้าน ตำบลสู่ตำบล เมืองสู่เมือง ในที่สุดข่าวนี้ก็เข้าพระกรรณของพระเจ้าศรีธรรมโศกราชที่ 5 หรือพระเจ้าสีหราช กษัตริย์แห่งนครศรีธรรมราช(กรุงตามพรลิงค์) เมืองนครศรีธรรมราชในขณะนั้นตั้งอยู่ที่เมืองพระเวียง ในขณะเดียวกันพระเจ้าศรีธรรมโศกราชได้ทราบข่าวว่าเมืองทะรังหรือเมืองกันตัง (เมืองตรังปัจจุบัน) ได้แข็งข้อจะไม่ขึ้นต่อการปกครองของเมืองตามพรลิงค์ พระเจ้าศรีธรรมโศกจึงกรีฑาทัพเพื่อไปตีเมืองทะรังและในการเดินทางไปเมืองทะรังนั้นเจ้าเมืองทะรังรู้ล่วงหน้า จึงจัดทัพมาต่อสู้กันที่บ้านทุ่งชน และทำการชนช้างกันที่นั่น (ปัจจุบันอยู่ในอำเภอทุ่งสง) การต่อสู้ปรากฎว่าทัพของเจ้าเมืองทะรังพ่ายแพ้แก่พระเจ้าศรีธรรมโศกราชพระองค์โปรดให้เจ้าเมืองทะรังจัดเครื่องบรรนาการมาถวายที่ทุ่งหญ้าริมเทือกเขานครศรีธรรมราช ก่อนที่พระองค์จะเสด็จกลับเมืองนครศรีธรรมราช (เมืองพระเวียง) เจ้าเมืองทะรังจึงนำเครื่องบรรณาการมาถวายที่ทุ่งกว้างริมเทือกเขาดังกล่าว ชาวบ้านจึงเรียกพื้นที่แห่งนั้นว่า ทุ่งสง คือที่ส่งเครื่องบรรณาการนั่นเอง (อำเภอทุ่งสง ปัจจุบัน) เมื่อพระเจ้าศรีธรรมโศกราชรับเครื่องบรรณาการจากเจ้าเมืองทะรังเสร็จแล้ว จึงเดินทัพกลับสู่เมืองนครศรีธรรมราชพร้อมกับชัยชนะ และเครื่องบรรณาการ ขณะเดินทัพเกิดค่ำระหว่างทางทรงหยุดขบวนทัพพักแรมที่ริมภูเขา พระองค์ทรงพระสุบิน เห็นสตรีมีลักษณะงดงามตามเบญจกัลยาณี มีใจกุศล ซึ่งเป็นคู่บุญบารมีของพระองค์ พำนักอยู่ทางทิศใต้ให้เสด็จไปตามเส้นทางหาดทรายแก้ว และนางมีเลือดไม่เหมือนสตรีโดทั่วไปคือมีเลือดสีขาว ประกอบกับพระองค์ทรงทราบจากคำเล่าลือมาบ้างแล้วพระองค์เสด็จยาตราทัพเข้าเมืองนครศรีธรรมราช นมัสการพระบรมธาตุ เสร็จแล้วจึงจัดขบวนค้นหาพระนางตามพระสุบินและคำเล่าลือ ไปทางทิศใต้ของเมือง โดยประทับช้างทรงชื่อ พลายไสยพร ผ่านบ้านท่าเรือ บ้านจังหูน บ้านหมน พักแรมไพร่พลที่บ้านชะเมา แล้วเดินทางต่อ ทรงแวะนมัสการพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ณ วัดใต้หล้า ตามธรรมเนียมของการเดินทาง ขณะเดินทางช้างในขบวนเสด็จเกิดตกมันอย่างกะทันหันพยายามเกี้ยวพาราสีช้างพังตลอดเวลา พระองค์จึงหยุดพักที่ริมสระใหญ่แห่งหนึ่งเพื่อให้ช้างพลายได้มีโอกาสสมพาสช้างพัง แต่ช้างพังก็หายอมไม่ ต่อมาสระแห่งนี้เรียกว่า บ้านสระช้างใคร่ (ปัจจุบันเรียก บ้านสระไครตามภาษาท้องถิ่น อยู่ในพื้นที่ ตำบลเชียรเขา อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครศรีธรรมราช) รุ่งเช้าเดินทางต่อตามพระสุบิน หลังจากเดินทางได้สักระยะหนึ่งช้างที่ตกมัน