โพธิปักขิยธรรม 37ภิกษุ ท. ! ธรรมเหล่าใดที่เราแสดงแล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง ธรรมเหล่านั้น
พวกเธอทั้งหลาย พึงรับเอาให้ดี พึงเสพให้ทั่วถึง พึงอบรม กระทำ
ให้มาก โดยอาการที่พรหมจรรย์นี้ จักมั่นคง ดำรงอยู่ได้ ตลอดกาลนาน.
ข้อนั้น จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่คนเป็นอันมาก เพื่อความสุขแก่คนเป็น
อันมาก เพื่ออนุเคราะห์โลก, และเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขทั้งแก่
เทวดาแลมนุษย์ทั้งหลาย.
ภิกษุ ท. ! ธรรมเหล่าไหนเล่า ที่เราแสดงด้วยปัญญาอันยิ่ง ? ธรรม
เหล่านั้นได้แก่ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕
พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคมีองค์ ๘.
ภิกษุ ท. ! ธรรมเหล่านี้แล ที่เราแสดงแล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง เป็นสิ่ง
ที่พวกเธอทั้งหลาย พึงรับเอาให้ดี พึงเสพให้ทั่วถึง พึงอบรม กระทำให้มาก
โดยอาการที่พรหมจรรย์นี้ จักมั่นคง ดำรงอยู่ได้ ตลอดกาลนาน. ข้อนั้น
จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่คนเป็นอันมาก เพื่อความสุขแก่คนเป็นอัน
มาก เพื่ออนุเคราะห์โลก, และเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข ทั้งแก่
เทวดาแลมนุษย์ทั้งหลาย.
เป็นคำกล่าวที่เราชาวพุทธอาจจะยังไม่เคยได้รู้ (บางท่าน) เพราะสาวกไม่ได้นำมาสั่งสอน บอกกล่าว เป็นธรรมะที่พระศาสดาได้ตรััสไว้ดังข้างต้น
มีรายละเอียดดังนี้สติปัฏฐาน ๔
1.กาย
2.เวทนา
3.จิต
4.ธรรม
สัมมัปปธาน ๔
สังวรปธาน คือ เพียรเพื่อไม่ให้อกุศลธรรม (ที่ยังไม่เกิด) เกิดขึ้น
ธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว
อิทธิบาท ๔
๑. ฉันทะ ความพอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น
๒. วิริยะ ความพากเพียรในสิ่งนั้น
๓. จิตตะ ความเอาใจใส่ฝักใฝ่ในสิ่งนั้น
๔. วิมังสา ความหมั่นสอดส่องในเหตุผลของสิ่งนั้น
อินทรีย์ ๕
๑. ศรัทธาพละ ไม่หวั่นไหวต่อความไม่มีศรัทธา
๒. วิริยพละ ไม่หวั่นไหวต่อความเกียจคร้าน
๓. สติพละ ไม่หวั่นไหวต่อการหลงลืมสติ
๔. สมาธิพละ ไม่หวั่นไหวต่อความฟุ้งซ่าน
๕. ปัญญาพละ ไม่หวั่นไหวต่อความไม่รู้
โพชฌงค์ ๗
๒. สัมมาสังกัปปะ : ความดำริชอบ คือคิดออกจากกาม ไม่คิดพยาบาท และคิดที่จะไม่เบียดเบียนใคร
๓. สัมมาวาจา : วาจาชอบ คือ ไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดเพ้อเจ้อ
๔. สัมมากัมมันตะ : กระทำชอบ คือ เว้นจากการฆ่าสัตว์ เว้นจากการลักทรัพย์ เว้นจากการประพฤติผิดในกาม