อยากจะสมพาสกับช้างพัง พระองค์ให้หยุดพักริมสระน้ำอีกครั้ง ชาวบ้านเรียก บ้านหนองหม้อ ปรากฎว่าครั้งนี้ช้างพังยอมให้ช้างพลายสมพาสด้วย ปัจจุบันสถานที่ดังกล่าวจึงเรียกว่า บ้านพังยอม (ปัจจุบันอยู่ในตำบลสวนหลวง อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครศรีธรรมราช) หลังจากนั้นพระองค์จึงให้ไพร่พลตั้งค่ายพักแรม ใกล้เคียงกับบ้านพังยอม พระองค์ทรงเล่นทอดสกากับบรรดา แม่ทัพนายกอง สถานที่ ที่พระองค์ทรงเล่นทอดสกา ปัจจุบันชาวบ้านเรียกสถานที่ดังกล่าวว่าบ้านสกา อยู่ในเขตตำบลสวนหลวง อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครศรีธรรมราช รุ่งเช้าวันใหม่จึงเดินทางต่อตามพระสุบิน จนกระทั่งขบวนเสด็จ ถึงสำนักพ่อท่านขรัว พระเจ้าศรีธรรมโศกราชทรงเข้าไปนมัสการพ่อท่านขรัว และขอพักแรมที่สำนักพ่อท่านขรัว ในระหว่างที่ทรงพักแรมอยู่นั้น น้องสาวของพ่อท่านขรัวคือพระนางเลือดขาวมารับเสด็จด้วย พระองค์ทอดพระเนตรเห็นพระนางมีความงดงามมาก ตามเบญจกัลยาณี เหมือนที่ทรงพระสุบินไว้ ทำให้พระองค์เกิดความมีพระทัยยิ่งนัก แต่ยังมีอีกอย่างหนึ่งที่พระองค์ทรงพระสุบิน แต่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ คือเลือดสีขาว ด้วยบุญบารมีที่พระองค์จะได้ทราบถึงเลือดสีขาว ขณะที่นางทอผ้า (ทอหูก) เพื่อถวายให้กับพระเจ้าศรีธรรมโศกราช ทำให้ตรน(อุปกรณ์ที่ทำด้วยไม้ใผ่มีความคมมาก ) ได้บาดนิ้วของพระนาง พระองค์ทอดพระเนตรเห็นเลือดของนางออกมาเป็นสีขาว ทำให้พระองค์ทรงปลื้มพระทัยยิ่งนัก ที่พระนางมีลักษณะตรงตามพระสุบินทุกประการ พระองค์จึงทรงเอ่ยพระโอษฐ์ขอพระนางต่อพ่อท่านขรัว ซึ่งเป็นพี่ชายของนาง เพื่อนำพระนางไปเป็นพระนางเมือง ( พระสนม ) ในวัง พ่อท่านขรัวมิอาจทัดทานได้ จึงให้ เป็นไปตามพระราชประสงค์ของพระเจ้าศรีธรรมโศกราช เมื่อพระเจ้าศรีธรรมโศกราชเสด็จกลับสู่เมืองพระเวียงแล้วพระองค์จึงได้มีพระราชโองการให้พราหมณ์ปุโรหิตจัดขบวนหลวงไปสู่ขอพระนางตามประเพณี ในระหว่างที่พระนางอยู่ในวังทำให้สนมอื่นไม่พอใจ เพราะพระนางมีความสวยงามยิ่งกว่าหญิงอื่นใดในวัง พระนางถูกกลั่นแกล้งตลอดเวลา ถูกกล่าวหาต่างๆ นานา แต่พระนางใช้ความอดทน ทำแต่ความดีตลอดเวลาได้ปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าศรีธรรมโศกราช ด้วยความจงรักภักดี ได้ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาและได้ทำคุณประโยชน์ให้กับบ้านเมืองมากมาย เป็นที่รักใคร่ของไพร่ฟ้าประชาชนโดยทั่วไป
พระเจ้าศรีธรรมโศกราชได้เห็นคุณความดีของพระนางจึงได้สถาปนาแม่เจ้าอยู่หัวหรือพระนางเลือดขาวเป็นอัครมเหสี ด้วยเหตุนี้จึงเรียกโดยทั่วไปว่า พระนางเลือดขาวแม่เจ้าอยู่หัว หรือแม่เจ้าอยู่หัวพระนางเลือดขาว หมายถึงผู้อยู่ในฐานะพระมเหสีเอกของพระเจ้าอยู่หัว แต่ปัจจุบันชาวบ้านนิยมเรียกว่า แม่เจ้าอยู่หัวพระนางเลือดขาว ด้วยเหตุที่พระเจ้าศรีธรรมโศกราชได้สถาปนาพระนางเป็นอัครมเหสีหรือแม่เจ้าอยู่หัวพระนางเลือดขาวด้วยคุณความดีของแม่เจ้าอยู่หัว ทำให้พระนางโดดเด่นกว่าสตรีอื่นใดภายในวัง ยิ่งสร้างความไม่พอใจให้สนมกรมวังฝ่ายอื่นเป็นอย่างยิ่ง พระนางถูกกลั่นแกล้งตลอดเวลา แต่พระนางเอาชนะได้ด้วยหลักธรรมของพระพุทธองค์ ในระหว่างที่พระนางทรงเป็นพระมเหสีของพระเจ้าศรีธรรมโศกนั้น พระนางได้ทำนุบำรุงศาสนาโดยการสร้างและปฏิสังขรณ์วัดต่างๆ ไว้มากมาย ทั้งในเมืองนครศรีธรรมราช ( เมืองตามพรลิงค์ ) และเมืองใกล้เคียง วัดที่พระนางสร้างเป็นวัดแรกคือ วัดแม่เจ้าอยู่หัว ประมาณ พ.ศ. 1775 ขณะพระนางมีพระชนมายุ 30 พรรษา ซึ่งเป็นวัดบ้านเกิดของ พระนาง ต่อมาประมาณปี พ.ศ. 1790 พระชมมายุ 45 ปีพระนางได้ปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระเจ้าศรีธรรมโศกราช โดยการเสด็จไปประเทศลังกา เพื่อทรงรับพระพุทธสิหิงค์มายังนครศรีธรรมราช ปี พ.ศ. 1799 พระนางมีพระชนมายุ 55 ปี ได้เสด็จไปยังเมืองสุโขทัย เพื่อจัดระเบียบสงฆ์ฝ่ายฆราวาส ประทับอยู่ที่สุโขทัยนาน 5 ปี จึงเสด็จกลับเมืองนครศรีธรรมราชแต่การเป็นคนดีของแม่เจ้าอยู่หัว หามีความราบรื่นไม่ จะถูกกลั่นแกล้งจากสนมกรมวังอื่นอยู่เป็นประจำ ซึ่งแม่เจ้าอยู่หัวทางทราบในพระทัยดี แต่พระนางยึดมั่นในคุณธรรมความดีมาตลอดและในการเข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิดทุกครั้ง สิ่งหนึ่งที่พระนางขอต่อพระเจ้าศรีธรรมโศกราชคือหากพระนางเป็นอะไรไปหรือสิ้นพระชนม์ลงเมื่อใด ขอให้พระเจ้าศรีธรรมโศกราชนำพระศพกลับบ้านเกิดของพระนาง คือสำนักพ่อท่านขรัว และพระเจ้าศรีธรรมโศกราชทรงรับพระโอษฐ์กับพระนางว่าหากนางมีอันเป็นไป จะสร้างอนุสรณ์สถานให้แก่พระนางที่บ้านเกิดอย่างยิ่งใหญ่สมพระเกียรติ
ต่อมาข่าวความเดือดร้อนที่พระนางถูกกลั่นแกล้งทราบถึงพ่อท่านขรัว ท่านจึงเดินทางไปยังเมืองนครศรีธรรมราช เพื่อขอบิณฑบาตรต่อพระเจ้าศรีธรรมโศกราช ที่หน้าวัง แต่เมื่อนางสนมกรมวังมาตักบาตรพ่อท่านขรัวไม่เปิดบาตรรับ สร้างความสงสัยให้แก่สนมกรมวังเป็นอย่างมาก รุ่งเช้าท่านไปบิณฑบาตอีกก็ไม่เปิดรับบาตร นางสนมกรมวังจึงกราบทูลต่อพระเจ้าศรีธรรมโศกราชพระองค์จึงเสด็จไปทรงบาตรด้วยพระองค์เอง