๕. สัมมาอาชีวะ :เลี้ยงชีวิตชอบ คือ การประกอบอาชีพแต่ในทางสุจริต ไม่ผิดกฎหมายไม่ผิดศีลธรรม ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ไม่ผิดจากหน้าที่อันควร
๖. สัมมาวายามะ : ความเพียรชอบ คือ เพียรในที่ ๔ สถาน (พยายามละอกุศลที่ยังไม่ได้ละ…อันไหนที่ละได้แล้วก็พยายามไม่ให้เกิดขึ้นอีก พยายาทำให้กุศลเกิดขึ้น…อันไหนที่มีเกิดขึ้นแล้วก็พยายามทำให้เจริญยิ่ง ขึ้น)
๗. สัมมาสติ : ระลึกชอบ คือ ระลึกในสติปัฏฐาน ๔…กาย เวทนา จิต ธรรม (พยายามให้มีสติอยู่กับตัวเสมอ พยายามที่จะฝึกในแง่ที่จะทำให้กิเลสเบาบางลง)
๘. สัมมาสมาธิ : สมาธิชอบ (ตั้งใจมั่นชอบ) คือ เจริญฌานทั้ง ๔ (หมายถึงการเข้าสมาธิที่เป็นไปเพื่อละนิวรณ์โดยตรง คือตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป)
ขอขอบพระคุณข้อมูล จาก http://www.oknation.net/blog/buddha2600/2012/07/11/entry-2
ขอให้เจริญในธรรม และได้นิพพานสมบัติในที่สุด
พวกเธอทั้งหลาย พึงรับเอาให้ดี พึงเสพให้ทั่วถึง พึงอบรม กระทำ
ให้มาก โดยอาการที่พรหมจรรย์นี้ จักมั่นคง ดำรงอยู่ได้ ตลอดกาลนาน.
ข้อนั้น จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่คนเป็นอันมาก เพื่อความสุขแก่คนเป็น
อันมาก เพื่ออนุเคราะห์โลก, และเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขทั้งแก่
เทวดาแลมนุษย์ทั้งหลาย.
ภิกษุ ท. ! ธรรมเหล่าไหนเล่า ที่เราแสดงด้วยปัญญาอันยิ่ง ? ธรรม
เหล่านั้นได้แก่ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕
พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคมีองค์ ๘.
ภิกษุ ท. ! ธรรมเหล่านี้แล ที่เราแสดงแล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง เป็นสิ่ง
ที่พวกเธอทั้งหลาย พึงรับเอาให้ดี พึงเสพให้ทั่วถึง พึงอบรม กระทำให้มาก
โดยอาการที่พรหมจรรย์นี้ จักมั่นคง ดำรงอยู่ได้ ตลอดกาลนาน. ข้อนั้น
จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่คนเป็นอันมาก เพื่อความสุขแก่คนเป็นอัน
มาก เพื่ออนุเคราะห์โลก, และเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข ทั้งแก่
เทวดาแลมนุษย์ทั้งหลาย.
เป็นคำกล่าวที่เราชาวพุทธอาจจะยังไม่เคยได้รู้ (บางท่าน) เพราะสาวกไม่ได้นำมาสั่งสอน บอกกล่าว เป็นธรรมะที่พระศาสดาได้ตรััสไว้ดังข้างต้น
มีรายละเอียดดังนี้สติปัฏฐาน ๔
1.กาย
2.เวทนา
3.จิต
4.ธรรม
สัมมัปปธาน ๔
สังวรปธาน คือ เพียรเพื่อไม่ให้อกุศลธรรม (ที่ยังไม่เกิด) เกิดขึ้น
ปหานปธาน คือ เพียรเพื่อละอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว
ภาวนาปธาน คือ เพียรเพื่อให้กุศลธรรม (ที่ยังไม่เกิด) เกิดขึ้น
อนุรักขนาปธาน คือ เพียรเพื่อความเจริญ มั่นคง บริบูรณ์ของกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว
อิทธิบาท ๔
๑. ฉันทะ ความพอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น
๒. วิริยะ ความพากเพียรในสิ่งนั้น
๓. จิตตะ ความเอาใจใส่ฝักใฝ่ในสิ่งนั้น
๔. วิมังสา ความหมั่นสอดส่องในเหตุผลของสิ่งนั้น
อินทรีย์ ๕
1. สันธินทรีย์ คือ ความศรัทธาเป็นใหญ่ในอารมณ์ เป็นศรัทธาอันแรงกล้าในจิตใจ ซึ่งอกุศลไม่อาจทำให้ศรัทธานั้นเสื่อมคลายได้
2. วิริยินทรีย์ มีความเพียรเป็นใหญ่ และต้องเป็นความเพียรที่บริบูรณ์ด้วยองค์ 4 แห่งสัมมัปปธาน
3. สตินทรีย์ สติที่ระลึกรู้ในอารมณ์ปัจจุบัน อันเกิดจากสติปัฏฐาน 4
4. สมาธินทรีย์การทำจิตให้เป็นสมาธิตั้งมั่นจดจ่ออยู่ในอารมณ์กรรมฐาน ไม่ฟุ้งซ่าน
5. ปัญญินทรีย์ ปัญญาทำหน้าที่เป็นใหญ่ด้วยการรู้แจ้งเห็นจริงว่าขันธ์ 5 เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาพละ ๕ ๑. ศรัทธาพละ ไม่หวั่นไหวต่อความไม่มีศรัทธา
๒. วิริยพละ ไม่หวั่นไหวต่อความเกียจคร้าน
๓. สติพละ ไม่หวั่นไหวต่อการหลงลืมสติ
๔. สมาธิพละ ไม่หวั่นไหวต่อความฟุ้งซ่าน
๕. ปัญญาพละ ไม่หวั่นไหวต่อความไม่รู้
โพชฌงค์ ๗
- สติ ความระลึกได้
- ธรรมวิจยะ การวินิจฉัยธรรม
- วิริยะ ความเพียร
- ปีติ ความอิ่มใจ
- ปัสสัทธิ ความสงบ
- สมาธิ จิตตั้งมั่น
- อุเบกขา ความวางเฉย
๒. สัมมาสังกัปปะ : ความดำริชอบ คือคิดออกจากกาม ไม่คิดพยาบาท และคิดที่จะไม่เบียดเบียนใคร
๓. สัมมาวาจา : วาจาชอบ คือ ไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดเพ้อเจ้อ
๔. สัมมากัมมันตะ : กระทำชอบ คือ เว้นจากการฆ่าสัตว์ เว้นจากการลักทรัพย์ เว้นจากการประพฤติผิดในกาม
๕. สัมมาอาชีวะ :เลี้ยงชีวิตชอบ คือ การประกอบอาชีพแต่ในทางสุจริต ไม่ผิดกฎหมายไม่ผิดศีลธรรม ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ไม่ผิดจากหน้าที่อันควร
๖. สัมมาวายามะ : ความเพียรชอบ คือ เพียรในที่ ๔ สถาน (พยายามละอกุศลที่ยังไม่ได้ละ…อันไหนที่ละได้แล้วก็พยายามไม่ให้เกิดขึ้นอีก พยายาทำให้กุศลเกิดขึ้น…อันไหนที่มีเกิดขึ้นแล้วก็พยายามทำให้เจริญยิ่ง ขึ้น)
๗. สัมมาสติ : ระลึกชอบ คือ ระลึกในสติปัฏฐาน ๔…กาย เวทนา จิต ธรรม (พยายามให้มีสติอยู่กับตัวเสมอ พยายามที่จะฝึกในแง่ที่จะทำให้กิเลสเบาบางลง)
๘. สัมมาสมาธิ : สมาธิชอบ (ตั้งใจมั่นชอบ) คือ เจริญฌานทั้ง ๔ (หมายถึงการเข้าสมาธิที่เป็นไปเพื่อละนิวรณ์โดยตรง คือตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป)
ขอขอบพระคุณข้อมูล จาก http://www.oknation.net/blog/buddha2600/2012/07/11/entry-2
ขอให้เจริญในธรรม และได้นิพพานสมบัติในที่สุด
No comments:
Post a Comment