พ่อท่านขรัวไม่รับบิณฑบาตรอีกเหมือเคย พระองค์จึงตรัสถามพ่อท่านขรัวว่าพระคุณเจ้าประสงค์สิ่งใดจงบอกความต้องการ พ่อท่านขรัวถวายพระพรว่า อาตมาขอบิณฑบาตรรับแม่เจ้าอยู่หัวกลับไปอยู่บ้านเดิมเพราะทราบว่าพระนางมีความเดือดร้อน ถูกกลั่นแกล้งตลอด กอปรกับผู้คนแถวนั้นหวังพึ่งบารมี ของพระนาง หากพระองค์ไม่อนุญาตอาตมาก็ไม่ขัดข้อง จากนั้นพ่อท่านขรัวก็ถอยหลังไป 3 ก้าวและเปิดบาตร พระเจ้าศรีธรรมโศกราชก็ทรงบาตรพร้อมกับรับพระโอษฐ์ว่า ทรงอนุญาตแต่ขอเวลาจะต้องสร้างวังให้พระนางที่บ้านเกิดก่อน พระองค์จึงให้ช่างสร้างวังที่บ้านของพระนาง ณ ริมฝั่งแม่น้ำปากพนัง (บ้านในวัง หมู่ที่ 8 ตำบลแม่เจ้าอยู่หัว อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช ปัจจุบัน) เพราะสะดวกในการเดินทางในทางการเดินเรือ คณะที่สร้างวังอยู่นั้น พระนางได้เสด็จไปมาระหว่างเมืองนครศรีธรรมราช กับวังที่สร้างใหม่อยู่เสมอ บางครั้งประทับที่วังชั่วคราวซึ่งกำลังสร้างโดยมีทหารคือ ตาขุนทวน (มีขนทวนขึ้นบน) และตาขุนวังเป็นองครักษ์ ..............ในการสร้างวังให้แม่เจ้าอยู่หัวที่บ้านเดิมเป็นไปด้วยความล่าช้าเพราะพระเจ้าศรีธรรมโศกราชได้ประวิงเวลาไม่อยากให้พระนางกลับบ้านเดิม แต่ไม่ขัดต่อความประสงค์ของพ่อท่านขรัว
.................วังใหม่ของพระนางสร้างด้วยไม้ทั้งหมด พระเจ้าศรีธรรมราช ได้เสด็จมาดูความเรียบร้อยเสมอและได้เสด็จไปนมัสการพระพุทธบาท พระองค์ได้นำขบวนเสด็จข้ามแม่น้ำปากพนังที่ท่าข้ามช้าง ปัจจุบันอยู่ หมู่ที่ 9 ตำบลแม่เจ้าอยู่หัว อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช หลังจากข้ามแม่น้ำปากพนังเรียบร้อยแล้วได้นำช้างไปอาบน้ำ ณ หนองน้ำขนาดใหญ่ปัจจุบันชาวบ้านเรียกหนองช้างเล่น อยู่ในพื้นที่ ตำบลการะเกด อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช ขณะช้างกำลังเล่นน้ำอยู่นั้น ได้เกิดเหตุการณ์โกลาหลขึ้น เมื่อช้างพลายไสยพรได้เกิดตกมันกะทันหัน สุดที่นายหอมควานช้างจะควบคุมได้ช้างพลายไสยพรได้เตลิดเข้าป่า พระองค์สั่งให้ทหารติดตามอย่างกระชั้นชิดตามรอยช้างที่หนีเข้าป่า ใช้เวลาตามสมควรก็ได้พบ ช้างไสยพรล้ม(ตาย)บนเนินสูงภายในป่า พระองค์สั่งให้ทหารฝังศพช้างพลายไสยพรในบริเวณดังกล่าวเลยเรียกบริเวณนั้นว่า บ้านดอนช้างตาย อยู่ในเขตตำบลท่าขนาน อำเภอเชียรใหญ่ ..............ส่วนนายหอมควานช้าง เสียใจมากที่ช้างคู่บารมีล้มสำนึกในความผิดพร้อมรับอาญาและขอตายคู่กับช้างไสยพร แต่พระองค์ไม่ทรงลงโทษ นายหอมควานช้างจึงขอเป็นผู้ทรงศีลบริเวณช้างล้ม พระองค์ไม่สามารถทัดทานได้ จึงยินยอมและได้สร้างวัดให้เป็นอนุสรณ์ต่อมาชาวบ้านเรียก "วัดพระหอม" เพื่อระลึกถึงนายหอมควานช้างผู้ขอเป็นผู้ทรงศีล ณ ที่นั้น วัดพระหอมอยู่ในเขตตำบลบ้านกลาง อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช ปัจจุบัน...............หลังจากนั้นพระองค์ได้เสด็จไปนมัสการพระพุทธบาทบนเทือกเขาพระบาท ตามพระราชประสงค์จึงเสด็จกลับเมืองนครศรีธรรมราช(เมืองพระเวียง)
...............ขณะแม่เจ้าอยู่หัว(พระนางเลือดขาว) เสด็จไปปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระเจ้าศรีธรรมโศกราช ที่เมืองทะรัง(ตรัง) ระหว่างเดินทางพระนางได้ใช้กลดสำหรับประทับแรมปัจจุบันสถานที่แห่งนี้เรียกว่า "บ้านควนกลด" ต่อมาพระนางได้เดินทางต่อและสิ้นพระชนม์ลง ซึ่งตรงกับปี พ.ศ. 1814 พระนางมีพระชนมายุ 70 พรรษา สถานที่พระนางสิ้นพระชนม์และตั้งพระศพเรียกว่า "บ้านควนศพ" อยู่ในเขต อ้ำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช ปัจจุบัน ทำให้พระเจ้าศรีธรรมโศกราชเสียพระทัยมาก...............จากนั้นได้อัญเชิญพระศพกลับสู่นครศรีธรรมราช (เมืองพระเวียง) ตั้งพระศพบำเพ็ญกุศลระยะหนึ่ง ณ วัดท้าวโคตร อันเป็นวัดที่ใกล้วังของพระนาง
...............ด้วยเหตุที่พระองค์ได้รับพระโอษฐ์กับพระนางไว้ก่อนสิ้นพระชนม์ จึงโปรดให้จัดขบวนพระศพ ไปยังบ้นเกิดของพระนางโดยทางน้ำเพื่อสะดวกในการเคลื่อนย้าย ตามเส้นทางของท่าเรือไปออกทะเลปากนคร
..............จากนั้น โปรดให้นำโกฐพระศพขึ้นฝั่ง เพื่อจัดขบวนเรือเสียใหม่ให้สมพระเกียรติและเหมาะสมกับเส้นทาง พื้นที่ดังกล่าวเรียกว่าบ้านหน้าโกฐ อยู่ในเขตอำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ปัจจุบัน
............โดยการจัดเตรียมเรือนาคราชขึ้น 2 ลำเพื่อขนาบเรือพระศพ มีเรือชื่อแม่นางหงส์เป็นเรือลากแม่นางลายเป็นเรือตามขบวน สถานที่สร้างเรือนาคราชสำหรับขนาบเรือพระศพ เรียกว่า " บ้านขนาบนาค" ปัจจุบันอยู่อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช
.............ขบวนพระศพผ่านบ้านปากแพรก ได้ไม่นานนักขบวนเรือพระศพเกิดมหัศจรรย์ไม่ยอมเคลื่อน มีผู้รู้ได้แก้อาเพศขบวนเรือจึงเคลื่อนต่อไปได้ สถานที่แห่งนี้ ปัจจุบันเรียกว่า บ้านสำเภาเคือง อยู่ในเขต อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช ขบวนเสด็จผ่านแม่น้ำปากพนังมาเรื่อยๆ จนถึงสถานที่แห่งหนึ่ง ขบวนพระศพไม่สามารถเคลื่อนขบวนทางน้ำได้ จะต้องนำขบวนพระศพขึ้นทางบก จึงได้ให้ทหารนำพระศพขึ้นฝั่งอีกครั้ง และพระองค์จึงทำให้ไพร่พลตั้งค่าพักแรมบริเวณฝั่งตรงข้ามของลำคลอง ที่ตั้งพระศพปัจจุบันเรียกบ้านท่าศพ ฝั่งตรงข้ามให้ทหารตั้งค่าย หุงข้าวด้วยกระทะใบใหญ่ เพราะไพร่พลมาก ชาวบ้านเรียกบ้านกระทะใหญ่หรือบ้านท่าใหญ่ ( ภาษาใต้กระทะเรียกว่า ท่า ) และได้แยกพื้นที่หุงแกงที่สระใหญ่อีกจุดหนึ่งเรียกสระเกาะแกง ปัจจุบันอยู่ในอำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช
............ในขณะที่พักแรมพระศพของแม่เจ้าอยู่หัว ได้มีชาวบ้านนำเครื่องประโคมมาบรรเลงพระศพอย่างสมพระเกียรติ ชาวบ้านจึงเรียกชุมชนดังกล่าวว่า " บ้านบรรเลง " ต่อมาได้เพี้ยนเป็น " บ้านบาง เหลง " อยู่ในตำบลท้องลำเจียก อำเภอเชียรใหญ่ พระเจ้าศรีธรรมโศกทรงพอพระทัยยิ่งนัก จึงขอรับวงบรรเลงพระศพไปยังสำนักพ่อท่านขรัว ในการจัดงานบำเพ็ญกุศลพระศพอันยิ่งใหญ่อีกครั้ง
.............รุ่งเช้าจึงจัดขบวนพระศพเดินทางต่อทางบก โดยจัดเกวียน 47 เล่มเกวียน โดยมีพ่อท่านขรัวนำทางขบวนพระศพ เส้นทางที่ผ่านเรียกว่า " ทางขรัว " หรือ " ยนตาขรัว " ผ่านคลองขวาง หาดทรายแก้ว ถึงสำนักพ่อท่านขรัว รวมการเดินทางขบวนพระศพทั้งสิ้น 15 วัน
...............เมื่อขบวนพระศพแม่เจ้าอยู่หัวหรือพระนางเลือดขาวถึงสำนักพ่อท่านขรัว พระเจ้าศรีธรรมโศกราช จึงสั่งให้ไพร่พล จัดเตรียมสถานที่ จัดงานบำเพ็ญกุศลพระศพแม่เจ้าอยู่หัวอันยิ่งใหญ่ ทหารจำเป็นจะต้องขุดบ่อน้ำ เพื่อใช้ในงาน ในการขุดบ่อน้ำเป็นไปด้วยความลำบากเพราะเป็นหาดทรายกลบฝั่งไม่สามารถใช้น้ำได้ พระเจ้าศรีธรรมโศกราช ทรงปรึกษาพ่อท่านขรัว ในที่สุดโปรดให้ใช้ล้อเกวียนขบวนเสด็จ ซึ่งกลมกว้างและวงใหญ่ โดยถอดดุมล้อออก ซ้อนทับกันหลายชั้นในบ่อที่ขุดสามารถกั้นทรายได้ดีและใช้น้ำได้ ต่อมาจึงเรียกบ่อดังกล่าวว่า " บ่อล้อ " หมายถึง บ่อที่ทำด้วยล้อนั่นเอง ปัจจุบันอยู่บริเวณวัดบ่อล้อ ตำบลแม่เจ้าอยู่หัว อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช
...............สถานที่ตั้งพระศพแม่เจ้าอยู่หัว ( พระนางเลือดขาว ) และถวายพระเพลิง คือที่สำนักพ่อท่านขรัว ( วัดกุฎิร้าง ) ในโรงเรียนวัดบ่อล้อ ปัจจุบัน ) ซึ่งเยื้องกับวัดบ่อล้อประมาณ 100 เมตร เดิมเป็นพื้นที่เดียวกัน ต่อมาถนนตัดผ่านและราษฎรบุกรุกจนเหลือเนื้อที่ไม่ต่อกัน
...............พ่อท่านขรัวได้แนะนำให้พระเจ้าศรีธรรมโศกราช นำเอาพระอัฐิ และพระอังคาร ไปประดิษฐานไว้ ณ วัดแม่เจ้าอยู่หัว ริมคลองฆ็อง บ้านเก่า เป็นวัดที่พระนางสร้างเป็นวัดแรก พระองค์ทรงโปรดให้นำพระอัฐิและพระอังคารไปบรรจุไว้ในมณฑป ซึ่งสูง 12 วา มีเจดีย์บริวารโดยรอบ และทรงสร้างพระพุทธรูปทองคำ เงิน นาก สัมฤทธิ์ หลายขนาด เพื่อให้สมพระเกียรติ ของพระนางที่ทรงมีคุณความดีอันประเสริฐ และพุทธบูชาของพุทธศาสนิกชนสืบไป
ความเชื่อถือ ความศรัทธา ในบารมีของแม่เจ้าอยู่หัว ( พระนางเลือดขาว ) ......แม่เจ้าอยู่หัว ( พระนางเลือดขาว ) เป็นผู้ที่มีบารมีสูง เปี่ยมไปด้วยคุณธรรม จริยธรรม และมโนธรรมทุกประการ มีเมตตาจิตที่มั่นคง อย่างสม่ำเสมอ ต่อประชาชนโดยทั่วไปตั้งแต่สมัย พระนางยังมีชีวิตอยู่ ได้ช่วยเหลือเกื้อกูล ขจัดปัดเป่าความทุกข์ยาก ของชาวบ้านทุกเขตแขวงที่พระนางอาศัยอยู่ หรือเดินทางผ่านไป ทำให้ประชาชนได้รับความร่มเย็นมาโดยตลอด และเกิดความเชื่อถือ ความศรัทธาต่อบารมีของพระนาง แม้พระนางจะสิ้นชีวิตแล้ว ก็ยังมีประชาชนส่วนใหญ่ทั้งใกล้ไกล ยังเคารพศรัทธา มีความเชื่อมั่นในบารมีอันสูงส่งนี้ ได้มีการบนบานศาลกล่าว ในยามเดือดร้อนที่ได้รับทุกข์ภัยต่างๆ อาทิ เกิดเจ็บไข้ได้ป่วย เกิดขอบสูญหาย ผู้ที่ไม่มีลูกขอให้มีลูกหรือเกิดปัญหาที่แก้ไม่ตก ก็จะบนบานขอให้แม่เจ้าอยู่หัวช่วยขจัดปัดเป่าให้ ส่วนใหญ่จะประสบผลสำเร็จ คือ หายป่วยหรือได้ของคืน หรือแก้ปัญหาความทุกข์ยากนั้นลงได้ แล้วทำการแก้บนตามสัญญาที่บนไว้ทุกครั้ง
..............จากการบอกเล่าของคนเฒ่าคนแก่ ในเรื่องอภินิหาร หรือปาฏิหารย์จากบารมีของพระนาง ที่ประชาชนบนบานในเรื่องต่างๆ ได้ประสบผลสำเร็จมาแล้ว คือ
..............เรื่องความเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่ว่าจะเกิดกับเด็กหรือผู้ใหญ่ ( สมัยนั้นยังไม่มีโรงพยาบาล หรือสถานีอนามัย อย่างปัจจุบันนี้ ) ต้องอาศัยหมอบ้าน ยาสมุนไพร หรือหมอผี ตามความเชื่อของแต่ละคน ถ้ายังไม่หาย ก็จะบนบานต่อแม่เจ้าอยู่หัว อาศัยบารมีเป็นที่พึ่งให้ช่วยขจัดปัดเป่าโรคภัย อาการเจ็บไข้ได้ป่วยหายไป โดยตั้งจิตระลึกถึง กล่าวคำอ้อนวอนยึดเอาบารมีเป็นที่ตั้ง สักการะบูชาด้วยดอกไม้ ธูปเทียน เมื่อหายแล้วจะแก้บนตามสัญญาในลักษณะต่างๆ
...............เรื่องข้าวของเงินทอง หรือทรัพย์สมบัติต่างเกิดสูญหาย จะเป็นด้วยถูกขโมย หลงลืม หรือตกหล่นอย่างหนึ่งอย่างใดก็ตาม เจ้าของก็จะบนบานให้หาของนั้นพบ หรือได้สิ่งของสิ่งนั้นคืนมาจะโดยวิธีใดก็แล้วแต่ จะแก้บนตามสัญญา
...............เรื่องการศึกษาเล่าเรียน การเข้ารับราชการ การสอบแข่งขัน การประกอบอาชีพต่างๆ จะบนบานให้แม่เจ้าอยู่หัวช่วยให้เรียนจบ สมัครงานได้ สอบเข้ารับราชการได้ หรือประกอบอาชีพประสบผลสำเร็จตามความหวัง ตั้งใจ ก็จะแก้บนตามสัญญา
...............ครอบครัวใดที่มีบุตรชายเข้าเกณฑ์ทหาร ส่วนใหญ่พ่อแม่จะเป็นห่วงลูก กลัวลูกจะลำบากหากไปเข้าฝึกทหารไม่อยากให้ลูกติดเกณฑ์ บางคนต้องการให้ลูกทำงานบ้าน ทำไร่ ไถนา พ่อแม่ก็จะบนบานขอให้ลูกไม่ต้องติดทหาร บางครอบครัวที่ผู้ชายได้ภรรยาตั้งแต่วัยหนุ่ม ยังไม่เกณฑ์ทหาร เมื่ออยู่กินกันมาสัก ปีสองปี อายุถึงเข้าเกณฑ์ จะมีบุตรหรือไม่ก็ตาม ภรรยา พ่อตาแม่ยายก็จะบนบานไม่ให้สามี บุตรเขยต้องไปติดทหาร เพราะสงสารลูกหลานจะอยู่ห่างไกลพ่อ ขาดความอบอุ่นสารพัดอย่าง ถ้าไม่ติดเกณฑ์ทหารก็จะแก้บนตามสัญญา
...............จากการบนบานต่างๆ ที่กล่าวมา อาจมองว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่เป็นไปไม่ได้ เป็นความฝันลม ๆ แล้ง ๆ ขัดกับมติปัจจุบันที่ว่า " ตนนั้นแหละเป็นที่พึ่งแห่งตน " หรือ " ให้ช่วยตัวเองก่อนแล้วผู้อื่นจะช่วยท่าน " แต่ถ้ามองลึกๆ แล้วจะเห็นว่าพระนางเป็นที่พึ่งทางใจของประชาชนโดยตลอดมา และมีผู้ยืนยันว่าเป็นความจริงที่ประสบกับตัวเอง และได้รับผลสำเร็จมาแล้ว จากบารมีอภินิหารของแม่เจ้าอยู่หัว จึงได้ยึดเป็นสรณะอันเหนียวแน่น ความเชื่อถือ ความศรัทธาเหล่าได้แพร่ขยายจากกลุ่มชนน้อยๆ ไปสู่กลุ่มชนใหญ่ ถึงถิ่นอื่น ภาคอื่นไปเรื่อยๆ ลักษณะการแก้บนตามสัญญา มีหลายอย่างเช่น
1. ปิดทองที่รูปของแม่เจ้าอยู่หัว จะเป็นรูปภาพหรือรูปปั้นก็ตาม
2. นำเงินบูชาใส่กรุข้างที่ประทับแม่เจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยดอกไม้ ธูป เทียน บูชาด้วย
3. บวชถวาย 5 วัน 7 วัน 15 วัน ฯ
4. รำแก้บน
5. ให้สัตย์ปฏิญาณ จะประกอบแต่กรรมดีตลอดชีพ
...............
อนึ่ง วัดแม่เจ้าอยู่หัวที่ตั้งอยู่ในหมู่ที่ 3 ตำบลแม่เจ้าอยู่หัว อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช อาณาเขตทางทิศใต้ ตั้งอยู่ติดลำคลอง คือคลองฆ้อง ( คลองฆ็อง ) เป็นลำคลองที่ลึกและยาวผ่านอำเภอเฉลิมพระเกียรติ ไปจนถึงอำเภอร่อนพิบูลย์ สมัยก่อนมีเรือยนต์และเรือหางยาว รับผู้คนโดยสาร และแม่ค้าแล่นผ่านวัดเป็นประจำ มีที่จอดเรือที่ศาลาท่าน้ำหน้าวัด คนขับเรือทุกคนเป็นประเพณีว่า เมื่อขับเรือผ่านหน้าวัดจะชลอเครื่องเรือ เพื่อสักการะต่อแม่เจ้าอยู่หัว และเพื่อขอพรให้ปลอดภัย ให้ทำมาค้าขึ้น ( แม่ค้า ) พวกที่แล่นผ่านไปไม่ชลอเครื่อง ไม่เคารพสักการะแม่เจ้าอยู่หัวมักจะเกิดเหตุร้ายต่างๆ เช่น เรือล่ม สิ่งของเสียหาย บางครั้งถึงแก่ชีวิตก็มี
จัดเป็นสิ่งดีดีเพราะ เป็นศูนย์รวมซี่งเป็นที่พึ่งทางจิตใจของชุมชน

ขอขอบพระคุณ แหล่งข้อมูลจาก http://blog.eduzones.com/tambralinga/2578

No comments:

Post a Comment